หัวข้อ: ขายดีเยี่ยมเป็นกระแสในการช่วยเหลือเกื้อกูลผิวของคุณให้มีผิวขาวงามปรับสภาพผิวของค เริ่มหัวข้อโดย: Treekaesorn ที่ เมษายน 19, 2017, 08:39:10 pm ครีม v2 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ มีความสำคัญในการดูแลและรักษาความชื้นให้ผิว ถึงแม้ผิวมนุษย์เราจะผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้เองถึงแม้ขณะนี้มีสินค้าสำหรับการดูแลรักษาผิวเยอะมากกมายที่มีส่วนประกอบไม่เป็นมิตรกับผิว มีฤทธิ์ระคายทำให้ผิวอ่อนแอและผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้ลดลง การบำรุงผิวโดยพิจารณาถึงองค์ประกอบของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ก็เลยมีความสำคัญเช่นกัน บางคนหน้ามันแล้วกลัวว่าหากใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะทำให้ผิวยิ่งมันครีม v2เป็นความรู้ความเข้าใจที่ไม่ถูกนัก เนื่องจากมอยส์เจอร์ไรเซอร์มีหลากหลายชนิดสามารถเลือกใช้ให้ตรงกับภาวการณ์ผิวได้
ต้องการมีผิวสวย โปรดอ่านนี้ก่อน ผิวหนังชั้นนอกสุด (stratum corneum หรือชั้นคราบไคล) เป็นชั้นที่พวกเรามองเห็นด้วยสายตา ในสายตาคนที่อยู่รอบข้างหรือตอนเราส่งกระจก ผิวเราจะดูแห้ง ขาดเลือดฝาด ไม่สดชื่นหรือสวย ขึ้นตรงต่อความสมบูรณ์ของชั้นนี้เป็นหลัก อยากให้ผิวมองดูสวยในสายตาผู้ชม ก็จำต้องมารีบทำให้ผิวชั้นไคลบริบูรณ์กันจ้ะ คำศัพท์ที่จะเจอในเนื้อหานี้ Epidermis : ผิวหนังชั้นนอกสุด ภาษาไทยเรียกว่าชั้นผิวหนังชั้นนอกมี 5 ชั้นย่อย stratum corneum : ชั้นไคล เป็นชั้นย่อยชั้นนอกสุดชองชั้นผิวหนังชั้นนอก Corneocyte : เซลล์ในชั้นไคล มีการเรียงตัวเป็นชั้นๆโดยประมาณ 25-30 ชั้น บางหนังสือเรียนเรียก Corneocyte ว่าhorny cell Brick and Motar Model : แบบจำลองการเรียงตัวเป็นชั้นๆของเซลล์ Corneocyte Keratinocyte : เป็นคำรวมๆที่ใช้เรียกเซลล์ผิวทั้งหมดของชั้นepidermis เนื่องจากเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้าจะมี keratinเป็นส่วนประกอบภายใน ทำให้ทุกเซลล์ในชั้น Epidermis ขึ้นชื่อว่าเป็น keratinocyte ทั้งมวล NMFs : ย่อมาจาก Natural moisturizing factors เป็นสารประกอบหนึ่งที่อยู่ภายในเซลล์ Corneocyteทำหน้าที่เก็บน้ำและรักษาความชื้นให้ผิวหนัง ภาษาไทยเรียก NMFsว่า "น้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ" Intercellular lipids : ชั้นไขมันกันระหว่างเซลล์Corneocyteปฏิบัติภารกิจคุ้มครองไม่ให้ NMFs