ล้อแม็ก แม็ก แม็กล้อ แม็กซ์แต่งรถ ล้อแม็กคุณภาพ รวมล้อแม็กลายใหม่ๆ

Sitemap SMB => สินค้าอื่นๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: Jirasak2708 ที่ พฤศจิกายน 14, 2019, 07:45:16 am



หัวข้อ: p1 กล้องสำรวจถนนหนทางภาคสนาม ขาย กล้องระดับ TOPCON, Pentax, CTS/Berger มือหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Jirasak2708 ที่ พฤศจิกายน 14, 2019, 07:45:16 am
จำหน่ายกล้องอุปกรณ์กล้องไลน์สำรวจ คุณภาพเยี่ยม กล้องระดับ TOPCON ยี่ห้อ TOPCON, Pentax, CTS/Berger
การจำแนกดิน คือ การรวบรวมดินประเภทต่างๆที่มีลักษณะ หรือ คุณลักษณะที่หมือนกันหรือคล้ายคลึงกันตามที่ตั้งไว้ ให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระบบระเบียบ เพื่อสะดวกสำหรับการจดจำและก็เอาไปใช้งาน
ระบบการแบ่งดินของประเทศรัสเซีย
ระบบนี้จะมีความสนใจดินที่เกิดในลักษณะภูมิอากาศหนาวเย็น จนกระทั่งค่อนข้างจะร้อน สำหรับเพื่อการแยกประเภทขั้นสูง เน้นการใช้โซนลักษณะอากาศแล้วก็พืชพรรณเป็นหลัก มีทั้งหมด 12 ชั้น (class I- class XII) โดยชั้น I-VI เป็นดินในเขตสภาพอากาศตั้งแต่หนาวจัด จนกระทั่งค่อนข้างหนาวในทะเลทราย ชั้น VII-IX เน้นลักษณะของอากาศค่อนข้างร้อน โดยใช้ลักษณะความชื้น-ความแห้ง และภาวะพรรณไม้ที่เป็นป่า หรือท้องทุ่ง เป็นเหตุจำกัด สำหรับชั้น X-XII เน้นดินในเขตร้อน จากขั้นสูงจะมีการแบ่งประเภทและชนิดออกเป็นชั้นย่อย ตามลักษณะการเกิดของดิน และแบ่งเป็นประเภทดิน ในอย่างน้อย ระบบการจำแนกดินของคูเบียนา การจำแนกดินใช้ ทรัพย์สินทางเคมีของดิน และโซนของภูมิอากาศกับพืชพรรณ เป็นหลัก โดยย้ำสภาพแวดล้อมในเขตเมดิเตอร์เรเนียน แล้วก็สภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างจะแห้งมากยิ่งกว่าเขตเปียกชื้นแล้วก็ฝนชุก
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศฝรั่งเศส
มีลักษณะเด่นเป็น เป็นการแบ่งดินที่ใช้ลักษณะทั้งปวงด้านในหน้าตัดดินเป็นหลักเกณฑ์ ย้ำความก้าวหน้าของหน้าตัดดิน โดยใคร่ครวญจาการจัดแถวตัวของชั้นเกิดดินด้านในหน้าตัดดินโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการที่มีปฏิกิริยาความเคลื่อนไหว หรือชั้นที่มีการสะสมของดินเหนียว การแบ่งแยกลำดับสูงสุด เน้นลักษณะที่เกี่ยวกับการขังน้ำ ส่วนอย่างน้อย ใช้ความมากน้อยสำหรับในการเปลี่ยนที่อนุภาคดินเหนียวในหน้าตัดดิน
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศเบลเยียม
เป็นการจำแนกประเภทที่ออกจะละเอียด ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากการใช้ที่ดินทางการเกษตรที่เข้มข้น การแบ่งแยกดินใช้รูปแบบของเนื้อดิน ชั้นการระบายน้ำ แล้วก็วิวัฒนาการของหน้าตัดดิน เป็นลักษณะจัดประเภท ในการแจกแจงเนื้อดิน แบ่งออกเป็น 7 ชั้น (ชั้นอนุภาคดิน) อุปกรณ์อินทรีย์แล้วก็ขี้ตะกอนลมหอบ ส่วนชั้นการระบายน้ำของดิน ใช้การแปลความที่เกี่ยวกับความแฉะของดิน ตัวอย่างเช่น จุดประ และสีเทาในเนื้อดิน กับระดับความลึกของดินที่พบลักษณะดังที่กล่าวมาแล้ว สำหรับความเจริญของหน้าตัดดินแบ่งได้เป็นหลายชั้นโดยพิเคราะห์จากลำดับของชั้นต่างๆในหน้าตัดดินและชั้น (B) ถือได้ว่าชั้น B ที่เพิ่งจะมีวิวัฒนาการหรือเป็นชั้นแคมบิก B คล้ายคลึงกันกับในระบบของฝรั่งเศส
