หัวข้อ: p1 กล้องสำรวจถนนหนทางภาคสนาม บริการ กล้องระดับ TOPCON, Pentax, CTS/Berger พร้อมส เริ่มหัวข้อโดย: Saichonka ที่ พฤศจิกายน 07, 2019, 10:02:20 pm จำหน่ายกล้องอุปกรณ์กล้องไลน์สำรวจ คุณภาพเยี่ยม กล้องระดับ TOPCON ยี่ห้อ TOPCON, Pentax, CTS/Berger
การแบ่งแยกดิน คือ การรวบรวมดินประเภทต่างๆที่มีลักษณะ หรือ คุณสมบัติที่หมือนกันหรือคล้ายคลึงกันตามที่กำหนดไว้ ให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบ เพื่อสบายสำหรับในการจำและใช้ประโยชน์งาน ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศรัสเซีย ระบบนี้จะให้ความสนใจดินที่เกิดในลักษณะของอากาศหนาวเย็น จนถึงออกจะร้อน ในการจำแนกประเภทระดับสูง เน้นการใช้โซนลักษณะอากาศและก็พืชพรรณเป็นหลัก มีทั้งผอง 12 ชั้น (class I- class XII) โดยชั้น I-VI เป็นดินในเขตสภาพอากาศตั้งแต่หนาวจัด จนถึงออกจะหนาวในทะเลทราย ชั้น VII-IX เน้นย้ำสภาพภูมิอากาศค่อนข้างจะร้อน โดยใช้ลักษณะความชุ่มชื้น-ความแห้ง แล้วก็สภาพพรรณไม้ที่เป็นป่า หรือทุ่งหญ้า เป็นต้นสายปลายเหตุจำกัด สำหรับชั้น X-XII เน้นดินในเขตร้อน จากระดับสูงจะมีการแบ่งแยกออกเป็นชั้นย่อย ตามลักษณะการเกิดของดิน และก็แบ่งเป็นชนิดดิน ในอย่างน้อย ระบบการแบ่งดินของคูเบียนา การแบ่งดินใช้ สมบัติทางเคมีของดิน รวมทั้งโซนของอากาศกับพืชพรรณ เป็นหลัก โดยเน้นย้ำสภาพแวดล้อมในเขตเมดิเตอร์เรเนียน แล้วก็สิ่งแวดล้อมที่ออกจะแห้งมากกว่าเขตเปียกชื้นและฝนชุก -ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศฝรั่งเศส มีลักษณะเด่นเป็น เป็นการจำแนกประเภทดินที่ใช้ลักษณะทั้งหมดทั้งปวงด้านในหน้าตัดดินเป็นหลักเกณฑ์ เน้นย้ำพัฒนาการของหน้าตัดดิน โดยใคร่ครวญจาการเรียงตัวของชั้นกำเนิดดินภายในหน้าตัดดินโดยเฉพาะ กับการที่มีปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลง หรือชั้นที่มีการสะสมของดินเหนียว การจำแนกขั้นสูงสุด เน้นลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการขังน้ำ ส่วนอย่างต่ำ ใช้ความมากมายน้อยในการเปลี่ยนที่อนุภาคดินเหนียวในหน้าตัดดิน -ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศเบลเยียม เป็นการแบ่งแยกที่ค่อนข้างจะละเอียด ซึ่งมีสาเหตุจากการใช้ที่ดินทางการเกษตรที่เข้มข้น การจำแนกดินใช้รูปแบบของเนื้อดิน ชั้นการระบายน้ำ และก็พัฒนาการของหน้าตัดดิน เป็นลักษณะแบ่ง สำหรับการอธิบายเนื้อดิน แบ่งออกเป็น 7 ชั้น (ชั้นอนุภาคดิน) วัสดุอินทรีย์รวมทั้งขี้ตะกอนลมหอบ ส่วนชั้นการระบายน้ำของดิน ใช้การแปลความที่เกี่ยวกับความเปียกของดิน ตัวอย่างเช่น จุดประ รวมทั้งสีเทาในเนื้อดิน กับระดับความลึกของดินที่พบลักษณะดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สำหรับวิวัฒนาการของหน้าตัดดินแบ่งได้เป็นหลายชั้นโดยตรึกตรองจากลำดับของชั้นต่างๆในหน้าตัดดินและก็ชั้น (B) ถือได้ว่าชั้น B ที่เพิ่งมีวิวัฒนาการหรือเป็นชั้นแคมบิก B คล้ายคลึงกันกับในระบบของประเทศฝรั่งเศส -ระบบการจำแนกดินของประเทศอังกฤษ เน้นย้ำลักษณะดินที่พบในประเทศอังกฤษแล้วก็เวลส์ มี 10 กลุ่ม ขยายความออกจากกันโดยใช้ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นหลักเกณฑ์ซึ่งเน้นประเภทรวมทั้งการจัดเรียงตัวของชั้นดิน ประกอบด้วย Terrestrial raw soils, Hydric raw soils, Lithomorphic (A/C) soils, Pelosols, Brown soils, Podzolic soils, Surface water gley soils, Groundwater gley soils, Man-made soils และ Peat soils -ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศแคนาดา ระบบการจำแนกเป็นแบบมีหลายขั้นอันดับวิธานรวมทั้งมีลำดับสูงต่ำแจ่มกระจ่าง มี 5 ขั้นด้วยกันเป็น ชั้น (order) กรุ๊ปดินใหญ่ (great group) กรุ๊ปดินย่อย (subgroup) สกุลดิน (family) และก็ชุดดิน (series) ชั้นอนุกรมระเบียบของดินในระบบการจำแนกดินของแคนาดาแจงแจงออกมาจากกันโดยใช้ลักษณะที่สังเกตได้ และที่วัดได้ แต่หนักไปในทางทางทฤษฎีการกำเนิดดินสำหรับเพื่อการแบ่งประเภทขั้นสูง ซึ่งแบ่งได้ 9 ชั้น และก็แบ่งได้เป็น 28 กลุ่มดิน -ระบบการจำแนกดินของประเทศออสเตรเลีย การพัฒนาด้านการแบ่งแยกดินในออสเตรเลียมีมานานแล้วเช่นเดียวกัน โดยในระยะแรกเป็นการจำแนกประเภทดินที่ใช้ธรณีวิทยาของวัสดุดินเริ่มต้นเป็นหลัก แต่ว่าต่อมาได้มีการปรับปรุงมาเรื่อยจนถึงเน้นย้ำโครงร่างวิทยาของหน้าตัดดินโดยแบ่งได้ 47 หน่วยดินหลัก (great soil groups) เนื่องด้วยการที่ประเทศออสเตรเลียมีลักษณะของอากาศอยู่หลายแบบร่วมกัน ทำให้มีสิ่งแวดล้อมทางดินหลายแบบร่วมกันตามไปด้วย มีทั้งยังในสภาพที่หนาวเย็นไปจนกระทั่งเขตร้อนชื้น และก็เขตที่เป็นทะเลทราย ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าระบบการจำแนกนี้ครอบคลุมประเภทของดินต่างๆล้นหลาม แต่ย้ำดินที่มีการสะสมคาร์บอเนต เน้นสีของดิน และเนื้อของดินค่อนข้างมากมาย ระบบการแบ่งดินของออสเตรเลียนี้มีอยู่มากยิ่งกว่า 1 แบบ เนื่องจากมีการเสนอระบบต่างๆที่มีแนวคิดเบื้องต้นไม่เหมือนกันออกไป อาทิเช่นระบบของฟิทซ์แพทริก (FitzPatrick, 1971, 1971, 1980) ที่เน้นย้ำจากระดับที่ค่อนข้างต่ำขึ้นไปหาระดับสูง แล้วก็ระบบที่พบอยู่ในคู่มือของดินประเทศออสเตรเลีย (A Handbook of Australia Soils) เป็นต้น -ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ใช้ระบบอนุกรมข้อบังคับดินของสหรัฐฯเป็นหลักสำหรับเพื่อการจัดชนิดและประเภทดิน แล้วก็ดินของประเทศนิวซีแลนด์บริเวณกว้างเป็นดินที่เกิดมาจากตะกอนภูเขาไฟ -ระบบการแบ่งดินของประเทศบราซิล ดินในประเทศบราซิลเป็นดินที่มีลักณะเด่นเป็นดินเขตร้อน ระบบการจำแนกดินของบราซิลไม่ใช้ภาวะความชุ่มชื้นดินสำหรับในการจัดชนิดและประเภทขั้นสูง และก็ใช้สี จำนวนขององค์ประกอบกับประเภทของหินแหล่งกำเนิด เป็นลักษณะที่ใช้ในการแบ่งประเภทมากกว่าที่ใช้ในอนุกรมเกณฑ์ดินกษณะที่ใช้สำหรับในการแยกประเภทมากกว่าที่ใช้ในอันดับวิธานดิน ตามระบบการแบ่งแยกดินประจำชาตินี้ สามารถแบ่งดินในประเทศไทยออกเป็น ชุดดินรังสิต Alluvial soils เป็นดินที่เกิดขึ้นใหม่ แก่น้อย มีวิวัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ หน้าตัดดินเป็นแบบ A-C, A-Cg, Ag-Cg หรือ A-(B)-Cg มีต้นเหตุที่เกิดจากการทับถมโดยน้ำตามที่ราบลุ่ม ได้แก่ที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ทะเลสาบ ปากแม่น้ำ ชายทะเล แล้วก็เนินตะกอนน้ำพารูปพัด (alluvial fan) ภาวะของการทับถมอาจเป็นรอบๆของน้ำจืด น้ำเค็ม หรือน้ำกร่อยก็ได้ ส่วนใหญ่จะมีเนื้อดินละเอียด และการระบายน้ำหยาบช้า พบได้ทั่วไปลักษณะที่แสดงการขังน้ำ เว้นเสียแต่รอบๆสันดินชายน้ำ และก็ที่เนินตะกอนน้ำพารูปพัด ที่เนื้อดินจะหยาบกว่า แล้วก็ดินมีการระบายน้ำดี องค์ประกอบรวมทั้งแร่ที่มีอยู่ในดิน alluvial มักแตกต่างกันมากมาย รวมทั้งมักจะผสมปนจากบริเวณต้นกำเนิดที่มาจากหลายที่ ชุดดินที่สำคัญของกลุ่มดินหลักนี้เป็น - พวกที่เกิดจากตะกอนน้ำจืด ตัวอย่างเช่น ชุดดินท่าม่วง สรรพยา สิงห์บุรี จังหวัดราชบุรี อยุธยา - พวกที่เกิดขึ้นจากตะกอนน้ำกร่อย ได้แก่ ชุดดินผู้พิทักษ์ รังสิต - พวกที่เกิดขึ้นมาจากตะกอนพื้นแผ่นดินมหาสมุทร ตัวอย่างเช่น ชุดดินท่าจีน กรุงเทพมหานคร - Hydromorphic Alluvial soils คือดิน Alluvial soils ที่มีการระบายน้ำออกจะเหลวแหลก-ชั่วมากมาย ในกรณีที่มีการแบ่งดินออกเป็น Alluvial soils รวมทั้ง Hydromorphic Alluvial soils ดินที่อยู่ในกลุ่มดินหลัก Alluvial soils จะเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี แล้วก็อยู่ในรอบๆที่สูงกว่าในภูมิทัศน์ที่ต่อเนื่องกัน ดินในทั้งคู่กลุ่มดินหลักนี้มักจะได้รับอิทธิพลน้ำหลากในช่วงฤดูน้ำหลากเสมอ -ชุดดินหัวหิน Regosols มีความเจริญของหน้าตัดดินต่ำ กำเนิดแน่ชัดเฉพาะดินบน (A) รวมทั้งมีหน้าตัดดินแบบ A-C หรือ A-Cg เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากวัตถุต้นกำเนิดดินที่เป็นทรายจัดอาจเป็นทรายบริเวณชายฝั่งทะเล หรือรอบๆเนินทราย หรือทรายจากแม่น้ำ ดินมีการระบายน้ำดี จนถึงระบายน้ำดีจนเหลือเกิน เจอทั่วๆไปเป็นแนวยาวตามชายฝั่งทะเล แล้วก็ตามกระพักลำธารของแม่น้ำที่มีตะกอนเป็นทรายจัด มีปฏิกิริยาค่อนข้างจะเป็นกรด ชุดดินที่สำคัญอาทิเช่น ชุดดินหัวหิน พัทยา จังหวัดระยอง และน้ำพอง -Lithosols เป็นดินตื้นมาก ส่วนใหญ่ลึกไม่เกิน 30 เซนติเมตร พบได้มากตามรอบๆที่ลาดตีนเขาซึ่งมีกษัยการสูง การจัดเรียงตัวของชั้นดินเป็นแบบ A-C-R, AC-C-R หรือ A-R เนื้อดินมีเศษหินที่ยังไม่ผุพังสลายตัวหรือกำลังเสื่อมสภาพคละเคล้าอยู่เป็นส่วนมาก ดินนี้ไม่เหมาะสมแก่การกสิกรรม หรือการสร้างพืชโดยทั่วไป -ชุดดินลพบุรี Grumusols เป็นดินสีคล้ำ เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ดังเช่นว่า หินปูน มาร์ล หรือบะซอลต์ พัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีส่วนประกอบเป็นแร่ดินเหนียวจำพวก 2:1 ซึ่งมีความเข้าใจในการยืด-หดตัวได้มาก ดินจะขยายตัวเมื่อแฉะ (swelling) และก็หดตัวเมื่อแห้ง (shrinkage) ทำให้มีลักษณะของรอยูลื่น (slickensides) เกิดขึ้นในดิน ลักษณะหน้าตัดประกอบด้วยชั้น A-C หรือ A-AC-C โดยชั้น A จะดก มีโครงสร้างดินแบบก้อนกลม (granular