ภายในเซลล์ Corneocyte รั่วออกมาภายนอก บางหนังสือเรียนเรียกIntercellularlipids ว่า intercellular matrix หรือ Lipidbarrier Sebaceous gland : ต่อมไขมันที่ปฏิบัติภารกิจผลิตน้ำมัน(sebum) มาฉาบผิว TEWL : ย่อมาจาก Transepidermal Water Loss เป็นการสูญเสียน้ำผิวผ่านชั้น Epidermis ยิ่ง TEWL มีค่าสูงหมายความว่ายิ่งมีการสูญเสียน้ำล้นหลาม ส่วนประกอบผิวหนังชั้นคราบไคล (stratumcorneum) ชั้น stratum corneum มีการเรียงตัวของเซลล์corneocyte อย่างเรียบร้อยเป็นชั้นๆประมาณ25-30 ชั้น โดยมีintercellular lipidsเป็นตัวประสานล้อม แบบเรียนฝรั่งได้เรียกการเรียงตัวอย่างงี้ว่าBrick and Motar Model ภาพการเรียงหน้าของก้อนอิฐที่ก่อด้วยปูน Brick and Motar Model Brickมีความหมายว่าอิฐ Motarมีความหมายว่าปูนภาพจำลองการจัดเรียงตัวของเซลล์ corneocyte เป็นชั้นๆโดยมีintercellularlipids เป็นตัวประสานซึ่งมีลักษณะราวกับการเรียงตัวของก้อนอิฐที่ก่อด้วยปูนก็เลยถูกเรียกว่า Brick and Motar Model ก้อนอิฐแต่ละก้อน เปรียบเทียบได้กับเซลล์ corneocyte ด้านในเซลล์ corneocyte มี NMFs ครีม v2ปฏิบัติหน้าที่รักษาระดับน้ำภายในเซลล์ NMFs ที่สำคัญๆเป็นAmino acids, PCA และก็น้ำตาลGlucose NMFs เป็นสารที่เซลล์ชั้นหนังกำพร้าสามารถสร้างขึ้นได้เองในขณะมีการเติบโตเป็นเซลล์เต็มวัย (keratinocytedifferentiation) แม้มีต้นเหตุใดไปรบกวนการเจริญเติบโตของเซลล์keratinocyteก็จะมีผลให้ NMFs ถูกทำลดลง และส่งผลถึงความชุ่มชื้นของชั้น stratumcorneum ปูนประสาน เปรียบเทียบได้กับIntercellular lipids เป็นตัวยึดเหนี่ยวเซลล์ ให้เรียงกันอย่างแน่นหนาและก็เรียบร้อย Intercellular lipids ประกอบไปด้วยสารประเภทไขมันเช่น ceramides 47 %, cholesterol 24%, freefatty acids 11 % และก็ cholesterol esters 18 % ผิวสวยเริ่มความสมบูรณ์ของชั้น stratum corneum อยากได้ให้ผิวมองงาม ควรหันมาดูแลผิวชั้น stratumcorneum ให้บริบูรณ์โดยการรักษาระดับ NMFs รวมถึงintercellular lipids ให้บริบูรณ์มากที่สุด การที่ระดับความชื้นในผิวพอเพียงจะช่วยปรับ เซลล์ผิวมีความยืดหยุ่นดี ถูกทำร้ายได้ยาก เสริมแนวทางการทำงานขอวเอนไซม์ที่ช่วยในขั้นตอนการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ถ้าเกิดผิวขาดความชื้นที่เหมาะเจาะโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีกลุ่มนี้จะดำเนินการไม่ดีการผลัดเซลล์ผิวก็เลยรวน ผิวหน้าหมองคล้ำ ฝ้ากระ สะสม