หัวข้อ: การลดหุ่นด้วยการกินอาหารคีโต หรือวิธีการทำ "คีโตเจนิกไดเอท (Ketogenic diet)" เริ่มหัวข้อโดย: Jeatnarong9898 ที่ มกราคม 20, 2020, 05:57:25 pm การลดน้ำหนักด้วยวิธีการทำคีโตเจนิกไดเอท (Ketogenic diet) เป็นการกินไขมันเพื่อลดไขมัน แม้ว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสถาพทางร่างกาย แต่ว่าแม้รับประทานไม่ถูกแนวทางก็อาจส่งผลให้มีอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้เช่นเดียวกัน
ในขณะนี้ การรับประทานอาหารคีโต หรือที่เรียกว่า “คีโตเจนิกไดเอท (Ketogenic Diet)” ยอดเยี่ยมในกรรมวิธีการรับประทานอาหารเพื่อลดน้ำหนัก หรือลดไขมัน ที่กำลังเป็นที่ชื่นชอบในฝูงคนรักสุขภาพ ผู้กระทำคีโตเจนิกไดเอทจะกินคาร์โบไฮเดรตในจำนวนที่น้อยมาก รวมทั้งรับประทานไขมันดีเยอะมากๆ เพื่อให้ร่างกายสลายไขมันมาใช้เป็นแหล่งพลังงานแทนน้ำตาล ทำให้ลดไขมันสะสมภายในร่างกายได้ แต่ การทำคีโตเจนิกไดเอทมีข้อควรพิจารณา แล้วก็ผลกระทบที่ต้องรู้ แม้คุณคิดจะลดน้ำหนัก หรือลดไขมันด้วยแนวทางลักษณะนี้ ควรศึกษาเรียนรู้เนื้อหาก่อน เพื่อกระบวนการทำคีโตเจนิกไดเอทเป็นไปอย่างแม่นยำ รวมทั้งลดจังหวะที่จะเกิดผลข้างเคียงที่เป็นโทษ คีโตเจนิกไดเอทคืออะไร? ในมุมมองของคนส่วนมากการทานอาหารคีโต หรือการทำคีโตเจนิกไดเอท คือ “การกินไขมัน เพื่อลดไขมัน” ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูก แต่ก็มีรายละเอียดมากกว่านั้น คีโตเจนิกไดเอท เป็น การรับประทานอาหารโดยทำให้ร่างกายคิดว่า มิได้ทานอาหารเข้าไป หรือรู้สึกว่ากำลังอดอาหารอยู่ ด้วยการงดรับประทานแป้ง และก็น้ำตาล ซึ่งเป็นอาหารที่อยู่กรุ๊ปคาร์โบไฮเดรต วิตามิน รวมทั้งเกลือแร่ เมื่อร่างกายขาดแหล่งพลังงานหลักจากน้ำตาล ก็เลยจำต้องหาพลังงานทดแทนจากแหล่งอื่น มันก็คือ “ไขมัน” ที่สะสมอยู่ในร่างกาย หรืออาหารคีโตที่กินเข้าไป ทำให้ลดจำนวนไขมันในร่างกายได้นั่นเอ คีโตเจนิกไดเอทสามารถลดน้ำหนักได้จริงไหม? คีโตเจนิกไดเอทสามารถลดน้ำหนักได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นแรกของการกินอาหารคีโต เพราะในระหว่างที่ร่างกายเผาผลาญไขมันไปใช้เป็นพลังงานแทนน้ำตาลเดกซ์โทรส ร่างกายจะเสียน้ำตามไปด้วย ซึ่ง “น้ำ” เป็นส่วนประกอบหลักของร่างกาย คิดเป็น 60% จากส่วนประกอบทั้งหมดทั้งปวง (ส่วนประกอบอื่นๆยกตัวอย่างเช่น กล้ามเนื้อ กระดูก และส่วนอื่นๆ) ทำให้การทำคีโตเจนิกไดเอทในระยะแรก สามารถลดความอ้วนได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง นอกเหนือจากนั้น ระหว่างแนวทางการเผาผลาญไขมันไปเป็นพลังงาน จะเกิดสารประเภทหนึ่งที่ชื่อว่า “คีโตน” ในกระแสโลหิต ซึ่งคีโตนจะนำมาซึ่งการทำให้ให้รู้สึกไม่อยากกินอาหาร ทำให้รับประทานได้ลดลงตามไปด้วย