-ระบบการแบ่งดินของอังกฤษ
เน้นลักษณะดินที่เจอในประเทศอังกฤษรวมทั้งเวลส์ ประกอบด้วย 10 กลุ่ม ขยายความออกมาจากกันโดยใช้รูปแบบของหน้าตัดดินเป็นกฏเกณฑ์ซึ่งเน้นจำพวกและก็การจัดเรียงตัวของชั้นดิน ประกอบด้วย Terrestrial raw soils, Hydric raw soils, Lithomorphic (A/C) soils, Pelosols, Brown soils, Podzolic soils, Surface water gley soils, Groundwater gley soils, Man-made soils รวมทั้ง Peat soils
-ระบบการแบ่งดินของประเทศแคนาดา
ระบบการแบ่งแยกเป็นแบบมีหลายขั้นอนุกรมเกณฑ์และมีลำดับสูงต่ำแน่ชัด ประกอบด้วย 5 ขั้นร่วมกันคือ อันดับ (order) กลุ่มดินใหญ่ (great group) กรุ๊ปดินย่อย (subgroup) ตระกูลดิน (family) และก็ชุดดิน (series) ชั้นอันดับวิธานของดินในระบบการแบ่งดินของแคนาดาแจงแจงออกจากกันโดยใช้ลักษณะที่ดูได้ และที่วัดได้ แม้กระนั้นหนักไปในทางทางทฤษฎีการกำเนิดดินสำหรับในการแยกเป็นชนิดและประเภทระดับสูง ซึ่งแบ่งออกเป็น 9 ชั้น และแบ่งได้เป็น 28 กลุ่มดิน
-ระบบการแบ่งดินของประเทศออสเตรเลีย
การพัฒนาด้านการแบ่งแยกดินในประเทศออสเตรเลียมีมานานแล้วด้วยเหมือนกัน โดยในช่วงแรกเป็นการจำแนกประเภทดินที่ใช้ธรณีวิทยาของอุปกรณ์ดินเริ่มต้นเป็นหลัก แม้กระนั้นต่อมาได้มีการพัฒนามาเรื่อยจนถึงเน้นย้ำสัณฐานวิทยาของหน้าตัดดินโดยแบ่งออกเป็น 47 หน่วยดินหลัก (great soil groups) เนื่องด้วยการที่ประเทศออสเตรเลียมีลักษณะภูมิอากาศอยู่หลายแบบด้วยกัน ทำให้มีสิ่งแวดล้อมทางดินหลายแบบร่วมกันตามไปด้วย มีทั้งยังในภาวะที่หนาวเย็นไปจนกระทั่งเขตร้อนชื้น และเขตที่เป็นทะเลทราย ซึ่งทำให้เห็นกระจ่างเจนว่าระบบการแบ่งแยกนี้ครอบคลุมจำพวกของดินต่างๆมากไม่น้อยเลยทีเดียว แม้กระนั้นเน้นย้ำดินที่มีการสะสมคาร์บอเนต เน้นสีของดิน แล้วก็เนื้อของดินออกจะมาก ระบบการแบ่งดินของประเทศออสเตรเลียนี้มีอยู่มากกว่า 1 แบบ เนื่องจากว่ามีการเสนอระบบต่างๆที่มีแนวความคิดเบื้องต้นไม่เหมือนกันออกไป อย่างเช่นระบบของฟิทซ์แพทริก (FitzPatrick, 1971, 1971, 1980) ที่เน้นจากระดับที่ถือว่าต่ำขึ้นไปหาระดับสูง รวมทั้งระบบที่พบอยู่ในคู่มือของดินประเทศออสเตรเลีย (A Handbook of Australia Soils) ฯลฯ
-ระบบการแบ่งดินของประเทศนิวซีแลนด์
ประเทศนิวซีแลนด์ใช้ระบบอนุกรมวิธานดินของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลักสำหรับการจัดประเภทดิน แล้วก็ดินของประเทศนิวซีแลนด์บริเวณกว้างเป็นดินที่เกิดมาจากตะกอนภูเขาไฟ
-ระบบการแบ่งดินของประเทศบราซิล
ดินในประเทศบราซิลเป็นดินที่มีลักณะเด่นเป็นดินเขตร้อน ระบบการแบ่งแยกดินของบราซิลไม่ใช้ภาวะความชุ่มชื้นดินสำหรับการจัดประเภทขั้นสูง และใช้สี ปริมาณขององค์ประกอบกับจำพวกของหินต้นกำเนิด เป็นลักษณะที่ใช้ในการแบ่งมากยิ่งกว่าที่ใช้ในอนุกรมวิธานดินกษณะที่ใช้ในการจัดชนิดและประเภทมากยิ่งกว่าที่ใช้ในอันดับกฎดิน
ตามระบบการจำแนกดินประจำชาตินี้ สามารถแบ่งดินในประเทศไทยออกเป็น
ชุดดินรังสิต
