หัวข้อ: ฟิลเลอร์เครื่องหมายการค้าใดเป็นผลดี? ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใต้ตา คาง สมควรเลือกใช้รุ่ เริ่มหัวข้อโดย: Luckyz0nl3 ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2020, 02:40:40 am ว่าด้วยคดีของการฉีดฟิลเลอร์
ช่วงปัจจุบันนี้การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างสูง มีฟิลเลอร์ให้เลือกใช้มากมายหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อก็จะมีรุ่นย่อยๆ ให้เลือกใช้หลายชนิด แล้วฟิลเลอร์คืออะไร? ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มผิว ด้วยสารไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ “HA” เพื่อช่วยเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนัง เราจะใช้ฟิลเลอร์เติมเต็มในส่วนที่เป็นร่องลึก ให้กลับมาดูอิ่มเอิบ ทำให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
ความแข็ง (Elasticity) คือความทนต่อแรงกดในแนวตั้ง ฟิลเลอร์ที่มีค่านี้สูงจะเหมาะกับการฉีดเพื่อปรับยกโครงหน้าในชั้นกระดูก เช่น คาง จมูก ฉีดเพื่อดึงหน้า ฉีดยกผิวชั้นลึกในชั้นกระดูก ข้อคดียืดหยุ่น (Plasticity,cohesiveness) คือความทนต่อแรงบิดในแนวนอน ทนต่อการขยับ ฟิลเลอร์ที่มีค่านี้สูงจะเหมาะกับการฉีดเพื่อเติมเนื้อในบริเวณที่ผิวมีการขยับบ่อยๆ เช่น ร่องแก้ม มุมปาก แก้มตอบ การออกแบบ crosslink ที่เหมาะเหมาะ เช่น เทคโนโลยี hylacross ของ juvederm จะทำให้ฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อการขยับได้ดี ความกระจายตัว (Tissue Integration) คือความสามารถในการสมานกับผิวที่อยู่รอบๆ ฟิลเลอร์ คุณสมบัตินี้จะเหมาะกับคนที่ผิวบางผิวแห้งเพื่อให้ฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่เห็นเป็นก้อน เรียบเนียนไปกับผิวมากที่สุด ค่าความอุ้มน้ำ (Water holding) ฟิลเลอร์ที่มีค่านี้สูง หลังฉีดหากดื่มน้ำเยอะฟิลเลอร์จะฟูมาก แต่ถ้าดื่มน้ำน้อยฟิลเลอร์จะแฟบลงมาก ฟิลเลอร์กลุ่มนี้จะเหมาะกับคนไข้ที่ต้องการประหยัด คือฉีด 1cc จะสมรรถฟูได้ถึง 1.5cc แต่ควรใช้ฉีดในจุดที่ถ้าฟูเยอะๆ แล้วจะมองไม่ออกว่าฟู เช่น ร่องแก้ม ขมับ ฟิลเลอร์กลุ่มนี้จะไม่เหมาะกับบริเวณใต้ตาเพราะเมื่อฟูจะเห็นว่าบวมชัดเจน โดยเป็นประจำ hyaluronic acid จะเป็นเส้นใยยาวๆละลายเป็นน้ำเหลวๆ ไม่เป็นวุ้น จะต้องผ่านกระบวนการเชื่อมต่อเส้นใยด้วยพันธะ(crosslink) เพื่อให้เกิดหมายถึงตาข่ายวุ้นเป็นเนื้อเจลฟิลเลอร์นิ่มๆ จำนวนการเชื่อมพันธะ (Crosslink) ฟิลเลอร์ที่มีผลรวมพันธะเยอะขึ้น จะอยู่ได้นานขึ้น สลายช้าลง และอุ้มน้ำได้น้อยลง ฟูน้อยลง ทนทาบแรงบิดในแนวนอนได้ดี มีประโยชน์การกระจายตัวปานกลางเหมาะกับบริเวณที่ผิวขยับบ่อยๆ ยี่ห้อที่ดินเด่นในเทคโนโลยีด้าน crosslink คือ Juvederm ใช้ crosslink ที่มีความสามารถสูง (Vycross) อยู่ได้นานขึ้นพร้อมด้วยปลอดภัย เป็นเนื้อเจลข้นๆ เปล่าเป็นเม็ด (non-particle) ข้อเสียของปริมาณ crosslink