รูขุมขนตัน เป็นสิว เกื้อหนุนให้ส่วนประกอบมีความแข็งแรงแล้วก็ปฏิบัติหน้าที่กรองสารที่จะผ่านเข้าออกผิวเจริญรุ่งเรืองแล้วก็บริบูรณ์ ถ้าเกิดผิวขาดความชุ่มชื้นที่เหมาะสมเซลล์ corneocyte จะลีบแบน การเรียงตัวไม่เรียบร้อยเกิดช่องโหว่ น้ำใต้ผิวระเหยออกง่าย สิ่งเจือปนจากด้านนอกผ่านเข้าไปได้ง่าย ทำให้ผิวหนังอักเสบ มีการติดโรค ฯลฯ รักษาระดับ pH ของผิว : ผิวที่มี pH ผิวเหมาะสม จะช่วยทำให้ปรับNMFs ถูกผลิตเจริญก้าวหน้า สิวขึ้นลดลง : ผิวที่ขาดความชุ่มชื้น ทำให้เซลล์ผิวเรียงหน้าไร้ระเบียบครีม v2 มีการหลุดลอกไม่ดีเหมือนปกติและก็ไปตันตามรูขุมขนเมื่อรวมกับน้ำมันที่ระบายออกไม่ได้ ก็เลยมีการตันเป็นสิวตันสิวอักเสบ เมือผิวเปียกชื้น การผลัดเซลล์กลับมาธรรมดา การอุดตันกำเนิดลดน้อยลง สิวลดลง รูขุมขนกระชับ : ผิวที่เปียกแฉะสมควร เซลล์ corneocyteจะมีความอ้วนอิ่มและก็ขยายตัวแทรกกัน ทำให้รูขุมขนซึ่งอยู่ระหว่างจุดเชื่อมของเซลล์ corneocyte ถูกบีบอัดให้แคบลงผิวก็เลยดูละเอียดขึ้น ด้วยเหตุนี้ในคนที่ผิวแห้งมากมายก่ายกองๆเว้นเสียแต่ผิวจะมองหยาบคายแล้ว รูขุมขนก็จะกว้างขึ้นด้วย อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่บทความเรื่อง ตาข่ายผิวภาพเทียบเคียงผิวหนังปกติและจากนั้นก็ผิวหนังที่แห้งผิวปกติ :เซลล์เรียงตัวชิดกัน เรียบร้อย inter cellular matrix บริบูรณ์ เหนือผิวข้างบนมีน้ำมัน (hydro lipid film) ฉาบอยู่เพียงพอ น้ำใต้ผิวระเหยออกได้น้อยผิวแห้ง การเรียงตัวของเซลล์ผิวสะเพร่า ไม่มีระเบียบ intercllular matrix มีน้อย/ไม่มีคุณภาพ น้ำมันฉาบผิว (hydro lipid film) น้อย น้ำใต้ผิวระเหยออกได้มาก (TEWL สูง)บักเตรี สิ่งเจือปนไปสู่ผิวได้ง่าย ผิวก็เลยเคืองรวมทั้งอักเสบง่ายผิวแห้ง ผิวขาดความชุ่มชื้นเปรียบเสมือนหรือไม่เหมือนกันยังไง? ผิวแห้งแล้วก็ผิวขาดความชุ่มชื้นคล้ายคลึงกันแม้กระนั้นแตกต่างกันคำว่าผิวแห้งเป็นคำใช้แบ่งสภาวะผิวที่ประจำตัวมา เป็นต้นว่า คนนี้ผิวมัน คนนี้ผิวผสม คนนี้ผิวแห้ง ซึ่งใช้ปริมาณน้ำมันที่ผลิตมาจากต่อมไขมันเป็นตัวจัดหมวดหมู่ ผิวแห้ง(dry skin)หมายถึงผิวที่ขาดน้ำมัน (sebum)ฉาบผิวข้างบนเพราะมีต่อมน้ำมัน ( sebaceous gland) ใต้ผิวน้อย ก็เลยผลิตน้ำมันได้น้อย เมื่อปริมาณน้ำมันฉาบผิวน้อยก็เลยสูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย ดังนั้นคนที่ผิวแห้งยังคงมีความสมบูรณ์ของ intercllular matrix แล้วก็มีน้ำใต้ผิวที่เพียงพอ ก็แค่ขาดน้ำมันที่ผิว