Alluvial soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นใหม่ มีอายุน้อย มีความเจริญของหน้าตัดดินต่ำ หน้าตัดดินเป็นแบบ A-C, A-Cg, Ag-Cg หรือ A-(B)-Cg มีต้นเหตุจากการพูดซ้ำเติมโดยน้ำตามที่ราบลุ่ม ตัวอย่างเช่นที่ราบลุ่มริมน้ำ ทะเลสาบ ปากแม่น้ำ ชายทะเล รวมทั้งเนินขี้ตะกอนน้ำพารูปพัด (alluvial fan) สภาพของการทับถมอาจเป็นบริเวณของน้ำจืด น้ำทะเล หรือน้ำกร่อยก็ได้ โดยมากจะมีเนื้อดินละเอียด และการระบายน้ำชั่วช้า พบได้ทั่วไปลักษณะที่แสดงการขังน้ำ ยกเว้นรอบๆสันดินริมน้ำ และก็ที่เนินขี้ตะกอนน้ำพารูปพัด ที่เนื้อดินจะหยาบคายกว่า รวมทั้งดินมีการระบายน้ำดี องค์ประกอบและแร่ธาตุที่มีอยู่ในดิน alluvial มักไม่เหมือนกันมาก และมักจะผสมคละจากบริเวณต้นกำเนิดที่มาจากหลายที่ ชุดดินที่สำคัญของกรุ๊ปดินหลักนี้คือ
- พวกที่เกิดจากตะกอนน้ำจืด อย่างเช่น ชุดดินท่าม่วง สรรพยา จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดราชบุรี อยุธยา
- พวกที่เกิดจากตะกอนน้ำกร่อย อาทิเช่น ชุดดินผู้พิทักษ์ รังสิต
- พวกที่เกิดจากขี้ตะกอนภาคพื้นสมุทร เช่น ชุดดินท่าจีน กรุงเทพฯ
-
Hydromorphic Alluvial soils
หมายความว่าดิน Alluvial soils ที่มีการระบายน้ำค่อนข้างจะชั่วโคตร-หยาบช้ามาก ในกรณีที่มีการจำแนกดินออกเป็น Alluvial soils รวมทั้ง Hydromorphic Alluvial soils ดินที่อยู่ในกลุ่มดินหลัก Alluvial soils จะเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี แล้วก็อยู่ในบริเวณที่สูงกว่าในภูมิทัศน์ที่ต่อเนื่องกัน ดินในทั้งสองกลุ่มดินหลักนี้ชอบได้รับอิทธิพลน้ำท่วมในฤดูน้ำหลากเสมอ
 -ชุดดินหัวหิน
Regosols
มีพัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ กำเนิดแจ่มกระจ่างเฉพาะดินบน (A) แล้วก็มีหน้าตัดดินแบบ A-C หรือ A-Cg เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดดินที่เป็นทรายจัดบางทีอาจเป็นทรายรอบๆชายฝั่งทะเล หรือรอบๆเนินทราย หรือทรายจากแม่น้ำ ดินมีการระบายน้ำดี จนกระทั่งระบายน้ำดีจนกระทั่งเกินไป เจอทั่วไปเป็นแถวยาวตามชายฝั่งทะเล แล้วก็ตามกระพักสายธารของแม่น้ำที่มีตะกอนเป็นทรายจัด มีปฏิกิริยาออกจะเป็นกรด ชุดดินที่สำคัญดังเช่นว่า ชุดดินหัวหิน พัทยา ระยอง และน้ำพอง
-Lithosols
เป็นดินตื้นมากมาย จำนวนมากลึกไม่เกิน 30 เซนติเมตร พบได้บ่อยตามบริเวณที่ลาดตีนเขาซึ่งมีกษัยการสูง การจัดตัวของชั้นดินเป็นแบบ A-C-R, AC-C-R หรือ A-R เนื้อดินมีเศษหินที่ยังไม่ผุพังเสื่อมสภาพหรือกำลังสลายตัวคละเคล้าอยู่เป็นส่วนมาก ดินนี้ไม่เหมาะสมแก่การเกษตร หรือการผลิตพืชโดยทั่วไป
-ชุดดินจังหวัดลพบุรี
Grumusols
เป็นดินสีคล้ำ มีสาเหตุมาจากวัตถุต้นกำเนิดที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง อย่างเช่น หินปูน มาร์ล หรือบะซอลต์ ความก้าวหน้าของหน้าตัดดินต่ำ เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีองค์ประกอบเป็นแร่ดินเหนียวประเภท 2:1 ซึ่งมีความรู้และความเข้าใจสำหรับในการยืด-หดตัวได้มาก ดินจะขยายตัวเมื่อแฉะ (swelling) แล้วก็หดตัวเมื่อแห้ง (shrinkage) ทำให้มีลักษณะของรอยูไถล (slickensides) เกิดขึ้นในดิน ลักษณะหน้าตัดประกอบด้วยชั้น A-C หรือ A-AC-C โดยชั้น A จะครึ้ม มีส่วนประกอบดินแบบก้อนกลม (granular structure) หรือก้อนกลมพรุน (crumb structure) พบบ่อยในรอบๆที่ราบลุ่มหรือกระพักลำธาร ลักษณะผิวหน้าดินเป็นหลักที่ปุ่มๆป่ำๆ (gilgai relief) เมื่อแห้งผิวดินจะแตกระแหงเป็นร่องลึก ปฏิกิริยาดินเป็นด่าง ลักษณะโดยรวมเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง แม้กระนั้นมีทรัพย์สินทางด้านกายภาพที่เป็นอุปสรรคต่อการไถกระพรวน ดินนี้ในบริเวณที่ต่ำจะมีการระบายน้ำต่ำช้า ส่วนมากใช้ปลูกข้าว แม้กระนั้นหากอยู่ในที่สูง ดังเช่นในรอบๆใกล้ตีนเขาหินปูนมักจะมีการระบายน้ำดี ใช้ปลูกพืชไร่ เป็นต้นว่า ข้าวโพดชุดดินที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น ชุดดิน จังหวัดลพบุรี บ้านหมี่ โคกกระเทียม จังหวัดบุรีรัมย์ กรุ๊ปดินหลัก Grumusols นี้ ไม่มีในระบบ USDA 1938 เริ่มใช้ในการเพิ่มอีกระบบ USDA เมื่อ 1949
 -ชุดดินตาคลี
Rendzinas
เป็นดินตื้นกำเนิดตามตีนเขาหินปูน วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นพวกปูน (CaCO3) หรือมาร์ล เกิดเกี่ยวข้องกับดิน Grumusols แต่อยู่ในบริเวณที่สูงกว่า มักพบรอบๆที่ลาดใกล้เขา หรือ กระพักที่ลุ่มใกล้เขาหินปูน เป็นดินที่มีความเจริญของหน้าตัดต่ำ ลักษณะดินจะมีเพียงแค่ชั้น A และ C หรือ A-(B)-C ดินบนสีคล้ำ มีองค์ประกอบดี ร่วน แล้วก็ค่อนข้างจะหนา มีการระบายน้ำดี ส่วนดินล่างเป็นดินเหนียวผสมปูนหรือปูนมาร์ล ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามความลึก รวมทั้งมักจะพบชั้นที่เป็นปูน หรือ ปูนมาร์ลล้วนๆอยู่ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ดินพวกนี้จะมีปฏิกิริยาเป็นด่าง (pH ราวๆ 7.0-8.0) จำนวนมากใช้สำหรับในการปลูกพืชไร่ ได้แก่ข้าวโพด หรือปลูกไม้ผล ดังเช่นว่า น้อยหน่า ทับทิม เป็นต้น ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินตาคลี
 -ชุดดินชัยบาดาล
Brown Forest soils
พบตามรอบๆภูเขาเป็นส่วนมาก เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้าง และก็เศษหินเชิงเขา ทั้งในภาวะที่หินพื้นเป็นพวกที่มีปฏิกิริยาเป็นกรด และก็ด่าง เป็นต้นว่า แกรนิต ไนส์ แอนดีไซต์ มาร์ล อาจพบปะสนทนาผสมกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Rendzinas เป็นดินตื้น พัฒนาการของหน้าตัดดินไม่มากเท่าไรนัก มีลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A-B-C หรือ A-B-R แต่ว่าชั้น B ชอบไม่ค่อยแจ้งชัด ในประเทศไทยมักพบตามภูเขาหินปูนเป็นส่วนใหญ่ สำหรับ Brown Forest soils ที่เป็นกรด เจอเพียงแค่เล็กๆน้อยๆชุดดินที่สำคัญ อาทิเช่น ชัยบาดาล ลำที่นารายณ์ สมอทอด
 -Humic Gley soils
เจอจำนวนน้อยในประเทศไทย มักกำเนิดผสมอยู่กับดินอื่นๆในลักษณะขจุยขจายเป็นหย่อมๆในบริเวณที่ราบลุ่ม มักพบอยู่ชิดกับดินในกรุ๊ป Grumusols, Rendzinas หรือ Red Brown Earths เป็นดินในที่ต่ำ มีการระบายน้ำต่ำทราม ความก้าวหน้าของหน้าตัดไม่ดีนัก ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ Ag (Apg)-Cg หรือ A-Bg-Cg ลักษณะที่สำคัญเป็น ดินบนครึ้ม มีสารอินทรีย์สูง ดินล่างมักเป็นดินเหนียวสีเทาหรือสีเทาเข้ม มีลักษณะที่แสดงถึงภาวะที่มีการขังน้ำกระจ่างแจ้ง มีจุดประ ปฏิกิริยาดินเป็นด่างเล็กน้อยชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินแม่ขานรับ
 -ชุดดินร้อยเอ็ด
