หัวข้อ: ขายดีเลิศเป็นกระแสในการช่วยเหลือเกื้อกูลผิวของคุณให้มีผิวขาวสวยปรับสภาพผิวของคุณ เริ่มหัวข้อโดย: Loriehammond ที่ พฤษภาคม 17, 2017, 03:04:45 pm ครีม v2 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ มีความสำคัญในการรักษาความชื้นให้ผิว ถึงผิวมนุษย์เราจะผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้เองแม้กระนั้นขณะนี้มีสินค้าบำรุงรักษาผิวเยอะมากกมายที่มีองค์ประกอบไม่เป็นมิตรกับผิว มีฤทธิ์ระคายทำให้ผิวอ่อนแอรวมทั้งผลิตมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้ลดลง การบำรุงผิวโดยพิจารณาถึงส่วนประกอบของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ก็เลยมีความจำเป็นเหมือนกัน บางบุคคลหน้ามันแล้วกลัวว่าหากใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะก่อให้ผิวยิ่งมันครีม v2เป็นความรู้ความเข้าใจที่ผิดนัก เนื่องจากว่ามอยส์เจอร์ไรเซอร์มีหลายประเภทสามารถเลือกใช้ให้ตรงกับภาวะผิวได้
ต้องการมีผิวสวย โปรดอ่านนี้ก่อน ผิวหนังชั้นนอกสุด (stratum corneum หรือชั้นคราบไคล) เป็นชั้นที่พวกเรามองดูเห็นด้วยสายตา ในสายตาคนรอบข้างหรือตอนพวกเราส่งกระจก ผิวพวกเราจะดูแห้ง ขาดเลือดฝาด ไม่สดชื่นหรือสวย ขึ้นตรงต่อความสมบูรณ์ของชั้นนี้เป็นหลัก อยากให้ผิวดูสวยในสายตาผู้ชม ก็จำต้องมารีบทำให้ผิวชั้นไคลบริบูรณ์กันจ้ะ ศัพท์ที่จะพบในเนื้อหานี้ Epidermis : หนังกำพร้าสุด ภาษาไทยเรียกว่าชั้นผิวหนังชั้นนอกมี 5 ชั้นย่อย stratum corneum : ชั้นไคล เป็นชั้นย่อยชั้นนอกสุดชองชั้นผิวหนังชั้นนอก Corneocyte : เซลล์ในชั้นไคล มีการเรียงหน้าเป็นชั้นๆคร่าวๆ 25-30 ชั้น บางแบบเรียนเรียก Corneocyte ว่าhorny cell Brick and Motar Model : แบบจำลองการเรียงตัวเป็นชั้นๆของเซลล์ Corneocyte Keratinocyte : เป็นคำรวมๆที่ใช้เรียกเซลล์ผิวทั้งผองของชั้นepidermis เพราะเหตุว่าเซลล์ผิวในชั้นผิวหนังชั้นนอกจะมี keratinเป็นส่วนประกอบด้านใน ทำให้ทุกเซลล์ในชั้น Epidermis ขึ้นชื่อว่าเป็น keratinocyte ทั้งหมดทั้งปวง NMFs : ย่อมาจาก Natural moisturizing factors เป็นสารประกอบหนึ่งที่อยู่ด้านในเซลล์ Corneocyteทำหน้าที่เก็บน้ำแล้วหลังจากนั้นก็รักษาความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ภาษาไทยเรียก NMFsว่า "น้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ" Intercellular lipids : ชั้นไขมันกันระหว่างเซลล์Corneocyteปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองป้องกันไม่ให้ NMFs ด้านในเซลล์ Corneocyte รั่วออกมาข้างนอก บางหนังสือเรียนเรียกIntercellularlipids ว่า intercellular matrix หรือ Lipidbarrier Sebaceous gland : ต่อมไขมันที่ทำหน้าที่ผลิตน้ำมัน(sebum) มาฉาบผิว TEWL : ย่อมาจาก Transepidermal Water Loss คือการสูญเสียน้ำผิวผ่านชั้น Epidermis ยิ่ง TEWL มีค่าสูงแปลว่ายิ่งมีการสูญเสียน้ำจำนวนมาก องค์ประกอบผิวหนังชั้นคราบไคล (stratumcorneum) ชั้น stratum corneum มีการเรียงหน้าของเซลล์corneocyte อย่างเรียบร้อยเป็นชั้นๆราว25-30 ชั้น โดยมีintercellular lipidsเป็นตัวประสานล้อม