ประเภทของกระบวนการทำคีโตเจนิกไดเอท ในบทความนี้ จะแยกประเภทของกระบวนการทำคีโตเจนิกไดเอทตามรูปร่างของกินที่กินในแต่ละวัน ดังนี้ คีโตเจนิกไดเอทแบบทั่วๆไป (Standard Ketogenic Diet: SKD) การทานอาหารแบ่งรูปทรงออกเป็นไขมัน 75% โปรตีน 25% และคาร์โบไฮเดรต 5% กระบวนการทำคีโตเจนิกไดเอท 5 วัน สลับกับการกินคาร์โบไฮเดรตในจำนวนสูง 2 วัน (Cyclical Ketogenic Diet: CKD) การทำคีโตเจนิกไดเอทซึ่งสามารถเพิ่มปริมาณการรับประทานคาร์โบไฮเดรตได้ในช่วงบริหารร่างกาย (Targeted Ketogenic Diet: TKD) การรับประทานคีโตเจนิกไดเอทแบบย้ำโปรตีน (High-protein ketogenic diet) คล้ายกับกระบวนการทำคีโตเจนิกไดเอททั่วไป แม้กระนั้นมีรูปทรงอาหารแตกต่าง คือ ไขมัน 60% โปรตีน 35% และก็คาร์โบไฮเดรต 5% ข้อควรจะรู้เกี่ยวกับกระบวนการทำคีโตเจนิกไดเอท กระบวนการทำคีโตเจนิกไดเอทจะให้ผลลัพธ์ในทางการลดน้ำหนักดีมากกว่าการกินอาหารต้นแบบอื่นๆในช่วง 6 เดือนแรก เพราะว่าร่างกายสูญเสียน้ำจากวิธีการสลายไขมันเป็นพลังงาน แต่ในระยะยาวให้ผลลัพธ์ไม่มีความต่างกัน กระบวนการทำคีโตเจนิกไดเอท คือการงดกินแป้งและก็น้ำตาล ทำให้ไม่อาจจะรับประทานแหล่งอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรต ผักมีหัว และผลไม้ จึงทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต วิตามิน และก็เกลือแร่ ผู้กระทำคีโตเจนิกไดเอทจึงจำต้องกินอาหารเสริมเพิ่มอีกเข้าไป ภายหลังที่เลิกทำคีโตเจนิกไดเอทแล้ว เมื่อคุณกลับมากินคาร์โบไฮเดรตอีกรอบ ควรจะค่อยๆเพิ่มปริมาณของคาร์โบไฮเดรต ด้วยเหตุว่าถ้าหากไม่อาจควบคุมของกินได้ ก็อาจจะส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างเร็ว หรือที่เรียกว่า “โยโย่เอฟเฟค (Yoyo effect)” นั่นเอง ภาวการณ์คีโตสิสเป็นอย่างไร อันตรายไหม? “ภาวะคีโตซิส (Ketosis)” เป็นภาวการณ์ที่ชาวคีโตเจนิกไดเอทรู้จักกันดี ด้วยเหตุว่าเป็นสภาวะที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายนำไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทนน้ำตาล โดยภาวการณ์ดังกล่าวข้างต้นจะเกิดขึ้นเมื่อคุณอดแป้งและก็น้ำตาลตรงเวลา 12-16 ชั่วโมงขึ้น ทำให้ร่างกายจำต้องหาแหล่งพลังงานทดแทน หมายคือไขมัน ขั้นตอนการสลายไขมันเป็นพลังงาน จะทำให้เกิดสารที่เป็นกรดตัวหนึ่งที่ชื่อว่า “คีโตน (Ketones)” ไปสะสมอยู่ในกระแสโลหิต ซึ่งร่างกายจะนำสารนั้นมาใช้เป็นพลังงานแทนน้ำตาลเดกซ์โทรสที่ขาดไปนั่นเอง ภาวะคีโตซิสนั้น จัดเป็นภาวการณ์ที่ไม่นับว่าเป็นอันตราย แม้กระนั้นอาจจะส่งผลให้ส่งผลข้างๆในระยะแรกของการปรับตัวได้ ยกตัวอย่างเช่น ไข้คีโต (Keto flu) ทำให้เกิดความรู้สึกป่วยไข้ตัว คลื่นไส้ อ้วก ปวดศีรษะ อ่อนล้า หรือท้องผูก ซึ่งอาการพวกนี้จะหายได้เองด้านใน 