Low Humic Gley soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นมาจากขี้ตะกอนน้ำพา เจอในรอบๆที่ต่ำที่มีการระบายน้ำชั่วช้าสารเลว ส่วนมากอยู่ในบริเวณกระพักลุ่มน้ำต่ำที่สูงกว่าที่ราบลุ่มใหม่ใกล้น้ำ ระดับน้ำใต้ดินตื้นแล้วก็แช่ขังเป็นบางครั้งบางคราว แต่ว่ามีความก้าวหน้าของหน้าตัดออกจะดี ลักษณะสำคัญของดินในกลุ่มนี้เป็น หน้าตัดดินมีลักษณะที่แสดงออกถึงการขังน้ำ มีจุดประแจ่มกระจ่าง หน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt, Ap-A2-Bt, A1-A2-Btg, A1g-A2g-Btg, หรือ Apg-Btg พวกที่มีอายุน้อยจะสมบูรณ์บริบูรณ์มากกว่าพวกที่เกิดยาวนานกว่า บางบริเวณจะเจอหินแลงอ่อน (plinthite) ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ส่วนมากเป็นดินที่มีความอิ่มตัวเบสต่ำ pH ราว 4.5-5.5 สำหรับพวกที่เกิดอยู่ในบริเวณตะพักแถบที่ลุ่มค่อนข้างจะใหม่ มักจะมีความอิ่มตัวเบสสูง ชุดดินที่สำคัญ คือ เพ็ญ จังหวัดสระบุรี มโนรมย์ เพชรบุรี เชียงราย หล่มเก่า ส่วนพวกที่เกิดบนตะพักที่ลุ่มค่อนข้างเก่า ยกตัวอย่างเช่นชุดดิน ร้อยเอ็ด ลำปาง เป็นต้น
 
-ชุดดินท่าอุเทน
Ground Water Podzols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำเลวทรามถึงค่อนข้างจะต่ำทรามเจอเฉพาะในบริเวณที่มีฝนตกชุก ดังเช่นว่า ในภาคใต้ รอบๆริมฝั่งทิศตะวันออก หรือบางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดนครพนม เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นทราย ในรอบๆที่เป็นทรายจัด ยกตัวอย่างเช่น หาดเก่าหรือขี้ตะกอนทรายเก่า ในรอบๆที่ค่อนข้างต่ำ มีความเจริญของหน้าตัดดี รูปแบบของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-(A2)-Bh-Cg หรือ A1-A2-Bir-Cg ชั้นดินบนสีคล้ำ และก็มีสารอินทรีย์สูง ชั้น A2 (albic horizon) หรือชั้นชำระล้างมีสีซีดจางเห็นได้ชัดเจน ชั้น Bh มีสีน้ำตาลเข้มและมีการอัดตัวค่อนข้างแน่น แข็ง เนื่องด้วยมีการสะสมสารอินทรีย์ที่สลายตัวแล้วกับอะลูมินัมออกไซด์และ/หรือเหล็กออกไซด์ มีปฏิกิริยาเป็นกรด pH ต่ำ ประมาณ 4.0-5.0 ตลอดทั้งหน้าตัดชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินบ้านทอน ท่าอุเทน
 -ชุดดินหนองมึง
Solodized-Solonetz
พบในรอบๆที่ค่อนข้างจะแห้งแล้ง และวัตถุแหล่งกำเนิดมีเกลือผสมอยู่ ยกตัวอย่างเช่นบริเวณชายฝั่งทะเลเก่า หรือบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากเกลือที่มาจากใต้ดิน อาทิเช่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของเมืองไทย เป็นต้น มีลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt ดินมีการระบายน้ำหยาบช้า ชั้น Bt จะแข็งแน่นรวมทั้งมีโครงสร้างแบบแท่งหัวมน (columnar structure) หรือแบบแท่งหัวตัด (prismatic) ดินบนเป็นดินร่วนผสมทราย มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างโดยประมาณ 5-5.5 ส่วนดินล่างมี pH สูง 7.0-8.0 อย่างเช่นชุดดินว่าวจุฬาร้องไห้ ชุดดินหนองเอ็ง เป็นต้น
 -ชุดดินอุดร
Solonchak
เป็นดินที่มีการระบายน้ำต่ำช้าถึงค่อนข้างจะเหลวแหลก มีเกลือสะสมอยู่ในชั้นดินมาก หน้าตัดดินเป็นแบบ Apg-Cg หรือ Apg-Bg-Cg ในดินเหล่านี้จะมีชั้นดินที่เป็นดินเหนียวอยู่เป็นชั้นบางๆสลับกับชั้นทราย เกิดขึ้นให้เห็นได้ชัดเจน ในฤดูแล้งจะเห็นคราบเกลือสีขาวๆที่ผิวหน้าดิน ความเป็นกรดเป็นด่างมากยิ่งกว่า 7.0 อาทิเช่น ชุดดินทิศเหนือ
 -Non Calcic Brown soils