structure) หรือก้อนกลมพรุน (crumb structure) พบบ่อยในบริเวณที่ราบลุ่มหรือตะพักลำน้ำ ลักษณะผิวหน้าดินเป็นหลักที่ขรุขระ (gilgai relief) เมื่อแห้งผิวดินจะแตกระแหงเป็นร่องลึก ปฏิกิริยาดินเป็นด่าง ลักษณะโดยรวมเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง แต่มีโภคทรัพย์ทางด้านกายภาพที่เป็นปัญหาในการไถพรวน ดินนี้ในบริเวณที่ต่ำจะมีการระบายน้ำเหลวแหลก จำนวนมากใช้ปลูกข้าว แต่ว่าถ้าเกิดอยู่ในที่สูง เช่นในรอบๆใกล้ตีนเขาหินปูนมักจะมีการระบายน้ำดี ใช้ปลูกพืชไร่ อย่างเช่น ข้าวโพดชุดดินที่สำคัญ ดังเช่น ชุดดิน จังหวัดลพบุรี บ้านหมี่ โคกกระเทียม บุรีรัมย์ กลุ่มดินหลัก Grumusols นี้ ไม่มีในระบบ USDA 1938 เริ่มใช้ในการเสริมเติมระบบ USDA เมื่อ 1949 -ชุดดินตาคลี Rendzinas เป็นดินตื้นเกิดตามตีนเขาหินปูน วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นพวกปูน (CaCO3) หรือมาร์ล เกิดเกี่ยวโยงกับดิน Grumusols แต่ว่าอยู่ในบริเวณที่สูงกว่า พบมากรอบๆที่ลาดใกล้เขา หรือ ตะพักที่ลุ่มใกล้เขาหินปูน เป็นดินที่มีวิวัฒนาการของหน้าตัดต่ำ ลักษณะดินจะมีเพียงชั้น A รวมทั้ง C หรือ A-(B)-C ดินบนสีคล้ำ มีโครงสร้างดี ร่วน และค่อนข้างจะครึ้ม มีการระบายน้ำดี ส่วนดินด้านล่างเป็นดินเหนียวผสมปูนหรือปูนมาร์ล ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามความลึก และชอบเจอชั้นที่เป็นปูน หรือ ปูนมาร์ลล้วนๆอยู่ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ดินเหล่านี้จะมีปฏิกิริยาเป็นด่าง (pH ประมาณ 7.0-8.0) โดยมากใช้เพื่อการปลูกพืชไร่ เป็นต้นว่าข้าวโพด หรือปลูกไม้ผล ดังเช่นว่า น้อยหน่า ทับทิม ฯลฯ ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินตาคลี -ชุดดินชัยบาดาล Brown Forest soils พบตามรอบๆเทือกเขาเป็นส่วนมาก เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้าง และเศษหินตีนเขา ทั้งยังในสภาพที่หินพื้นเป็นพวกที่มีปฏิกิริยาเป็นกรด รวมทั้งด่าง อย่างเช่น แกรนิต ไนส์ แอนดีไซต์ มาร์ล อาจพบปะผสมกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Rendzinas เป็นดินตื้น ความก้าวหน้าของหน้าตัดดินไม่เท่าไรนัก มีลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A-B-C หรือ A-B-R แต่ว่าชั้น B มักจะไม่ค่อยแน่ชัด ในประเทศไทยมักพบตามเทือกเขาหินปูนเป็นส่วนมาก สำหรับ Brown Forest soils ที่เป็นกรด พบเพียงเล็กน้อยชุดดินที่สำคัญ อาทิเช่น ชัยบาดาล ลำนารายณ์ สมอทอด -Humic Gley soils เจอจำนวนน้อยในประเทศไทย มักกำเนิดผสมอยู่กับดินอื่นๆในลักษณะขจัดขจายเป็นหย่อมๆในรอบๆที่ราบลุ่ม พบได้บ่อยอยู่ใกล้กับดินในกรุ๊ป Grumusols, Rendzinas หรือ Red Brown Earths เป็นดินในที่ต่ำ มีการระบายน้ำต่ำทราม พัฒนาการของหน้าตัดไม่ดีนัก ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ Ag (Apg)-Cg หรือ A-Bg-Cg ลักษณะที่สำคัญเป็น ดินบนหนา มีอินทรียวัตถุสูง ดินล่างมักเป็นดินเหนียวสีเทาหรือสีเทาเข้ม มีลักษณะที่แสดงถึงภาวะที่มีการขังน้ำกระจ่างแจ้ง มีจุดประ ปฏิกิริยาดินเป็นด่างนิดหน่อยชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินแม่ขานตอบ -ชุดดินร้อยเอ็ด Low Humic Gley soils เป็นดินที่เกิดจากขี้ตะกอนน้ำพา พบในบริเวณที่ต่ำที่มีการระบายน้ำชั่ว ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณกระพักแถบที่ลุ่มต่ำที่สูงกว่าที่ราบลุ่มใหม่ใกล้น้ำ ระดับน้ำใต้ดินตื้นและแช่ขังเป็นบางโอกาส แต่ว่ามีวิวัฒนาการของหน้าตัดค่อนข้างจะดี ลักษณะสำคัญของดินในกลุ่มนี้คือ หน้าตัดดินมีลักษณะที่แสดงออกถึงการขังน้ำ มีจุดประชัดแจ้ง หน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt, Ap-A2-Bt, A1-A2-Btg, A1g-A2g-Btg, หรือ Apg-Btg พวกที่มีอายุน้อยจะอุดมสมบูรณ์มากยิ่งกว่าพวกที่เกิดเป็นเวลายาวนานกว่า บางรอบๆจะพบศิลาแลงอ่อน (plinthite) ในตอนล่างของหน้าตัดดิน จำนวนมากเป็นดินที่มีความอิ่มตัวเบสต่ำ pH ประมาณ 4.5-5.5 สำหรับพวกที่เกิดอยู่ในบริเวณตะพักที่ลุ่มค่อนข้างจะใหม่ มักจะมีความอิ่มตัวเบสสูง ชุดดินที่สำคัญ คือ เพ็ญ สระบุรี มโนรมย์ เพชรบุรี จังหวัดเชียงราย หล่มเก่า ส่วนพวกที่เกิดบนกระพักที่ลุ่มค่อนข้างจะเก่า อาทิเช่นชุดดิน ร้อยเอ็ด จังหวัดลำปาง ฯลฯ -ชุดดินท่าอุเทน Ground Water Podzols เป็นดินที่มีการระบายน้ำชั่วช้าถึงค่อนข้างชั่วช้าสารเลวพบเฉพาะในบริเวณที่มีฝนตกชุก ตัวอย่างเช่น ในภาคใต้ บริเวณชายฝั่งตะวันออก หรือบางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดนครพนม มีต้นเหตุมาจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นทราย ในบริเวณที่เป็นทรายจัด ดังเช่นว่า ชายทะเลเก่าหรือขี้ตะกอนทรายเก่า ในบริเวณที่ค่อนข้างต่ำ มีความเจริญของหน้าตัดดี ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-(A2)-Bh-Cg หรือ A1-A2-Bir-Cg ชั้นดินบนสีคล้ำ แล้วก็มีสารอินทรีย์สูง ชั้น A2 (albic horizon) หรือชั้นชะล้างมีสีซีดจางเห็นได้ชัดเจน ชั้น Bh มีสีน้ำตาลเข้มและก็มีการอัดตัวค่อนข้างแน่น แข็ง เพราะว่ามีการสะสมอินทรียวัตถุที่ย่อยสลายแล้วกับอะลูมินัมออกไซด์แล้วก็/หรือเหล็กออกไซด์ มีปฏิกิริยาเป็นกรด pH ต่ำ ราว 4.0-5.0 ตลอดทั้งหน้าตัดชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินบ้านทอน ท่าอุเทน -ชุดดินหนองมึง Solodized-Solonetz เจอในรอบๆที่ออกจะแล้ง แล้วก็วัตถุต้นกำเนิดมีเกลือผสมอยู่ ตัวอย่างเช่นบริเวณชายฝั่งทะเลเก่า หรือรอบๆที่ได้รับผลพวงจากเกลือที่มาจากใต้ดิน อาทิเช่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของเมืองไทย เป็นต้น มีลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt ดินมีการระบายน้ำเลว ชั้น Bt จะแข็งแน่นแล้วก็มีองค์ประกอบแบบแท่งหัวมน (columnar structure) หรือแบบแท่งหัวตัด (prismatic) ดินบนเป็นดินร่วนผสมทราย มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างราวๆ 5-5.5 ส่วนดินด้านล่างมี pH สูง 7.0-8.0 อย่างเช่นชุดดินว่าวจุฬาร้องไห้ ชุดดินหนองแก ฯลฯ -ชุดดินอุดร Solonchak เป็นดินที่มีการระบายน้ำสารเลวถึงค่อนข้างจะชั่วช้าสารเลว