หัวข้อ: ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน เริ่มหัวข้อโดย: hs8jai ที่ พฤศจิกายน 10, 2022, 05:57:32 pm ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. บางกอก เชนฮอสปิทอล” ที่ “A” แนวโน้ม “Stable”
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บางกอก เชนฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A? ด้วยโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในการให้บริการคนไข้ 2 กลุ่มหลักคือกลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดซึ่งมีรายได้ระดับปานกลางและกลุ่มคนไข้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม ตลอดจนผลการประกอบการที่ดีและงบการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากสภาวะการแข่งขันในธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพและความท้าทายจากราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต มีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตได้โดดเด่นกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมในช่วงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ในระหว่างปี 2564-2565 โดยในปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 2.15 หมื่นล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 140% จากปี 2563 และรายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีก 90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 1.27 หมื่นล้านบาท ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้จากการดำเนินงานในระดับปกติที่ระดับ 9 พันล้านบาทในปี 2562 รายได้รวมของกลุ่มผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้น 35% ในปี 2564 และ 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 กลุ่มโรงพยาบาลที่มีฐานผู้ป่วยคนไทยขนาดใหญ่ได้รับประโยชน์จากจำนวนผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่มีการแพร่ระบาด ในขณะที่โรงพยาบาลที่มีกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติเป็นกลุ่มลูกค้าหลักมีการเติบโตเพียงเล็กน้อยในปี 2564 แต่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในปี 2565 หลังจากประเทศไทยผ่อนคลายมาตรการการเข้าเมืองและการกักกันโรค บริษัทบางกอก เชน ฮอสปิทอลมีฐานผู้ป่วยคนไทยจำนวนมากและสามารถรองรับผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยบริษัทให้บริการตรวจคัดกรองโรคและให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด 19 มาตั้งแต่ปี 2563 ทั้งนี้ ห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลในเครือข่ายของบริษัทสามารถให้บริการตรวจคัดกรองได้สูงถึง 16,000 ตัวอย่างต่อวัน นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มเตียงและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด 19 ในช่วงที่มีการระบาดในประเทศ กล่าวคือ ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2564 โรงพยาบาลในเครือข่ายของบริษัทให้บริการตรวจคัดกรองผู้ที่มีอาการเป็นจำนวนมากถึงกว่า 500,000 ครั้งต่อไตรมาส และมีการคัดกรองผู้ป่วยมากกว่า 450,000 ครั้งในไตรมาสแรกของปี 2565 อีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่มีผลตรวจเป็นบวกก็จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่อไป ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากบริการที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 คิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้จากการรักษาพยาบาลทั้งหมดในช่วงปี 2564 ถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งทั้งในกลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดและกลุ่มคนไข้ในระบบประกันสังคม บริษัทยังคงสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งในการให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดและกลุ่มคนไข้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม ในปี 2564 บริษัทมีรายได้จากกลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดอยู่ที่ระดับ 1.81 หมื่นล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 218% จากระดับ 5.7 พันล้านบาทในปี 2563 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด 19 ของโรงพยาบาลในเครือของบริษัททุกแห่ง ในช่วงการแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อ รายได้ของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ยังคงเติบโตเพิ่มขึ้น 69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 8.6 พันล้นบาท บริษัทมีรายได้จากการให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ประกันสังคมในปี 2564 อยู่ที่ระดับ 3.3 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 2% จากปี 2563 และในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 รายได้ของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากมาอยู่ที่ 4 พันล้านบาท จากระดับ 1.5 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2564 ณ เดือนมิถุนายน 2565 จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่ลงทะเบียนกับโรงพยาบาลในเครือของบริษัทมีจำนวนทั้งสิ้น 