เจอไม่มากนักในประเทศไทย พบในรอบๆกระพักลำน้ำค่อนข้างใหม่ พัฒนาการของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดดินแบบ A1(Ap)-A2-Bt ดินบนสีน้ำตาลเทา ดินด้านล่างมีสีน้ำตาล น้ำตาลคละเคล้าเหลือง หรือน้ำตาลปนแดง เป็นผลมาจากขี้ตะกอนน้ำออกจะใหม่ มีเนื้อดินตั้งแต่ค่อนข้างจะหยาบไปจนกระทั่งละเอียด แล้วก็มีปฏิกิริยาเป็นกรดน้อย ในหน้าตัดดินจะพบแร่ไมกาอยู่ทั่วไป มีการระบายน้ำดี ความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างจะสูง เหมาะที่จะปลูกพืชไร่และไม้ผล ชุดดินที่สำคัญเป็นต้นว่า ชุดดิน กำแพงแสน ธาตุพนม
 -ชุดดินโคราช
Gray Podzolic soils
เกิดในบริเวณตะพักสายธารเป็นดินที่มีอายุค่อนข้างจะมากมาย มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดี เจอในรอบๆลำน้ำระดับที่ถือว่าต่ำ-ระดับกึ่งกลาง วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นขี้ตะกอนน้ำที่ทับถมมานานแล้ว ซึ่งจะเป็นกรดและก็มีแร่ที่สลายตัวง่ายเหลืออยู่ในปริมาณน้อย ในสภาพพื้นที่แบบคลื่น ซึ่งทำให้การไหลผ่านหน้าดินเป็นไปอย่างช้าๆและภูมิอากาศที่มีระยะแฉะ-แห้งสลับกันเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการเกิดดินประเภทนี้ ลักษณะดินชี้ให้เห็นว่าดินมีการชะละลายสูง สีจะออกขาวหรือเทาจัดเมื่อแห้ง และมีลักษณะการย้ายที่บนผิวหน้าดินค่อนข้างจะแน่ชัด เนื้อดินละเอียดแล้วก็อินทรียวัตถุถูกล้างไปเมื่อหน้าดินถูกฝน ยังเหลือแม้กระนั้นจุดที่เกาะตัวกันแน่นอยู่เป็นจุดๆบางทีอาจเจอพลินไทต์ในชั้นดินด้านล่าง เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ-ต่ำมาก รูปแบบของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt กลุ่มดินนี้พบเป็นบริเวณกว้างใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งบางแห่งในภาคเหนือ ชุดดินที่สำคัญ อาทิเช่น ชุดดินวัวราช สันป่าตอง ห้วยโป่ง เป็นต้น
 -ชุดดินท่ายาง
Red Yellow Podzolic soils
เป็นดินเก่าที่มีความเจริญของหน้าตัดดินดี เกิดในสภาพที่คล้ายคลึงกับดินในกลุ่มดินหลัก Reddish Brown Lateritic Soils ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt-C หรือ R พบทั่วๆไปในรอบๆเทือกเขาและก็ที่ลาดตีนเขาหรือที่ราบขั้นบันไดเก่า วัตถุแหล่งกำเนิดดินมาจากหินหลายประเภท โดยมากเป็นหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกรดถึงเป็นกลาง ดินมีการระบายน้ำดี ลักษณะเนื้อดินเปลี่ยนได้มากตั้งแต่ค่อนข้างหยาบคายจนถึงออกจะละเอียด สีจะออกแดง เหลืองปนแดงแล้วก็เหลือง มีชั้น E ที่ค่อนข้างจะกระจ่างแจ้ง มีสีจางหรือเทากว่าชั้นอื่น แล้วก็อาจมีเศษหินที่เสื่อมสภาพ หรือ พลินไทต์ปนเปอยู่ด้วยในดินล่าง แบบอย่างดังเช่นว่า ชุดดินท่ายาง โพนพิสัย จังหวัดชุมพร หาดใหญ่ จังหวัดภูเก็ต ฯลฯ จัดว่าเป็นกรุ๊ปดินที่พบมากกรุ๊ปหนึ่งในประเทศไทย
 -ชุดดินอ่าวลึก
Reddish Brown Lateritic soils