ผิวมัน (oily skin) คือ ผิวที่มีต่อมไขมันมากมายก่ายกองทั่วทั้งหน้ารวมถึงผลิตน้ำมันมาฉาบผิวได้มาก ผิวด้านนอกก็เลยดูมัน การสูญเสียน้ำใต้ผิวก็เลยเกิดขึ้นน้อย ผิวผสม (mix skin)เป็นผิวที่มีต่อมไขมันรอบๆt-zoneเยอะแยะ, u-zone น้อยทำให้หน้ามันเฉพาะรอบๆt-zoneส่วน u-zone ธรรมดาหรือแห้ง ส่วน ผิวขาดความชื้น (dehydrated skin) เป็นผิวที่มีน้ำใต้ผิวต่ำ วัดน้ำใต้ผิวได้ < 10% เหตุอาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยภายใน 1.ปัจจัยภายนอก การใช้สินค้าผลัดเซลล์มากจนเกินความจำเป็น : ทำให้ผิวหนังชั้นนอกมีการหมุนเวียนเร็วกว่าปกติ ผิวหนังที่มีการหมุนเวียนเร็วจะไม่สามารถที่จะสร้าง NMFsแล้วก็ intercellular lipids ได้ทัน ก็เลยเสียความรู้ความเข้าใจในการรักษาน้ำให้ดำรงอยู่ในผิวหนัง การใช้ผลิตภัณฑ์ชำระล้างที่มีคุณสมบัติกำจัดน้ำมันฉาบผิวมากเกินไปครีม v2 : น้ำมันฉาบผิวน้อย สูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย รังสี UV : ได้รับรังสี UV เยอะๆต่อเนื่องกัน ไม่ทาโลชั่นที่เอาไว้ป้องกันแสงแดด รังสี UV จะรบกวนการผลิต NMFs ความชุ่มชื้นกลางอากาศ : ความชื้นในอากาศต่ำยิ่งกว่า10% จะดึงน้ำในผิวออกสู่ข้างนอก ด้วยเหตุดังกล่าวในห้องปรับอากาศในหน้าหนาว ซึ่งมีความชุ่มชื้นต่ำ สามารถพรากน้ำใต้ผิวได้ตลอดระยะเวลา 2. ปัจจัยภายใน อายุ : อายุคราวเยอะขึ้น การผลิต NMFs และก็ sebum น้อยลง เชื้อชาติ : ชาวเอเชีย มีปริมาณ NMFs ต่ำลงยิ่งกว่าเชื้อชาติอื่น โรคผิวหนัง: โรคผื่นแพ้พันธุกรรม (atopicdermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) โรคเด็กดักแด้(Ichthyosis) โรคพวกนี้จะมีการแบ่งตัวของkeratinocyte (keratinization) เร็วกว่าธรรมดาหลายเท่า แล้วก็เคลื่อนมาที่เปลือกอย่างเร็วดังเช่น 4 วัน (ปกติใช้เวลา 28วัน) ทำให้ผิวหนังดกเป็นปื้นในขณะขั้นตอนสร้าง NMFs , intercellular lipids ยังเกิดขึ้นไม่สมบูรณ์ เซลล์ผิวหนังก็เลยขาดแรงยึดเหนี่ยวกันตามปกติ เซลล์ผิวก็เลยหลุดลอกออกเป็นแผ่นๆได้ง่าย ราวกับเป็นสะเก็ดหรือเกล็ดขึ้นกับความร้ายแรง ลักษณะของผิวหนังที่ขาดความชื้น(dehydrated skin) - ผิวไม่เรียบ มีขุยไหมมีขุยก็ได้ แต่ถ้ามีขุยเป็นอาการหนักทาแป้งไม่ติด (หน้ามันมากไม่น้อยเลยทีเดียว ทาแป้งไม่ติด หน้าแห้งไปก็ทาแป้งไม่ติดเช่นกัน)ครีม v2 - แลเห็น fine line ชัด (ริ้วเล็ก) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใต้ตา มุมปาก - ผิวแดงง่าย