1-2 อาทิตย์ แต่ คนจำนวนมากมักหลงผิดกับภาวะเลือดเป็นกรดด้วยคีโตนในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis: DKA) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน เป็น ร่างกายหรูหราน้ำตาลในเลือดสูง อินซูลิน (Insulin) ต่ำ และมีคีโตนในปริมาณปานกลางถึงสูง ซึ่งภาวการณ์ DKA จัดเป็นคราวฉุกเฉินด้านการแพทย์ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาโดยเร่งด่วน เนื่องจากอาจจะก่อให้หมดสติ หรือเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงไม่ควรกระทำคีโตเจนิกไดเอทนั่นเอง คนที่ไม่ควรทำคีโตเจนิกไดเอท หรือรับประทานอาหารคีโต คนเป็นโรคเบาหวาน: กระบวนการทำคีโตเจนิกไดเอทจะมีผลให้เกิดภาวะคิโตสิส ซึ่งบางทีอาจพัฒนาไปเป็นสภาวะ DKA ซึ่งเป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของโรคเบาหวาน ที่จำต้องรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะเหตุว่าอาจทำให้สลบ หรือเสียชีวิตได้ ผู้เจ็บป่วยโรคตับ: ตับ เป็นอวัยวะที่ปฏิบัติหน้าที่แปลงไขมันให้เป็นพลังงาน คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับก็เลยไม่สมควรที่จะทำคีโตเจนิกไดเอท คนไข้โรคไต: คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต ดังเช่น ไตวาย หรือไตเสื่อม ไม่สมควรที่จะกระทำคีโตเจนิกไดเอท เพราะเหตุว่าความเปลี่ยนไปจากปกติพวกนี้มักเป็นผลมาจากการกินโปรตีนมากเกินไป ซึ่งกระบวนการทำคีโตเจนิกไดเอทจึงควรรับประทานโปรตีนในจำนวนที่ออกจะมากนั่นเอง ผู้มีปัญหาเรื่องการเผาผลาญไขมัน: กระบวนการทำคีโตเจนิก เป็นการงดแป้ง แล้วก็น้ำตาล เพื่อร่างกายสลายไขมันแทนน้ำตาล คนที่มีปัญหาหัวข้อการสลายไขมันก็เลยไม่สมควรกระทำคีโตเจนิกไดเอท โดยสามารถมองได้จากบาปพันธ์ หรือดูว่า มีคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงไหม ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับการบีบตัวของลำไส้ ท้องขึ้นง่าย หรือเป็นกรดไหลย้อน: การเน้นกินไขมันอาจจะส่งผลให้อาการเหล่านี้กำเริบขึ้นได้ คุณประโยชน์อื่นๆของแนวทางการทำคีโตเจนิกไดเอท ป้องกันโรคหัวใจและก็เส้นโลหิต: กระบวนการทำคีโตเจนิกจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคเส้นโลหิตแล้วก็หัวใจ ไม่ว่าจะการลดระดับคอเลสเตอรอล ไขมันสารเลว และระดับในเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นไปอย่างปกติ ผู้เจ็บป่วยอัลไซเมอร์: ความรู้ความเข้าใจสำหรับในการเผาผลาญเดกซ์โทรสในคนเจ็บอัลไซม์เมอร์นั้นไม่ดีมากเท่าไรนัก ซึ่งทำให้ส่งผลต่อรูปแบบการทำงานของสมอง การกินอาหารคีโต เพื่อร่างกายใช้คีโตนเป็นพลังงานแทนเดกซ์โทรสก็เลยช่วยทำให้ความจำดียิ่งขึ้นได้นั่นเอง ลดการเกิดสิว: การรับประทานน้ำตาล