เป็นดินเก่า มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดี มีเหตุมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นวัตถุหลงเหลือของหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกลางและที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี ดินข้างบนมีสีน้ำตาลเข้ม หรือสีน้ำตาลแดง มีเนื้อดินตั้งแต่ดินร่วนซุย (loam) ถึง ดินร่วนซุยเหนียว (clay loam) ส่วนชั้นดินด้านล่างมีเนื้อดินเป็นดินร่วนซุยเหนียว ถึงดินเหนียว (clay) ที่มีสีแดง ลักษณะของดินแสดงการชะล้างสูง รวมทั้งบางทีอาจพบชั้นศิลาแลงในด้านล่างของหน้าตัดดิน ลักษณะดินจะคล้ายกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Red Brown Earths ที่แตกต่างเป็นจะมีเป็นกรดมากกว่า pH ราวๆ 5-6 ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินหลบ บ้านจ้องมอง อ่าวลึก ตราด เป็นต้น
-ชุดดินปากช่อง
Red Brown Earth
เป็นดินที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับหินปูน หรือหินที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง แล้วก็จะมีความเกี่ยวพันกับหินดินดานด้วย ดินมีสีแดง มีพัฒนาการของหน้าตัดดี เป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีการระบายน้ำดี กำเนิดในรอบๆที่ราบซึ่งเกิดจากกษัยการ หรืออาจจะเกิดตามไหล่เขาได้ ดินเหล่านี้มีลักษณะสีดิน และการจัดตัวของชั้นดินใกล้เคียงกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Reddish Brown Lateritic มากมายแตกต่างกันที่ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน โดยที่ Red Brown Earth มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างสูงขึ้นมากยิ่งกว่า (pH โดยประมาณ 6.5-8.0) ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินปากช่อง เป็นกรุ๊ปดินที่มีการปลูกพืชไร่แล้วก็ทำสวนผลไม้กันมาก
-ชุดดินยโสธร
Red Yellow Latosols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำดีจนถึงดีเหลือเกิน มีอายุมากมาย หน้าตัดดินลึก มีลักษณะที่แปลว่ามีการชะละลายสูง วิวัฒนาการของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-B (Box) หรือ A1-A3-B (Box) พบเป็นหย่อมๆในบริเวณลานตะพักลำธารระดับที่ค่อนข้างสูง มีต้นเหตุที่เกิดจากตะกอนน้ำพาเก่ามากมาย มีสมบัติด้านกายภาพดี แต่สมบัติทางเคมีไม่ค่อยดี มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีสีแดงหรือเหลืองตลอดหน้าตัดดิน ดินบนเนื้อดินหยาบคาย ดินล่างมีพวกเซสควิออกไซด์สูง บางที่พบหินแลงในตอนล่างของหน้าตัดดิน และไม่เจอการเคลือบผิวของดินเหนียวในชั้น B ชุดดินที่สำคัญ อย่างเช่น ศรีราชา ยโสธร
-Reddish Brown Latosols
เกิดในรอบๆที่เกี่ยวพันกับภูเขาไฟ วัตถุต้นกำเนิดเป็นขี้ตะกอนตกค้าง หรือตะกอนดาดตีนเขา ของหินที่เป็นด่างเป็นต้นว่า บะซอลท์ แอนดีไซต์ เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี รวมทั้งพัฒนาการของหน้าตัดดี มีหน้าตัดดินแบบ A-Box (ox = ออกไซด์ของเหล็ก) เนื้อดินเป็นดินเหนียวสีแดง สีแดงคละเคล้าน้ำตาล มีความร่วนซุยดี เป็นดินลึกมากมาย มักจะเหมาะกับการใช้ทำสวนผลไม้ ดังเช่นว่า ชุดดินท่าใหม่
-Organic soils
Organic soils หรือเรียกว่า Peat and Muck soils เป็นดินที่มีลักษณะแตกต่างไปจากกลุ่มดินอื่นๆเพราะเป็นดินที่มีอินทรีย์คาร์บอนอยู่ในองค์ประกอบมากกว่าร้อยละ 20 โดยน้ำหนัก หรือประกอบไปด้วยสารอินทรีย์ล้วนๆพบในรอบๆแอ่งต่ำมีน้ำขังอยู่เกือบทั้งปีรวมทั้งมีการสะสมของวัสดุดินอินทรีย์สูง สำหรับในประเทศไทยพบได้ทั่วไปทางภาคใต้ ในจังหวัดนราธิวาส โดยยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่พรุ จุดเด่นก็คือสีจะคล้ำ มีอินทรีย์วัตถุสูง เป็นกรดจัด มีการพัฒนาหน้าตัดดินน้อย ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-C เมื่อระบายน้ำออก จะหดตัวได้มาก อาทิเช่น ชุดดินจังหวัดนราธิวาส พบได้มากในภาคใต้ของประเทศไทย