สีผิวไม่บ่อยนัก - คันแล้วก็กำเนิดผิวหนังอักสบ - ระคายง่าย แพ้ง่ายครีม v2 การรักษาความชื้นให้ผิวหนัง ก็เลยจำต้องทำทั้งเพิ่มความชื้นเข้าไปก่อน ด้วยการกินน้ำให้พอเพียง แล้วก็เลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิด humectant กีดกันความชุ่มชื้นไม่ให้ระเหยออก ด้วยการใช้มอยพบร์ไรเซอร์ชนิดocclusive เพิ่มความรู้ความเข้าใจในการเก็บกักน้ำใต้ผิวด้วยสินค้าที่มีส่วนประกอบใกล้เคียงกับ NMFs และ Intercellular lipids เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์เป็น ช่วยอะไรบ้าง?Repairingtheskin barrier : สร้างเสริมเกราะป้องกันผิว ผิวแข็งแรงขึ้นเคืองลดลง ไม่แพ้ง่าย Increasing water content : เพิมปริมาณน้ำใต้ผิว Reducing TEWL : ลดการสูญเสียน้ำผ่านออกทางผิวหนังชั้นอีพิเดอร์มิส Restoring the lipid barriers’ ability to attract, holdandredistribute water : ซ่อม intercellular lipidsให้สามารถเก็บกักน้ำแล้วหลังจากนั้นก็รักษาสมดุลน้ำใต้ผิว สารช่วยเพิ่มความชื้น (มอยส์เจอร์ไรเซอร์) แบ่งออกได้เป็น 2ชนิดเป็น 1. สารช่วยเพิ่มน้ำในชั้นผิวหนัง (Humectant) สารกลุ่มนี้มีคุณลักษณะในการจับกับน้ำ (water binding)เช่น colloidaloatmeal, Amino acid,Hyaluronic Acid, Sodium PCA, glycerin, น้ำผึ้ง, กรดแลคติค (lactic acid), soduimlactate, propylene glycol,sorbitol, pyrolidonecarboxylic acid (PCA) , gelatin,collagen , lastin,urea ทั้ง Sodium-PCA รวมทั้งhyaluronic acid (HA) จัดเป็นสารจำพวกglycosaminoglycans ในธรรมชาติสารนี้เจอแทรกสอดในชั้นหนังแท้ ขึ้นรถ HA จะซับน้ำได้ 1000 เท่า ก็เลยทำให้ผิวหนังเด็กเต่งตึง แต่เมื่อวัยสูงมากขึ้นสาร HA ในชั้นหนังแท้จะต่ำลงทั้งคุณภาพรวมทั้งปริมาณ ผิวหนังก็เลยเหี่ยวย่น ในครีมหรือโลชันผิวแห้งก็เลยนิยมผสมสาร HA ครีมv2เพื่อช่วยซับน้ำในผิวหนังชั้นไคลด้วยเหตุว่าสารในกลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มน้ำให้กับผิวได้โดยตรง ทำให้ผิวเรียบนุ่มเปียกชื้นโดยไม่เพิ่มความมันมอยส์เจอร์ไรเซอร์กลุ่ม Humectant ก็เลยเหมาะสมกับผิวมัน ผิวแห้ง รวมทั้งผิวแพ้ง่าย 2. สารเพื่อปกป้องการระเหยของน้ำจากผิว (occlusivemoisturizers)สินค้าผิวแห้งจะผสมน้ำมันหลายแบบ เมื่อทาน้ำมันฉาบผิวการระเหยของน้ำจากชั้นผิวหนังจะต่ำลงน้ำมันที่ใช้มีหลายกรุ๊ป เป็น ขอบคุณบทความจาก : https://sites.google.com/site/v2centerthailand/ Tags : ครีม v2
|