ล้อแม็ก แม็ก แม็กล้อ แม็กซ์แต่งรถ ล้อแม็กคุณภาพ รวมล้อแม็กลายใหม่ๆ

Sitemap SMB => สินค้าอื่นๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kittipong99010 ที่ มีนาคม 27, 2017, 12:39:58 am



หัวข้อ: ขายดีเลิศเป็นกระแสในการเกื้อกูลผิวของคุณให้มีผิวขาวงามปรับสภาพผิวของคุณแบบมืออาช
เริ่มหัวข้อโดย: Kittipong99010 ที่ มีนาคม 27, 2017, 12:39:58 am
ครีม v2 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ มีความจำเป็นในการรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว ถึงแม้ผิวมนุษย์เราจะผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้เองแม้กระนั้นเวลานี้มีสินค้าเพื่อการบำรุงรักษาผิวพรรณมากมายก่ายกองกมายที่มีส่วนประกอบไม่เป็นมิตรกับผิว มีฤทธิ์ระคายทำให้ผิวอ่อนแอและก็ผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้ต่ำลง การบำรุงผิวโดยพิจารณาถึงส่วนประกอบของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ก็เลยมีความสำคัญเหมือนกัน บางบุคคลหน้ามันแล้วกลัวว่าถ้าหากว่าใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะก่อให้ผิวยิ่งมันครีม v2เป็นความรู้ความเข้าใจที่ไม่ถูกนัก ด้วยเหตุว่ามอยส์เจอร์ไรเซอร์มีหลากหลายชนิดสามารถเลือกใช้ให้ตรงกับสภาวะผิวได้

ต้องการมีผิวสวย โปรดอ่านนี้ก่อน

ผิวหนังชั้นนอกสุด (stratum corneum หรือชั้นคราบไคล) เป็นชั้นที่พวกเราดูเห็นด้วยสายตา ในสายตาคนรอบข้างหรือตอนเราส่งกระจก ผิวเราจะมองแห้ง ขาดเลือดฝาด ไม่สดชื่นหรือสวย สังกัดความสมบูรณ์ของชั้นนี้เป็นหลัก อยากได้ให้ผิวมองงามในสายตาผู้ชม ก็ต้องมารีบทำให้ผิวชั้นไคลบริบูรณ์กันจ้ะ

คำศัพท์ที่จะเจอในบทความนี้

Epidermis : หนังกำพร้าสุด ภาษาไทยเรียกว่าชั้นหนังกำพร้ามี 5 ชั้นย่อย
stratum corneum : ชั้นไคล เป็นชั้นย่อยชั้นนอกสุดชองชั้นหนังกำพร้า
Corneocyte : เซลล์ในชั้นไคล มีการเรียงหน้าเป็นชั้นๆคร่าวๆ 25-30 ชั้น บางหนังสือเรียนเรียก Corneocyte ว่าhorny cell
Brick and Motar Model : แบบจำลองการเรียงตัวเป็นชั้นๆของเซลล์ Corneocyte
Keratinocyte : เป็นคำรวมๆที่ใช้เรียกเซลล์ผิวทั้งปวงของชั้นepidermis เพราะว่าเซลล์ผิวในชั้นผิวหนังชั้นนอกจะมี keratinเป็นส่วนประกอบด้านใน ทำให้ทุกเซลล์ในชั้น Epidermis ขึ้นชื่อว่าเป็น keratinocyte ทั้งหมดทั้งปวง
NMFs : ย่อมาจาก Natural moisturizing factors เป็นสารประกอบหนึ่งที่อยู่ข้างในเซลล์ Corneocyteทำหน้าที่เก็บน้ำและก็รักษาความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ภาษาไทยเรียก NMFsว่า "น้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ"
Intercellular lipids : ชั้นไขมันกันระหว่างเซลล์Corneocyteทำหน้าที่คุ้มครองไม่ให้ NMFs ด้านในเซลล์ Corneocyte รั่วออกมาข้างนอก บางแบบเรียนเรียกIntercellularlipids ว่า intercellular matrix หรือ Lipidbarrier
Sebaceous gland : ต่อมไขมันที่ปฏิบัติภารกิจผลิตน้ำมัน(sebum) มาฉาบผิว
TEWL : ย่อมาจาก Transepidermal Water Loss คือการสูญเสียน้ำผิวผ่านชั้น Epidermis ยิ่ง TEWL มีค่าสูงแสดงว่ายิ่งมีการสูญเสียน้ำมาก