(http://www.p1instrument.com/UploadImage/86b68602-3fe7-430f-9bbe-db9434776ae0.jpg)
 
กล้องวัดมุมอิเล็กทรอนิกส์ ยี่ห้อ Leica Builder 100 - T100 9"
 
1.กล้องเล็งเป็นระบบเห็นภาพตั้งตรง
2. กำลังขยาย 30 เท่า
3. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์ปากกล้องไม่ต่ำกว่า 40 มิลลิเมตร
4. ขนาดความกว้างของภาพที่เห็นในระยะ 100 เมตร ไม่น้อยกว่า 2.6 เมตร หรือ 1องศา 30 ลิปดา
5. ระยะมองเห็นภาพชัดใกล้สุดไม่เกิน 0.9เมตร
6. ค่าตัวคูณคงที่ 100
7. ค่าตัวบวกคงที่ 0
8. กำลังในการขยายภาพ 3 ฟิลิปดา
9. เป็นกล้องแบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบวัดมุมแบบ Absolute Reading
10. หน่วยวัดเป็น องศา ลิปดา ฟิลิปดา
11. แสดงค่ามุมที่วัดได้ละเอียดโดยตรงไม่เกิน 5 ฟิลิปดา และ 10 ฟิลิปดา
12. ค่าความถูกต้องในการอ่านมุม ( Accuracy ) ไม่เกิน 9 ฟิลิปดา
13. หน้าจอแสดงผลเป็น LCD 1 หน้าจอ มีระบบให้แสงสว่างหน้าจอขณะทำงานและสามารถบอกระดับพลังงานได้
14. ความไวของระดับฟองกลม 10ลิปดา 2 มม.
15. ความไวของระดับฟองยาว 60ฟิลิปดา / 2 มม.
16. กล้องส่องหัวหมุด ( Optical Plummet ) กำลังขยาย 3 เท่า ปรับความคมชัดได้ตั้งแต่ระยะ 0.5 เมตร ขึ้นไป
17. สามารถแสดงผลทั้งเป็นมุมราบและมุมดิ่ง

 
การวัด (Measurement)
การวัด (Measurements) เป็นกรรมวิธีพื้นฐานของการได้มาซึ่งค่าสังเกต (Observations) ของข้อมูลตามที่ต้องการ เมื่อได้ก็ตามที่มีการวัด เมื่อนั้นย่อมมีความคลาดเคลื่อน (Errors) ขึ้นตามมาทุกครั้ง ดังนั้น จึงไม่มีการวัดครั้งใดที่ปราศจากความคลาดเคลื่อนอยู่ด้วย นั่นคือ ในการวัดทุกครั้งจำเป็นจำต้องมีการประเมินค่าความถูกต้อง (Accuracy) และค่าความแม่นยำ (Precision) และนั่นหมายถึง ในศึกษาถึงความถูกต้องของการวัดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเข้าใจถึงธรรมชาติ ชนิด และ ขนาดของความคลาดเคลื่อนที่แต่ละกระบวนการวัดด้วย
การวัดและมาตรฐาน (Measurement and Standards)

  • การวัด เป็นกระบวนการหาขนาด ปริมาณ ของสิ่งที่ต้องการวัดด้วยการเทียบกับมาตรฐานอันหนึ่งที่ใช้ในการหาขนาดและปริมาณต่างๆ เช่น
  • ความยาว น้ำหนัก ทิศทาง เวลา ตลอดจน ปริมาตร ตัวอย่างของการเทียบกับสิ่งที่เป็นมาตรฐาน เช่น ความยาวมาตรฐาน 1 เมตร คือ ระยะทางที่แสงเดินทางได้ในสุญญากาศเป็นเวลา 1/299,792,458 วินาที ซึ่งอาจจะทำการวัดเทียบกับสิ่งที่ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงนั้นโดยตรงหรือโดยอ้อม (Direct and Indirect Measurement)


ความคลาดเคลื่อนของการวัด (Measurement Errors)

  • ค่าความคลาดเคลื่อน ( errors)คือ ค่าความแตกต่างระหว่างค่าที่วัดได้กับค่าจริงของปริมาณนั้น

- ค่าคลาดเคลื่อน (Error) - ค่าที่รังวัดมา (Observed Value) - ค่าที่ถูกต้
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