ที่มากเกินไปรวมความว่าจะทำให้สลายยากและเกิดการแพ้ได้ง่ายขึ้น และหากฉีดในปริมาณที่มากโขเกินไป (หลายๆ cc) จะมีโอกาสเกิดเป็นพังผืดเป็นก้อนได้ จะพบได้ในฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานเกรดต่ำๆ, ฟิลเลอร์ประดิษฐ์ที่ผลิตจากจีน, ฟิลเลอร์หิ้วที่ไม่มั่นใจในการขนส่งและแหล่งที่ผลิต ซึ่งทางที่ดีแต่ก่อนฉีดฟิลเลอร์ทุกครั้งควรหาข้อมูลจุดสังเกตฟิลเลอร์ของแท้ยี่ห้อที่ได้มาตรฐาน และก่อนฉีดควรให้หมอแกะกล่องแกะหลอดฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้าทุกครั้ง ฉีดเสร็จควรขอกล่องและหลอดฟิลเลอร์กลับบ้านหรือถ่ายรูปเก็บได้ดู เพื่อให้มั่นใจว่าได้ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้เกณฑ์จริงๆ เพื่อเหตุปลอดภัยครับ ขนาดของเม็ดฟิลเลอร์ (Particle size) ฟิลเลอร์ที่มีเม็ดใหญ่จะอยู่ได้นานรุ่งโรจน์ และมีค่าความแข็งสูงค่าการกระจายตัวต่ำ จะยกหน้าในผิวชั้นลึกได้ดีที่สุด แต่จุดอ่อนคือไม่ค่อยทนต่อแรงบิดในแนวนอน ถ้าฉีดในตำแหน่งที่ผิวมีการขยับโดยปรกติ จะอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากเม็ดใหญ่ๆ จะแตกเป็นเม็ดเล็กๆ และสลายไว ยี่ห้อที่เด่นในเทคโนโลยีด้านนี้คือ Restylane โดยพัฒนาร่วมกับกลยุทธ์การม้วนม้วนเส้นใยที่เรียกว่า NASHA เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Restylane เพียงเจ้าเดียวเท่านั้น ในร่างกายคนที่หนัก 70 kg. จะมี hyaluronic acid (HA) อยู่ 15g. กระจายอยู่ในเนื้อเยื่อ ข้อเข่า ลูกตา และผิวหนัง โดยที่ผิวหนังทั่วทั้งร่างกายจะมี HA รวมกันหมาย 7g. หรือเทียบเท่ากับฟิลเลอร์ที่เราใช้ฉีดประมาณ 400cc. ซึ่งมีอยู่ในผิวตลอดร่างกายเราอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่จะสร้างน้อยลงตามอายุซึ่งเราสามารถฉีดชดเชยในจุดที่ขาดหายไปได้ การฉีดฟิลเลอร์ชนิด HA จึงมีความปลอดภัยและเป็นที่นิยมมากที่สุดเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ชนิดอื่นๆ เพราะเป็นสารที่มีอยู่แล้วในร่างกายตามธรรมชาติ ในบทความนี้จะขอเปรียบเทียบเพ่งตรงยี่ห้อ Restylane Juvederm และ Perfectha ซึ่งทั้ง 3 ยี่ห้อนี้เป็นฟิลเลอร์จากประเทศฝั่งยุโรปที่นิยมใช้มายาวนาน ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง และข้อมูลต่างๆ ที่แสดงในบทความนี้จะอ้างอิงจากงานวิจัยที่อยู่แห่งเอกสารอ้างอิง และเป็นข้อมูลจากการยิ่งชมโรงงานที่ยุโรปของฟิลเลอร์ทั้ง 3 ยี่ห้อ ร่วมกับข้อมูลจากประสบการณ์ฉีดฟิลเลอร์ของทีมแพทย์ครับ ในการออกเสียงรุ่นและยี่ห้อฟิลเลอร์นั้น เราไม่สามารถพิจารณาแค่คุณสมบัติทางกายภาพ เพียงข้อใดข้อนึงได้ ต้องขึ้นกับการวินิจฉัยข้าวของแพทย์ว่าปัญหาของคนไข้เกิดจากการยุบตัวของผิวชั้นไหนตำแหน่งไหนและเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเนื้อเดิมของคนไข้มากที่สุด(แก้ไขที่สาเหตุโดยตรง) เพื่อให้ผลประโยชน์ออกมาดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
