ล้อแม็ก แม็ก แม็กล้อ แม็กซ์แต่งรถ ล้อแม็กคุณภาพ รวมล้อแม็กลายใหม่ๆ

Sitemap SMB => สินค้าอื่นๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: Narongrit999 ที่ สิงหาคม 15, 2016, 04:17:58 pm



หัวข้อ: เคลือบแก้วมีกี่แบบ
เริ่มหัวข้อโดย: Narongrit999 ที่ สิงหาคม 15, 2016, 04:17:58 pm
การเคลือบแก้ว โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆจะให้บริการเคลือบแก้ว อย่างครบวงจรมากกว่าจะรับแค่ล้างรถธรรมดา ซึ่งในการให้บริการเคลือบแก้วก็จะมีทั้งการเคลือบแก้ว การเคลือบคริสตัลและการเคลือบเซรามิค เอาเป็นว่ามารู้จักคำว่า เคลือบแก้ว(Glass Coating) เคลือบคริสตัล (Crystal Glass Coating) และเคลือบเซรามิค (Ceramic Coating) ที่หลายคนคุ้นหู แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไร และต่างกันอย่างไร  
Glass Coating เคลือบแก้วหรือกระจก คือ การนำสารเคมีที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตแก้วอย่าง ซิลิกา มาใช้เคลือบผิวรถบนชั้นแล็คเกอร์ หรือ Clear coat เพื่อให้ได้คุณสมบัติความแข็งของ Quartz รวมถึงทนเคมีทนความร้อน และมีความใสแวววาว ป้องกันน้ำหรือก๊าซผ่านเข้าไปได้ เคลือบแก้วที่มีส่วนประกอบของซิลิกา จัดเป็นเคลือบเซรามิคชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบของแก้ว (หรือกระจก) มาเคลือบสีรถ (Coating) เมื่อเคลือบแล้วจะด้วยวิธีการพ่น หรือทาก็แล้วแต่ น้ำยาจะแข็งและใสเป็นแก้ว
Crystal Coating เคลือบคริสตัล คือ เคลือบแก้วที่ ผสมสารต่างๆ (เช่น ตะกั่ว, ลิธาจ) เหล่านี้เพิ่มเข้าไปเพื่อ ให้เกิดการหักเหของแสง เกิดการสะท้อนเป็นประกายสวยงาม เพื่อเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ ประหนึ่ง แก้วไวน์ แก้วคริสตัน นั่นเอง
Ceramic Coating เคลือบเซรามิค คือ การนำสารใน กลุ่มของ Ceramic ซึ่งมีสารประกอบ เยอะแยะมากมายหลายชนิด ตามแต่ละประเภทของเซรามิค ( เซรามิคดั้งเดิม, เซรามิคทางพันธวิศวกรรม ) มาเคลือบบนผิวสีรถ ซึ่งในวงการรถก็มีการนำสารในกลุ่มของเซรามิค อาทิเช่น SiO2 ( ซิลิก้า ) ซึ่งจัดเป็นกลุ่ม เซรามิคดั้งเดิม, SiC ( ซิลิกอน คาร์ไบด์ ) ซึ่งจัดเป็นกลุ่มเซรามิคทางพันธวิศวกรรม มาเคลือบสีรถ เพื่อให้ผิวสีรถได้รับคุณสมบัติการปกป้องตามสารประกอบที่เลือกใช้ ซึ่งแต่ละสารก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป อาทิ การทนความร้อน การเฉื่อยต่อปฏิกิริยาเคมี การเรียงตัวของ โมเลกุลที่แน่นและแข็งแรง การยึดเกาะ
 