ส่วนประกอบผิวหนังชั้นคราบไคล (stratumcorneum)
ชั้น stratum corneum มีการเรียงตัวของเซลล์corneocyte อย่างเป็นระเบียบเป็นชั้นๆประมาณ25-30 ชั้น โดยมีintercellular lipidsเป็นตัวประสานล้อม ตำราเรียนฝรั่งได้เรียกการเรียงหน้าแบบนี้ว่าBrick and Motar Model ภาพการเรียงตัวของอิฐที่ก่อด้วยปูน Brick and Motar Model
Brickมีความหมายว่าอิฐ Motarหมายความว่าปูนภาพจำลองการจัดเรียงตัวของเซลล์ corneocyte เป็นชั้นๆโดยมีintercellularlipids เป็นตัวประสานซึ่งมีลักษณะเสมือนการเรียงตัวของอิฐที่ก่อด้วยปูนก็เลยถูกเรียกว่า Brick and Motar Model อิฐแต่ละก้อน เปรียบเทียบได้กับเซลล์ corneocyte

ข้างในเซลล์ corneocyte มี NMFs ครีม v2ปฏิบัติภารกิจรักษาระดับน้ำด้านในเซลล์
NMFs ที่สำคัญๆเป็นAmino acids, PCA รวมทั้งน้ำตาลGlucose
NMFs เป็นสารที่เซลล์ชั้นหนังกำพร้าสามารถผลิตขึ้นได้เองในตอนที่มีการเติบโตเป็นเซลล์เต็มวัย (keratinocytedifferentiation)
แม้มีต้นสายปลายเหตุใดไปรบกวนการเจริญเติบโตของเซลล์keratinocyteก็จะก่อให้ NMFs ถูกทำต่ำลง แล้วก็ส่งผลถึงความชื้นของชั้น stratumcorneum

ปูนประสาน เทียบได้กับIntercellular lipids
เป็นตัวยึดเหนี่ยวเซลล์ ให้เรียงกันอย่างแน่นหนาและเป็นระเบียบ
Intercellular lipids ประกอบไปด้วยสารชนิดไขมันอาทิเช่น ceramides 47 %, cholesterol 24%, freefatty acids 11 % และ cholesterol esters 18 %

ผิวสวยเริ่มความสมบูรณ์ของชั้น stratum corneum
ต้องการให้ผิวมองสวย น่าจะหันมาดูแลผิวชั้น stratumcorneum ให้บริบูรณ์โดยการรักษาระดับ NMFs และintercellular lipids ให้บริบูรณ์สูงที่สุด
การที่ระดับความชื้นในผิวพอเพียงจะช่วยปรับให้