หมอจะขออธิบายงานเลือกใช้ฟิลเลอร์โดยแยกตามตำแหน่งต่างๆบนใบหน้าดังนี้ครับ ฟิลเลอร์ใต้ตา ร่องใต้ตาเป็นจุดที่ควรแก้ไขเป็นอันดับแรกในคนไข้เกือบทุกคน เพราะเป็นจุดที่เนื้อและกระดูกยุบตัวลงเป็นจุดแรกตามวัย มักจะเริ่มเห็นร่องในคนที่อายุ 20 ปีขึ้นไป ทำให้หน้าดูเหนื่อยล้าดูโทรมไม่สดชื่น และถ้าเราปล่อยให้ร่องใต้ตาลึกนานๆไปก็จะเกิดเป็นถุงใต้ตาตามมา การเติมฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยให้หน้าโดยชุมนุมกันดูเด็กลงสดชื่นขึ้นอย่างชัดเจนและสามารถช่วยป้องกันการเกิดถุงใต้ตาในอนาคตได้อีกด้วย ในคนที่รูใต้ตาลึกมาก จะต้องใช้ฟิลเลอร์ 2 ชนิดในการเติมร่องใต้ตา ชนิดที่ 1 ใช้ฉีดเพื่อทดสับเปลี่ยนการยุบตัวของกระดูกในผิวชั้นลึก ตัวที่เหมาะคือ Restylane perlane lyft (อยู่ได้ 12 เดือน) และ Juvederm voluma (อยู่ได้ 18 เดือน) เพราะสามารถยกพยุงผิวได้ใกล้เคียงกับกระดูกมากที่สุด ชนิดที่ 2 ใช้ฉีดเพื่อเก็บรายละเอียดในร่องใต้ตาชั้นบนบาน ตัวที่เหมาะที่สุดคือ Restylane vital light (อยู่ได้ 6 เดือน) เนื้อละเอียดละออที่สุด ไม่เป็นก้อน แม้จะอยู่ได้สั้นกว่าตัวอื่นๆ แต่ก็จำเป็นต้องใช้หากต้องการเก็บรายละเอียดในผิวชั้นตื้นเพื่อให้เรียบเนียนเป็นธรรมชาติที่สุด ในคนที่ใต้ตาลึกไม่มากสามารถใช้แค่หมวดที่ 1หรือชนิดที่ 2 ตัวใดตัวนึงได้ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและแนะนำ ถ้าคนที่ผิวบางและแห้งมากๆ ควรเลือกใช้ชนิดที่ 2 แม้จะเสด็จได้สั้นแต่จะไม่เป็นก้อน ถ้าคนที่ผิวชุ่มชื้นสามารถเลือกชนิดที่ 1 ได้จะอยู่ได้นานกว่า ฟิลเลอร์โพรงแก้ม แบ่งไล่ตามสาเหตุการเกิดได้ 4 รูปแบบ เรียงตามที่พบนิจสินที่สุดดังนี้ แบบที่ 1 เนื้อด้วยกันกระดูกบริเวณใต้ตายุบตัวลงทำให้เนื้อแก้มหย่อนลงมาทำให้เกิดร่องแก้ม แบบนี้ถ้าเติมร่องแก้มอย่างเดียวจะไม่สวยน้ำหน้าจะดูอูมๆ ร่องแก้มเต็ม แต่ใต้ตาลึกดูผิดธรรมชาติ ควรเติมใต้ตาเพื่อดึงเนื้อบางส่วนขึ้นไปก่อน จะทำให้ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ร่องแก้มน้อยลงและดูเข้ารูปเป็นธรรมชาติมากกว่า แบบที่ 2 กระดูกล่างปีกจมูกยุบตัวลง แบบนี้ควรฉีดลึกในชั้นติดกระดูกเพื่อทดรับช่วงการยุบตัวของกระดูก แต่ในบริเวณนี้เนื้อมีการขยับมากกว่าใต้ตาจึงต้องเลือกเฟ้นใช้ฟิลเลอร์ที่มีค่าความยืดหยุ่นสูงเพื่อให้ทนต่อการขยับของร่องแก้ม ฟิลเลอร์ที่เหมาะสมที่สุดคือ Juvederm ultraplus (12 เดือน) และ Juvederm voluma (18 เดือน) แบบที่ 3 กล้ามเนื้อที่ดึงร่องแก้มปฏิบัติงานเยอะ การเติมฟิลเลอร์แก้ไขร่องแก้มตามข้อ 1 และ ข้อ 2 จะช่วยลดการดึงของกล้ามเนื้อนี้ได้ในลำดับขั้นนึง แต่ถ้ายังไม่พอก็สามารถใช้ botox dermolift ช่วยเสริมได้ โดยที่ botox ตำแหน่งนี้ต้องฉีดทุกๆ 3-4 เดือน แบบที่ 4 ผิวชั้นบนโซนร่องแก้มแห้งและบางมาก ต้องเติมฟิลเลอร์ร่องแก้มในผิวชั้นตื้น ควรเลือกใช้ Juvederm volift (12 เดือน) หรือ Restylane volyme (18 เดือน) ยาจะกระจายตัวและเรียบเนียนไปกับผิวได้ดี เป็นธรรมชาติไม่เป็นมัด Tags : ฟิลเลอร์,ฟิลเลอ
|