Ceramic Coating เคลือบเซรามิค จะแบ่งออกเป็น 
เซรามิคแบบดั้งเดิม ( Traditional Ceramics ) อาทิเช่น ดินเหนียว (Clay), ซิลิก้า ( SiO2), เฟล์ดสปาร์ (Feldspar-แร่ฟันม้า) ซึ่งเคลือบแก้วจะผลิตจาก ซิลิกา มาใช้เคลือบผิวรถบนชั้นแล็คเกอร์ หรือ Clear coat เพื่อให้ได้คุณสมบัติความแข็งของ Quartzที่มีความแข็งตาม Mosh Scale 7 H เท่านั้น และผลทดสอบกันรอยขีดข่วนด้วยดินสอ (Pencil Scale ) 9Hและใช้ Resin ช่วยในการยึดติดโดยจะทำให้ไม่สามารถยึดติดได้คงทนมากนัก
เคลือบเซรามิค ที่ผลิตจาก Silicon Carbide (SiC) มาสร้างชั้นเคลือบเซรามิคให้กับพื้นผิวของรถอย่างถาวร ( Permanently Bond ) ด้วยการทำปฏิกิริยาระหว่าง SiCและชั้น Clearcoatของพื้นผิวรถโดยตรง ทำให้ มีความคงทนและยึดติดกับพื้นผิวรถได้อย่างยาวนาน รวมถึงคุณสมบัติในการปกป้อง สารที่เป็นกรดและเป็นด่าง ต่างๆที่จะมาทำลายพื้นผิวรถของคุณ เพราะสารต่างๆเหล่านี้ไม่สามารถทำลายชั้นพื้นผิวของ Silicon Carbide (SiC) ได้เนื่องจากมีความแข็งในระดับถึง 9h ทั้งใน Mosh Scale และทดสอบกันรอยขีดข่วน Pencil Scale ซึ่งในเรื่องของการยึดเกาะก็ค่อนข้างเหนือกว่า เคลือบแก้วทั่วๆไปที่ใช้ Silica ( Sio2 7H on Mosh Scale) เป็นส่วนประกอบหลักนอกจากนี้แล้ว SiCยังสามารถสร้าง Coating ที่ป้องกน UV และทนความร้อนได้สูงอย่างมากอีกด้วย
 
วิธีการทำเคลือบแก้วแบบที่ 1 เคลือบแก้ว/เคลือบเซรามิค ระบบทาด้วยมือ (Hand made)ซึ่งระบบนี้จะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญและผู้ชำนาญ ในการทาน้ำยาเคลือบแก้วรถยนต์ ลงไปที่ผิวรถยนต์ด้วยฟองน้ำ ซึ่งเป็นวิธีที่ร้านคาร์แคร์ทั่วไปหรือคนที่เคลือบแก้วด้วยตนเอง นิยมใช้มากที่สุด เพราะไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เพิ่มมากนัก อาศัยคุณภาพของน้ำยาเคลือบแก้วรถยนต์ และทักษะฝีมือช่างเท่านั้นซึ่งเป็นการทาน้ำยาเคลือบแก้ว ลงบนชั้นผิวสีรถยนต์ด้วยฟองน้ำหรือผ้า ซึ่งสามารถเลือกทำได้กับน้ำยาเคลือบแก้วทุกเกรดดังนั้นคุณภาพของเคลือบแก้ว จึงขึ้นอยู่กับโครงสร้างของน้ำยา ความประณีตและความละเอียดอ่อนใส่ใจในการเตรียมผิวสีรถก่อนเคลือบของช่างซึ่งต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ถึงจะทำให้งานเคลือบแก้วนั้นเปี่ยมไปด้วยคุณภาพเพราะหากทาไม่ดีแล้ว ไม่ทั่วโอกาสที่น้ำยาเคลือบแก้วใสๆ จะกระจายตัวปกป้องผิวรถทั้งคันคงเป็นไปได้ยาก
 