เซลล์ผิวมีความยืดหยุ่นดี ถูกรังแกได้ยาก
เสริมการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยในขั้นตอนการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ถ้าผิวขาดความชุ่มชื้นที่พอเหมาะพอเจาะเอนไซม์กลุ่มนี้จะดำเนินงานไม่ดีการผลัดเซลล์ผิวก็เลยรวน ผิวหน้าหมองคล้ำ ฝ้ากระ สะสม รูขุมขนตัน เป็นสิว
อุดหนุนให้ส่วนประกอบมีความแข็งแรงและก็ปฏิบัติภารกิจกรองสารที่จะผ่านเข้าออกผิวล้ำหน้าและบริบูรณ์ ถ้าหากผิวขาดความชื้นที่เหมาะสมเซลล์ corneocyte จะลีบแบน การเรียงหน้าไม่เรียบร้อยเกิดช่องโหว่ น้ำใต้ผิวระเหยออกง่าย สิ่งเจือปนจากข้างนอกผ่านเข้าไปได้ง่าย ทำให้ผิวหนังอักเสบ มีการติดโรค อื่นๆอีกมากมาย
รักษาระดับ pH ของผิว : ผิวที่มี pH ผิวสมควร จะช่วยทำให้NMFs ถูกผลิตดีขึ้น
สิวขึ้นลดลง : ผิวที่ขาดความชุ่มชื้น ทำให้เซลล์ผิวเรียงตัวไร้ระเบียบครีม v2 มีการหลุดลอกเปลี่ยนไปจากปกติรวมทั้งไปตันตามรูขุมขนเมื่อรวมกับน้ำมันที่ระบายออกมิได้ ก็เลยมีการตันเป็นสิวตันสิวอักเสบ เมือผิวเปียกชื้น การผลัดเซลล์กลับมาธรรมดา การอุดตันเกิดต่ำลง สิวต่ำลง
รูขุมขนกระชับ : ผิวที่ชื้นแฉะเหมาะสม เซลล์ corneocyteจะมีความอ้วนอิ่มและก็ขยายตัวแทรกกัน ทำให้รูขุมขนซึ่งอยู่ระหว่างจุดเชื่อมของเซลล์ corneocyte ถูกบีบอัดให้แคบลงผิวก็เลยมองดูละเอียดขึ้น โดยเหตุนี้ในคนที่ผิวแห้งมากไม่น้อยเลยทีเดียวๆเว้นเสียแต่ผิวจะมองดูหยาบคายแล้ว รูขุมขนก็จะกว้างขึ้นด้วย อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่บทความเรื่อง ตาข่ายผิวภาพเทียบผิวหนังปกติรวมทั้งผิวหนังที่แห้งผิวธรรมดา :เซลล์เรียงหน้าชิดกัน เป็นระเบียบ
inter cellular matrix บริบูรณ์
เหนือผิวด้านบนมีน้ำมัน (hydro lipid film) ฉาบอยู่พอเพียง
น้ำใต้ผิวระเหยออกได้น้อยผิวแห้ง การเรียงหน้าของเซลล์ผิวหละหลวม ไม่มีระเบียบ
intercllular matrix มีน้อย/ไม่มีคุณภาพ
น้ำมันฉาบผิว (hydro lipid film) น้อย
น้ำใต้ผิวระเหยออกได้มาก (TEWL สูง)บักเตรี สิ่งเจือปนไปสู่ผิวได้ง่าย ผิวก็เลยเคืองแล้วก็อักเสบง่ายผิวแห้ง ผิวขาดความชื้นเหมือนหรือแตกต่างอย่างไร?
ผิวแห้งและผิวขาดความชื้นคล้ายกันแต่แตกต่างคำว่าผิวแห้งเป็นคำใช้แบ่งแยกสภาวะผิวที่ประจำตัวมา ดังเช่น คนนี้ผิวมัน คนนี้ผิวผสม คนนี้ผิวแห้ง ซึ่งใช้จำนวนน้ำมันที่สร้างขึ้นมาจากต่อมไขมันเป็นตัวแยกประเภท