มีเกลือสะสมอยู่ในชั้นดินมาก หน้าตัดดินเป็นแบบ Apg-Cg หรือ Apg-Bg-Cg ในดินพวกนี้จะมีชั้นดินที่เป็นดินเหนียวอยู่เป็นชั้นบางๆสลับกับชั้นทราย เกิดขึ้นให้เห็นได้ชัดเจน ในฤดูแล้งจะมองเห็นคราบเปื้อนเกลือสีขาวๆที่ผิวหน้าดิน ความเป็นกรดเป็นด่างมากยิ่งกว่า 7.0 ยกตัวอย่างเช่น ชุดดินอุดร -Non Calcic Brown soils เจอไม่มากนักในประเทศไทย พบในรอบๆกระพักลำธารค่อนข้างใหม่ วิวัฒนาการของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดดินแบบ A1(Ap)-A2-Bt ดินบนสีน้ำตาลเทา ดินข้างล่างมีสีน้ำตาล น้ำตาลปนเหลือง หรือน้ำตาลคละเคล้าแดง มีสาเหตุมาจากขี้ตะกอนน้ำออกจะใหม่ มีเนื้อดินตั้งแต่ออกจะหยาบไปจนถึงละเอียด และมีปฏิกิริยาเป็นกรดน้อย ในหน้าตัดดินจะเจอแร่ไมกาอยู่ทั่วไป มีการระบายน้ำดี ความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างจะสูง เหมาะสมที่จะปลูกพืชไร่รวมทั้งไม้ผล ชุดดินที่สำคัญเช่น ชุดดิน กำแพงแสน ธาตุพนม -ชุดดินวัวราช Gray Podzolic soils เกิดในรอบๆตะพักลำธารเป็นดินที่แก่ค่อนข้างจะมากมาย มีวิวัฒนาการของหน้าตัดดี พบในบริเวณลำน้ำระดับที่ค่อนข้างต่ำ-ระดับกึ่งกลาง วัตถุต้นกำเนิดเป็นตะกอนน้ำที่ทับถมมานานแล้ว ซึ่งจะเป็นกรดแล้วก็มีแร่ที่สลายตัวง่ายหลงเหลืออยู่ในปริมาณน้อย ในภาวะพื้นที่แบบคลื่น ซึ่งทำให้การไหลผ่านหน้าดินเป็นไปอย่างช้าๆแล้วก็ภูมิอากาศที่มีระยะแฉะ-แห้งสลับกันเป็นเหตุที่สำคัญต่อการเกิดดินประเภทนี้ ลักษณะดินแสดงให้เห็นว่าดินมีการชะละลายสูง สีจะออกขาวหรือเทาจัดเมื่อแห้ง และก็มีลักษณะการโยกย้ายบนผิวหน้าดินค่อนข้างกระจ่าง เนื้อดินละเอียดและสารอินทรีย์ถูกล้างไปเมื่อหน้าดินถูกฝน ยังเหลือแม้กระนั้นจุดที่เกาะตัวกันแน่นอยู่เป็นจุดๆอาจพบพลินไทต์ในชั้นดินข้างล่าง เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ-ต่ำมาก ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt กลุ่มดินนี้พบเป็นรอบๆกว้างขวางในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และบางพื้นที่ในภาคเหนือ ชุดดินที่สำคัญ เช่น ชุดดินโคราช สันป่าตอง ห้วยโป่ง ฯลฯ -ชุดดินท่ายาง Red Yellow Podzolic soils เป็นดินเก่าที่มีวิวัฒนาการของหน้าตัดดินดี กำเนิดในภาวะที่คล้ายคลึงกับดินในกลุ่มดินหลัก Reddish Brown Lateritic Soils ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt-C หรือ R พบทั่วๆไปในบริเวณภูเขารวมทั้งที่ลาดตีนเขาหรือที่ราบขั้นบันไดเก่า วัตถุต้นกำเนิดดินมาจากหินหลายประเภท จำนวนมากเป็นหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกรดถึงเป็นกลาง ดินมีการระบายน้ำดี ลักษณะเนื้อดินเปลี่ยนได้มากตั้งแต่ค่อนข้างหยาบจนกระทั่งค่อนข้างละเอียด สีจะออกแดง เหลืองผสมแดงรวมทั้งเหลือง มีชั้น E ที่ค่อนข้างจะชัดแจ้ง มีสีจางหรือเทากว่าชั้นอื่น รวมทั้งอาจมีเศษหินที่เสื่อมสภาพ หรือ พลินไทต์ปนเปอยู่ด้วยในดินข้างล่าง แบบอย่างอย่างเช่น ชุดดินท่ายาง โพนวิสัย ชุมพร หาดใหญ่ จังหวัดภูเก็ต ฯลฯ จัดว่าเป็นกรุ๊ปดินที่พบมากกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย -ชุดดินอ่าวลึก Reddish Brown Lateritic soils เป็นดินเก่า มีพัฒนาการของหน้าตัดดี เป็นผลมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้างของหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกลางและก็ที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี ดินข้างบนมีสีน้ำตาลเข้ม หรือสีน้ำตาลปนแดง มีเนื้อดินตั้งแต่ดินร่วนซุย (loam) ถึง ดินร่วนเหนียว (clay loam) ส่วนชั้นดินข้างล่างมีเนื้อดินเป็นดินร่วนเหนียว ถึงดินเหนียว (clay) ที่มีสีแดง รูปแบบของดินแสดงการชะล้างสูง รวมทั้งบางทีอาจพบชั้นหินแลงในชั้นล่างของหน้าตัดดิน ลักษณะดินจะคล้ายกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Red Brown Earths ที่แตกต่างเป็นจะมีเป็นกรดมากยิ่งกว่า pH โดยประมาณ 5-6 ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินลี้ บ้านจ้อง อ่าวลึก ตราด ฯลฯ -ชุดดินปากช่อง Red Brown Earth เป็นดินที่มีความข้องเกี่ยวโดยตรงกับหินปูน หรือหินที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง และก็จะมีความเกี่ยวพันกับหินดินดานด้วย ดินมีสีแดง มีพัฒนาการของหน้าตัดดี เป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีการระบายน้ำดี กำเนิดในรอบๆที่ราบซึ่งเป็นผลมาจากกษัยการ หรืออาจจะมีการเกิดตามไหล่เขาได้ ดินพวกนี้มีลักษณะสีดิน รวมทั้งการจัดลำดับตัวของชั้นดินใกล้เคียงกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Reddish Brown Lateritic มากมายแตกต่างที่ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน โดยที่ Red Brown Earth มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างสูงกว่า (pH ราว 6.5-8.0) ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินปากช่อง เป็นกรุ๊ปดินที่มีการปลูกพืชไร่และทำสวนผลไม้กันมากมาย -ชุดดินจังหวัดยโสธร Red Yellow Latosols เป็นดินที่มีการระบายน้ำดีจนกระทั่งดีเกินความจำเป็น มีอายุมากมาย หน้าตัดดินลึก มีลักษณะที่มีความหมายว่ามีการชะละลายสูง วิวัฒนาการของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-B (Box) หรือ A1-A3-B (Box) เจอเป็นหย่อมๆในรอบๆลานตะพักลำน้ำขั้นสูง มีสาเหตุจากตะกอนน้ำพาเก่ามากมาย มีทรัพย์สินทางด้านกายภาพดี แม้กระนั้นทรัพย์สมบัติทางเคมีไม่ค่อยดี มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีสีแดงหรือเหลืองตลอดหน้าตัดดิน ดินบนเนื้อดินหยาบ ดินล่างมีพวกเซสควิออกไซด์สูง บางที่เจอศิลาแลงในตอนล่างของหน้าตัดดิน และไม่พบการเคลือบผิวของดินเหนียวในชั้น B ชุดดินที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ศรีราชา ยโสธร -Reddish Brown Latosols เกิดในบริเวณที่เกี่ยวเนื่องกับภูเขาไฟ วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นตะกอนตกค้าง หรือตะกอนดาดตีนเขา ของหินที่เป็นด่างดังเช่นว่า บะซอลท์ แอนดีไซต์ เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี และความก้าวหน้าของหน้าตัดดี