นอกเหนือจากที่จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินซูลินแล้ว ยังกระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมนแอนโดรเจนมากขึ้นด้วย ซึ่งฮอร์โมนดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ทำให้น้ำมันในผิวมีมากเกินความจำเป็น รูขุมขนกว้าง ส่งผลให้เกิดสิวหัวดำ และสิวอักเสบ การงดแป้ง หรือน้ำตาล ก็เลยช่วยสำหรับในการป้องกันสิวนั่นเอง ตัวอย่างของกินที่คีโตเจนิกไดเอทสามารถกินได้ ของกินที่อุดมไปด้วยไขมันดี: ปลาแซลม่อน ปลาทูน่า อะโวคาโด ไข่ไก่ น้ำมันที่สกัดจากมะกอก น้ำมันรำข้าว เนย ชีส อัลมอนด์ วอลนัท เมล็ดฟักทอง แล้วก็เม็ดเซีย ผักที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อย: ผักใบเขียว มะเขือเทศ รวมทั้งหอมหัวใหญ่ เครื่องปรุงรสที่ไม่มีน้ำตาล: เกลือ พริกไทย เครื่องเทศต่างๆ แบบอย่างอาหารที่คนทำคีโตเจนิกไดเอทไม่สามารถกินได้ อาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล: น้ำผลไม้ ไอติม ทอฟฟี่ ซอสแต่งรส ธัญพืชหรือแป้ง: ข้าว พาสต้า ซีเรียล สินค้าจากข้าวสาลี ผลไม้: ผลไม้ดูเหมือนจะทุกประเภท ละเว้นผลไม้จำพวกเบอร์รี เลมอน อะโวคาโด และเนื้อมะพร้าว ผักที่มีหัว: มันฝรั่ง มันหวาน เผือก แครอท ฟักทอง เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์: ปริมาณคาร์โบไฮเดรตในแอลกอฮอล์จะก่อให้หลุดจากสภาวะคีโตซิสได้ ผงชูรส: ผงชูรสจะกระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้ สรุป การกินอาหารคีโต หรือแนวทางการทำคีโตเจนิกไดเอทนั้น แม้ทำอย่างถูกทาง กินอาหารอย่างแม่นยำ ตัวอย่างเช่น ไม่รับประทานไขมันชั่วช้าสารเลวเยอะเกินไป ย้ำไขมันดี รวมทั้งเสริมสารอาหารประเภทวิตามินและเกลือแร่อย่างสมบูรณ์ ก็ไม่อันตรายแต่อย่างใด อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อสภาพทางด้านร่างกายอีกด้วย แต่แม้กระนั้น ไม่สมควรกินอาหารในแบบใดแบบอย่างหนึ่งนานเกินไปนัก การกินอาหารให้ครบ 5 กลุ่ม พักให้พอเพียง และออกแรงอย่างสม่ำเสมอถึงจะเยี่ยมที่สุด ยิ่งไปกว่านี้ ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังแนวทางการทำคีโตเจนิกไดเอท คุณควรจะตรวจร่างกายร่างกายทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการของตับ ไต ระดับคีโตนในปัสสาวะ ระดับน้ำตาลในเลือด หรือระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ฯลฯ ด้วยเหตุว่า การทำคีโตเจนิกไดเอทเป็นการย้ำรับประทานอาหารชนิดไขมัน งดคาร์โบไฮเดรต ซึ่งบางทีอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบหลักการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายนั่นเอง คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : junofalls Tags : junofalls.net
|