ผิวแห้ง(dry skin) คือ ผิวที่ขาดน้ำมัน (sebum)ฉาบผิวข้างบนเนื่องจากว่ามีต่อมน้ำมัน ( sebaceous gland) ใต้ผิวน้อย ก็เลยผลิตน้ำมันได้น้อย เมื่อจำนวนน้ำมันฉาบผิวน้อยก็เลยสูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย ด้วยเหตุผลดังกล่าวคนที่ผิวแห้งยังคงมีความสมบูรณ์ของ intercllular matrix และมีน้ำใต้ผิวที่พอเพียง ก็แค่ขาดน้ำมันที่ผิว
ผิวมัน (oily skin) คือ ผิวที่มีต่อมไขมันจำนวนมากทั่วทั้งหน้าแล้วก็ผลิตน้ำมันมาฉาบผิวได้มาก ผิวข้างนอกก็เลยดูมัน การสูญเสียน้ำใต้ผิวก็เลยเกิดขึ้นน้อย
ผิวผสม (mix skin)เป็นผิวที่มีต่อมไขมันบริเวณt-zoneล้นหลาม, u-zone น้อยทำให้หน้ามันเฉพาะบริเวณt-zoneส่วน u-zone ธรรมดาหรือแห้ง

ส่วน ผิวขาดความชุ่มชื้น (dehydrated skin) เป็นผิวที่มีน้ำใต้ผิวต่ำ วัดน้ำใต้ผิวได้ < 10% ต้นสายปลายเหตุอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยภายใน

1.ปัจจัยภายนอก

การใช้สินค้าผลัดเซลล์มากจนเกินไป : ทำให้หนังกำพร้ามีการหมุนเวียนเร็วกว่าปกติ ผิวหนังที่มีการหมุนเวียนเร็วจะไม่สามารถสร้าง NMFsแล้วก็ intercellular lipids ได้ทัน ก็เลยเสียความรู้ความเข้าใจในการดูแลรักษาน้ำให้ยังคงอยู่ในผิวหนัง
การใช้สินค้าชำระล้างที่มีคุณสมบัติกำจัดน้ำมันฉาบผิวมากจนเกินไปครีม v2 : น้ำมันฉาบผิวน้อย สูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย
รังสี UV : ได้รับรังสี UV จำนวนมากต่อเนื่องกัน ไม่ทาโลชั่นที่มีไว้ป้องกันแดด รังสี UV จะรบกวนการผลิต NMFs
ความชื้นกลางอากาศ : ความชุ่มชื้นกลางอากาศต่ำลงมากยิ่งกว่า10% จะดึงน้ำในผิวออกสู่ข้างนอก ด้วยเหตุนั้นในห้องปรับอากาศในฤดูหนาว ซึ่งมีความชื้นต่ำ สามารถพรากน้ำใต้ผิวได้ตลอดเวลา

2. ปัจจัยภายใน

อายุ : อายุทีเพิ่มมากขึ้น การสร้าง NMFs แล้วก็ sebum ลดน้อยลง
เชื้อชาติ : ชาวเอเชีย มีปริมาณ NMFs ต่ำลงยิ่งกว่าเชื้อชาติอื่น
โรคผิวหนัง: โรคผื่นแพ้พันธุกรรม (atopicdermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) โรคเด็กดักแด้(Ichthyosis) โรคเหล่านี้จะมีการแบ่งตัวของkeratinocyte (keratinization) เร็วกว่าปกติหลายเท่า รวมทั้งเคลื่อนมาที่เปลือกอย่างเร็วได้แก่ 4 วัน (ปกติใช้เวลา 28วัน) ทำให้ผิวหนังดกเป็นปื้นในขณะขั้นตอนสร้าง NMFs , intercellular lipids ยังเกิดขึ้นไม่สมบูรณ์ เซลล์ผิวหนังก็เลยขาดแรงยึดเหนี่ยวกันตามปกติ เซลล์ผิวก็เลยหลุดลอกออกเป็นแผ่นๆได้ง่าย ราวกับเป็นสะเก็ดหรือเกล็ดขึ้นอยู่กับความรุนแรง