มีหน้าตัดดินแบบ A-Box (ox = ออกไซด์ของเหล็ก) เนื้อดินเป็นดินเหนียวสีแดง สีแดงปนน้ำตาล มีความร่วนซุยดี เป็นดินลึกมากมาย ชอบเหมาะกับการใช้ทำสวนผลไม้ อย่างเช่น ชุดดินท่าใหม่ -Organic soils Organic soils หรือเรียกว่า Peat and Muck soils เป็นดินที่มีลักษณะไม่เหมือนกันกับกรุ๊ปดินอื่นๆเนื่องจากว่าเป็นดินที่มีอินทรีย์คาร์บอนอยู่ในองค์ประกอบมากยิ่งกว่าปริมาณร้อยละ 20 โดยน้ำหนัก หรือประกอบไปด้วยอินทรียวัตถุล้วนๆเจอในรอบๆแอ่งต่ำมีน้ำขังอยู่เกือบจะตลอดปีและก็มีการสะสมของอุปกรณ์ดินอินทรีย์สูง สำหรับในประเทศไทยพบได้บ่อยทางภาคใต้ ในจังหวัดนราธิวาส โดยยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่พรุ ลักษณะเด่นคือสีจะคล้ำ มีอินทรีย์วัตถุสูง เป็นกรดจัด มีการปรับปรุงหน้าตัดดินน้อย ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-C เมื่อระบายน้ำออก จะหดตัวได้มาก ดังเช่น ชุดดินจังหวัดนราธิวาส พบได้ทั่วไปในภาคใต้ของประเทศไทย (http://www.p1instrument.com/UploadImage/86b68602-3fe7-430f-9bbe-db9434776ae0.jpg) กล้องวัดมุมอิเล็กทรอนิกส์ ยี่ห้อ Leica Builder 100 - T100 9" 1.กล้องเล็งเป็นระบบเห็นภาพตั้งตรง 2. กำลังขยาย 30 เท่า 3. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์ปากกล้องไม่ต่ำกว่า 40 มิลลิเมตร 4. ขนาดความกว้างของภาพที่เห็นในระยะ 100 เมตร ไม่น้อยกว่า 2.6 เมตร หรือ 1องศา 30 ลิปดา 5. ระยะมองเห็นภาพชัดใกล้สุดไม่เกิน 0.9เมตร 6. ค่าตัวคูณคงที่ 100 7. ค่าตัวบวกคงที่ 0 8. กำลังในการขยายภาพ 3 ฟิลิปดา 9. เป็นกล้องแบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบวัดมุมแบบ Absolute Reading 10. หน่วยวัดเป็น องศา ลิปดา ฟิลิปดา 11. แสดงค่ามุมที่วัดได้ละเอียดโดยตรงไม่เกิน 5 ฟิลิปดา และ 10 ฟิลิปดา 12. ค่าความถูกต้องในการอ่านมุม ( Accuracy ) ไม่เกิน 9 ฟิลิปดา 13. หน้าจอแสดงผลเป็น LCD 1 หน้าจอ มีระบบให้แสงสว่างหน้าจอขณะทำงานและสามารถบอกระดับพลังงานได้ 14. ความไวของระดับฟองกลม 10ลิปดา 2 มม. 15. ความไวของระดับฟองยาว 60ฟิลิปดา / 2 มม. 16. กล้องส่องหัวหมุด ( Optical Plummet ) กำลังขยาย 3 เท่า ปรับความคมชัดได้ตั้งแต่ระยะ 0.5 เมตร ขึ้นไป 17. สามารถแสดงผลทั้งเป็นมุมราบและมุมดิ่ง การวัด (Measurement) การวัด (Measurements) เป็นกรรมวิธีพื้นฐานของการได้มาซึ่งค่าสังเกต (Observations) ของข้อมูลตามที่ต้องการ เมื่อได้ก็ตามที่มีการวัด เมื่อนั้นย่อมมีความคลาดเคลื่อน (Errors) ขึ้นตามมาทุกครั้ง ดังนั้น จึงไม่มีการวัดครั้งใดที่ปราศจากความคลาดเคลื่อนอยู่ด้วย นั่นคือ ในการวัดทุกครั้งจำเป็นจำต้องมีการประเมินค่าความถูกต้อง (Accuracy) และค่าความแม่นยำ (Precision) และนั่นหมายถึง ในศึกษาถึงความถูกต้องของการวัดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเข้าใจถึงธรรมชาติ ชนิด และ ขนาดของความคลาดเคลื่อนที่แต่ละกระบวนการวัดด้วย การวัดและมาตรฐาน (Measurement and Standards)
Precision, Accuracy and Discrepancy
|