984,755 คน เพิ่มขึ้น 9% จาก 901,894 คน ณ สิ้นปี 2564 ทั้งนี้ จำนวนผู้ประกันตนที่ลงทะเบียนกับโรงพยาบาลในเครือของบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8% ของจำนวนผู้ประกันตนทั้งหมดในระบบประกันสังคมทั่วประเทศ โดยปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนโควตาสำหรับผู้ประกันตนในโรงพยาบาลของบริษัทหลายแห่งที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค ประชาชื่น และรัตนาธิเบศร์ รวมถึงจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้นจากการย้ายจากโรงพยาบาลอื่นเข้ามาในเครือข่ายโรงพยาบาลของบริษัท และผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 ภายใต้ระบบประกันสังคมที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนผู้ประกันตนที่ลงทะเบียนในเครือข่ายโรงพยาบาลของบริษัทจะมีมากกว่า 1 ล้านคนในปี 2565 การมีฐานคนไข้ลงทะเบียนในระบบประกันสังคมจำนวนมากทำให้บริษัทเกิดการประหยัดจากขนาดและช่วยคงระดับอัตราการใช้งานอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทั้งนี้ ในช่วง 2561-2563 รายได้จากกลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดมีสัดส่วนประมาณ 65% ของรายได้จากบริการทางการแพทย์รวมของบริษัท ในขณะที่รายได้จากกลุ่มคนไข้ในระบบประกันสังคมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 35% ? การรักษาโรคเฉพาะทางจะขับเคลื่อนการเติบโตหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทริสเรทติ้งคาดว่าการรักษาพยาบาลโรคเฉพาะทางและโรคซับซ้อนจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทเมื่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ลดลง บริษัทได้ปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องและเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาพยาบาลโรคเฉพาะทางและซับซ้อนทั่วทั้งเครือโรงพยาบาลของบริษัท เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยทั่วไปรวมถึงการฟื้นตัวของผู้ป่วยชาวต่างชาติด้วย บริษัทเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างมากในการรักษาเฉพาะทางสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยมีศูนย์โรคหัวใจจำนวน 6 แห่งในเครือข่ายโรงพยาบาล นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มศูนย์บริการทางการแพทย์และศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูต่าง ๆ เพิ่มเติมในโรงพยาบาลอีกด้วย หลังจากการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางเข้าประเทศและมาตรการการกักกันโรค โรงพยาบาลได้เตรียมการเพื่อรองรับอุปสงค์ของผู้ป่วยชาวต่างชาติที่ต้องการบริการด้านสุขภาพที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (World Medical Hospital -WMC) ของบริษัทซึ่งมุ่งเน้นกลุ่มผู้ป่วยเงินสดที่มีรายได้สูงและผู้ป่วยต่างประเทศ มีการเติบโตของรายได้ 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ รายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น 21% และอยู่ในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดแล้ว ทั้งนี้ WMC เป็นที่รู้จักในการเป็นศูนย์การรักษาแผลจากเบาหวานในกลุ่มผู้ป่วยชาวอาหรับ โดยรายได้จากผู้ป่วยชาวคูเวตที่เข้ามารับการรักษาแผลเบาหวานที่เท้าเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้ง โรงพยาบาล WMC เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น ชาวอเมริกันที่พำนักในประเทศไทย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งก็คาดว่าโรงพยาบาลที่เปิดใหม่ของบริษัทในจังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรี และที่เวียงจันทน์ ใน สปป. ลาว จะสามารถรองรับผู้ป่วยเงินสดและผู้ป่วยประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น และเมื่อไม่นานนี้ บริษัทได้ซื้ออาคารแห่งหนึ่งใกล้กับโรงพยาบาลการุญเวช ปทุมธานี และวางแผนจะปรับปรุงเพื่อรองรับผู้ป่วยเงินสดที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต มีกำไรที่แข็งแกร่ง ในอนาคต ผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 จะมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากโรคโควิด 19 จะกลายเป็นโรคทั่วไป อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากผู้ป่วยคนไทยที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 จะฟื้นตัวขึ้น ในขณะเดียวกันจำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติจะเพิ่มขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.85 หมื่นล้านบาทในปี 2565 จากนั้นจะกลับสู่ระดับการดำเนินงานปกติที่ระดับ 1.0-1.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567 ในปี 2564 บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่แข็งแกร่งมากที่ระดับ 1.04 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.6 พันล้านบาทในปี 2563 และ EBITDA ของบริษัทปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวโดยมาอยู่ที่ระดับ 4.8 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทมีอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้นสูงมากมาอยู่ที่ระดับ 48.3% ในปี 2564 และอยู่ที่ 37.6% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 เปรียบเทียบกับระดับ EBITDA Margin ในช่วงการดำเนินงานปกติที่ 26%-28% ในช่วงปี 2558-2562 ในปี 2565 ทริสเรทติ้งคาดว่าการทำกำไรของบริษัทจะยังคงโดดเด่นเมื่อพิจารณาจากรายได้ที่แข็งแกร่งมากของบริษัท อย่างไรก็ตาม ระดับกำไรที่สูงนี้อาจได้รับแรงกดดันบางส่วนจากสต็อกวัคซีนโควิดจำนวนมากประมาณ 1.2 ล้านโดสที่ยังจำหน่ายไม่หมด ซึ่งบริษัทอาจต้องตั้งด้อยค่าของสินค้าและอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของบริษัทในปี 2565 ได้ ในอนาคตข้างหน้า ทริสคาดว่าการรักษาโรคที่เฉพาะทางและซับซ้อนมากขึ้นจะช่วยผลักดันรายได้ต่อการรักษาผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนของโรค (Revenue Intensity) ให้เติบโตมากขึ้นในอนาคต ในขณะที่บริษัทยังคงมุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพและการควบคุมต้นทุนมากขึ้นเพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้นท่ามกลางเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA Margin ของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งโดยอยู่ในช่วง 27%-28% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า มีภาระหนี้สินทางการเงินอยู่ในระดับปานกลาง บริษัทมีภาระหนี้สินทางการเงินในระดับปานกลางและมีสถานะทางการเงินที่ดี ณ เดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท ลดลงจากประมาณ 7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 จากการที่บริษัทได้ชำระคืนหุ้นกู้และเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ครบกำหนดชำระ โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 21.5% ลดลงจากระดับ 40%-46% ในช่วงปี 2561-2563 ทั้งนี้ ด้วยผลการดำเนินงานที่ดีของบริษัท อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จึงลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 0.3 เท่า จาก 2.5 เท่า ณ สิ้นปี 2563 ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับหนี้ของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลงเนื่องจากบริษัทไม่มีแผนจะขยายเครือข่ายโรงพยาบาลโดยใช้เงินลงทุนขนาดใหญ่จากการก่อหนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินลงทุนรวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 4.5 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าเพื่อขยายเครือข่ายโรงพยาบาลและซ่อมบำรุงสินทรัพย์ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นเงินลงทุนในบางส่วน ทั้งนี้ หากบริษัทไม่มีการลงทุนด้วยการก่อหนี้ขนาดใหญ่ก็คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า มีสภาพคล่องที่เพียงพอ ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วงเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทมีแหล่งเงินทุนจากเงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวนประมาณ 1.6 พันล้านบาท รวมถึงวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 4.6 พันล้านบาท ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับประมาณ 4 พันล้านบาทในปี 2565 โดยที่บริษัทจะใช้เงินทุนในการลงทุนและชำระเงินกู้จากธนาคารและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดจำนวน 1.1 พันล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 และอีก 1.3 พันล้านบาทในปี 2566 ? สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ? รายได้ในปี 2565 จะขึ้นไปถึงระดับ 1.85 หมื่นล้านบาทและจะกลับลงมาอยู่ในระดับปกติที่ 1.0-1.1 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2566-2567 ? EBITDA Margin จะอยู่ในช่วง 27%-28% ในช่วงประมาณการ ? เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 4.5 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า แนวโน้มอันดับเครดิต แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งในการให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ที่ชำระเงินสดและกลุ่มคนไข้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม รวมทั้งยังคงสถานะทางการเงินที่ดีเอาไว้ได้ ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงได้หากบริษัทมีสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานอ่อนแอกว่าที่คาดอย่างมีนัยสำคัญเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับการดำเนินงานปกติอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยังคงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง - เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 - อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 - เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564 บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) (BCH) อันดับเครดิตองค์กร: A อันดับเครดิตตราสารหนี้: BCH22DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2565 A แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 ? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
|