รูปแบบของผิวหนังที่ขาดความชุ่มชื้น(dehydrated skin)
- ผิวไม่เรียบ มีขุยไหมมีขุยก็ได้ แต่ว่าถ้ามีขุยเป็นอาการหนักทาแป้งไม่ติด (หน้ามันเยอะแยะ ทาแป้งไม่ติด หน้าแห้งไปก็ทาแป้งไม่ติดด้วยเหมือนกัน)ครีม v2
- แลเห็น fine line ชัด (ริ้วเล็ก) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใต้ตา มุมปาก
- ผิวแดงง่าย สีผิวไม่บ่อยนัก
- คันและจากนั้นก็เกิดผิวหนังอักสบ
- ระคายง่าย แพ้ง่ายครีม v2
การรักษาความชื้นให้ผิวหนัง ก็เลยควรต้องทำทั้งเพิ่มความชื้นเข้าไปก่อน ด้วยการดื่มน้ำให้พอเพียง แล้วก็เลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิด humectant
กีดกันความชื้นไม่ให้ระเหยออก ด้วยการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดocclusive
เพิ่มความรู้ความเข้าใจในการเก็บกักน้ำใต้ผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบใกล้เคียงกับ NMFs รวมทั้ง Intercellular lipids
เลือกมอยพบร์ไรเซอร์เป็น ช่วยอะไรบ้าง?Repairingtheskin barrier : สร้างเสริมเกราะคุ้มครองผิว ผิวแข็งแรงขึ้นเคืองลดน้อยลง ไม่แพ้ง่าย
Increasing water content : เพิมจำนวนน้ำใต้ผิว
Reducing TEWL : ลดการสูญเสียน้ำผ่านออกทางผิวหนังชั้นอีพิเดอร์มิส
Restoring the lipid barriers’ ability to attract, holdandredistribute water : ซ่อม intercellular lipidsให้สามารถเก็บกักน้ำและจากนั้นก็รักษาสมดุลน้ำใต้ผิว
สารช่วยเพิ่มความชื้น (มอยส์เจอร์ไรเซอร์) แบ่งออกได้เป็น 2ประเภทเป็น

1. สารช่วยเพิ่มน้ำในชั้นผิวหนัง (Humectant) สารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการจับกับน้ำ (water binding)อย่างเช่น colloidaloatmeal, Amino acid,Hyaluronic Acid, Sodium PCA, glycerin, น้ำผึ้ง, กรดแลคติค (lactic acid), soduimlactate, propylene glycol,sorbitol, pyrolidonecarboxylic acid (PCA) , gelatin,collagen , lastin,urea

ทั้ง Sodium-PCA แล้วก็hyaluronic acid (HA) จัดเป็นสารชนิดglycosaminoglycans ในธรรมชาติสารนี้พบแทรกสอดในชั้นหนังแท้ ขึ้นรถ HA จะซับน้ำได้ 1000 เท่า ก็เลยทำให้ผิวหนังเด็กเต่งตึง แต่เมื่อวัยสูงมากขึ้นสาร HA ในชั้นหนังแท้จะต่ำลงทั้งประสิทธิภาพรวมทั้งจำนวน ผิวหนังก็เลยเหี่ยวย่น ในครีมหรือโลชันผิวแห้งก็เลยนิยมผสมสาร HA ครีมv2เพื่อช่วยซับน้ำในผิวหนังชั้นไคลเพราะเหตุว่าสารในกลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มน้ำให้กับผิวได้โดยตรง ทำให้ผิวเรียบนุ่มชื้นแฉะโดยไม่เพิ่มความมันมอยส์เจอร์ไรเซอร์กลุ่ม Humectant ก็เลยเหมาะสมกับผิวมัน ผิวแห้ง และก็ผิวแพ้ง่าย

2. สารเพื่อคุ้มครองการระเหยของน้ำจากผิว (occlusivemoisturizers)สินค้าผิวแห้งจะผสมน้ำมันหลายแบบ เมื่อทาน้ำมันฉาบผิวการระเหยของน้ำจากชั้นผิวหนังจะต่ำลงน้ำมันที่ใช้มีหลายกลุ่ม เป็น





เครดิตบทความจาก : https://sites.google.com/site/v2centerthailand/

Tags : ครีม v2,ครีมวีทู,ครีม V2 ดีไหม
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