วิธีการทำเคลือบแก้วแบบที่ 2เคลือบแก้ว/เคลือบเซรามิคระบบพ่น (Airbrush/Spray Gun)เป็นเทคนิคการเคลือบแก้วที่มีขั้นตอนการเตรียมงานและเตรียมอุปกรณ์ค่อนข้างยากเนื่องจากเทคนิคการพ่น จะช่วยส่งผ่านน้ำยาเคลือบแก้วผ่านอุปกรณ์การพ่นเฉพาะทาง อาทิเช่น Spray Gun หรือ Air Brush ในการลงน้ำยาเคลือบแก้วกับสีผิวของรถ ทำให้ช่างสามารถลงน้ำยาได้ทั่วและเร็วขึ้นแต่จำเป็นต้อง ควบคุมห้องเคลือบแก้วมีลมน้อยที่สุดอุณภูมิที่เหมาะสมและจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของรถ เช่น กระจก พลาสติก ยาง สัมผัสกับน้ำยาเคลือบแก้วเพราะอาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้เป็นด่างหรือเป็นคราบได้โดยการเคลือบแก้วระบบพ่นนี้ จำเป็นจะต้องใช้น้ำยาในปริมาณที่มากกว่าระบบทาเล็กน้อย ซึ่งบางแบรนด์มีน้ำยาสำหรับพ่นโดยเฉพาะ บางแบรนด์ ใช้น้ำยาสำหรับทาใส่กาพ่น แล้วเช็ดตาม บางแบรนด์ผลิตน้ำยาใช้ได้ทั้งพ่นและทา แถมไม่ต้องเช็ดตาม ซึ่งในมุมของผู้เขียนการเช็ดหรือไม่เช็ด ไม่ได้มีผลกับคุณภาพของงาน เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำยาที่ลงและวิธีการที่ถูก design มาเท่านั้น ซึ่งการเคลือบแก้วในแบบพ่นนั้นจริงแล้วผลงานก็ไม่ได้ไม่ต่างจากการลงน้ำยาแบบทา แต่ช่างจะสามารถลงน้ำยาได้เร็วทั่วและสม่ำเสมอ แต่ก็จะเสียเวลาในการเตรียมงานและอุปกรณ์ค่อนข้างเยอะขึ้นเช่นกันซึ่งการเคลือบแก้วจะช่วยให้รถยนต์ยังคงสภาพการมีสีสันสวยงามเอาไว้ยาวนาน เนื่องจากการเคลือบแก้วช่วยเคลือบผิวชั้นบนสุดของชั้นสีเอาไว้อีกชั้นหนึ่งนั่นเอง
เคลือบแก้ว/เคลือบเซรามิค แบบพ่น Vs แบบทา อะไรดีกว่า
จริงๆ แล้วคุณสมบัติที่ได้จะแบบพ่นหรือทานั้นปลายทางในการปกป้องและดูแลผิวสีรถล้วนขึ้นอยู่กับ ความใส่ใจดูแลของผู้ให้บริการ และคุณสมบัติของน้ำยาเป็นหลักทั้งในเรื่องของการยึดเกาะอายุการใช้งาน ลดการเกิดรอยขีดข่วน ป้องกัน UV ล้วนขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของน้ำยาเคลือบแก้วและเคลือบเซรามิคที่ทางผู้ให้บริการเลือกใช้ให้กับรถของคุณ ซึ่งแน่นอนว่าน้ำยาเคลือบแก้วมีมากมายหลายยี่ห้อ มีทั้งที่บอกตรงๆ ว่าผลิตจีน บอกผลิตญี่ปุ่น หรือแม้แต่ อเมริกา หรือแม้แต่แพคกิ้งค์กรอกใส่ขวดตามบ้านเราหรือจีนแล้วบอกผลิตญี่ปุ่น หรือเยอรมัน ยุโรป ก็มีเพียบสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาน้ำยาที่จะมาเคลือบบนรถเรา ว่ามันคือน้ำยาอะไร มีที่มาที่ไปจากไหน บริษัทมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าอ้างอิงว่าน้ำยามาจากต่างประเทศ ให้หาข้อมูลดูว่าที่ประเทศเหล่านั้น มีน้ำยายี่ห้อนั้นๆ อยู่จริงหรือไม่มี review จากผู้ใช้หรือผู้ชำนาญการมากน้อยเพียงใด ซึ่งถ้าเลือกใช้น้ำยาเคลือบแท้ดีมีคุณภาพ และวิธีการเคลือบที่เหมาะสมแล้ว เราก็จะได้เคลือบแก้วที่สวย ทนคุ้มค่า กับเงินที่เราต้องจ่ายไปอย่างแน่นอน
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