หนังสือเรียนฝรั่งได้เรียกการเรียงหน้าอย่างนี้ว่าBrick and Motar Model ภาพการเรียงตัวของอิฐที่ก่อด้วยปูน Brick and Motar Model Brickแปลว่าก้อนอิฐ Motarหมายความว่าปูนภาพจำลองการจัดเรียงตัวของเซลล์ corneocyte เป็นชั้นๆโดยมีintercellularlipids เป็นตัวประสานซึ่งมีลักษณะเหมือนการเรียงตัวของอิฐที่ก่อด้วยปูนก็เลยถูกเรียกว่า Brick and Motar Model อิฐแต่ละก้อน เทียบเคียงได้กับเซลล์ corneocyte ภายในเซลล์ corneocyte มี NMFs ครีม v2ปฏิบัติหน้าที่รักษาระดับน้ำด้านในเซลล์ NMFs ที่สำคัญๆเป็นAmino acids, PCA แล้วก็น้ำตาลGlucose NMFs เป็นสารที่เซลล์ชั้นผิวหนังชั้นนอกสามารถทำขึ้นได้เองในขณะมีการเติบโตเป็นเซลล์เต็มวัย (keratinocytedifferentiation) แม้มีมูลเหตุใดไปก่อกวนการเจริญเติบโตของเซลล์keratinocyteก็จะมีผลให้ NMFs ถูกทำลดลง และมีผลถึงความชุ่มชื้นของชั้น stratumcorneum ปูนผสาน เปรียบเทียบได้กับIntercellular lipids เป็นตัวยึดเหนี่ยวเซลล์ ให้เรียงกันอย่างแน่นหนาและก็เป็นระเบียบเรียบร้อย Intercellular lipids ประกอบไปด้วยสารประเภทไขมันยกตัวอย่างเช่น ceramides 47 %, cholesterol 24%, freefatty acids 11 % และ cholesterol esters 18 % ผิวสวยเริ่มความสมบูรณ์ของชั้น stratum corneum อยากได้ให้ผิวมองสวย ควรจะหันมาดูแลผิวชั้น stratumcorneum ให้บริบูรณ์โดยการรักษาระดับ NMFs รวมถึงintercellular lipids ให้บริบูรณ์สูงที่สุด การที่ระดับความชุ่มชื้นในผิวเพียงพอจะช่วยทำให้ เซลล์ผิวมีความยืดหยุ่นดี ถูกรังแกได้ยาก เสริมรูปแบบการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่ช่วยในแนวทางการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ หากผิวขาดความชื้นที่ประจวบเหมาะโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีกลุ่มนี้จะทำงานไม่ดีการผลัดเซลล์ผิวก็เลยรวน ผิวหน้าหมองคล้ำ ฝ้ากระ สะสม รูขุมขนตัน เป็นสิว อุดหนุนให้ส่วนประกอบมีความแข็งแรงรวมทั้งทำหน้าที่กรองสารที่จะผ่านเข้าออกผิวเจริญก้าวหน้ารวมถึงบริบูรณ์ ถ้าหากผิวขาดความชุ่มชื้นที่สมควรเซลล์ corneocyte จะลีบแบน การเรียงตัวไม่เรียบร้อยเกิดช่องโหว่ น้ำใต้ผิวระเหยออกง่าย สิ่งเจือปนจากด้านนอกผ่านเข้าไปได้ง่าย ทำให้ผิวหนังอักเสบ มีการติดโรค อื่นๆอีกมากมาย รักษาระดับ pH ของผิว : ผิวที่มี pH ผิวเหมาะสม จะช่วยทำให้NMFs ถูกสร้างล้ำหน้า สิวขึ้นน้อยลง : ผิวที่ขาดความชุ่มชื้น ทำให้เซลล์ผิวเรียงหน้าไร้ระเบียบครีม v2 มีการหลุดลอกผิดปกติรวมถึงไปตันตามรูขุมขนเมื่อรวมกับน้ำมันที่ระบายออกไม่ได้ ก็เลยมีการตันเป็นสิวตันสิวอักเสบ เมือผิวเปียกชื้น การผลัดเซลล์กลับมาปกติ การอุดตันเกิดต่ำลง สิวต่ำลง รูขุมขนกระชับ : ผิวที่เฉอะแฉะสมควร เซลล์ corneocyteจะมีความอ้วนอิ่มและก็ขยายตัวแทรกกัน ทำให้รูขุมขนซึ่งอยู่ระหว่างจุดเชื่อมของเซลล์ corneocyte ถูกบีบอัดให้แคบลงผิวก็เลยมองดูละเอียดขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวในคนที่ผิวแห้งมากมายๆเว้นเสียแต่ผิวจะมองไม่สุภาพแล้ว รูขุมขนก็จะกว้างขึ้นด้วย อ่านเพิ่มอีกเกี่ยวกับที่บทความเรื่อง ตาข่ายผิวภาพเปรียบเทียบผิวหนังปกติและก็ผิวหนังที่แห้งผิวธรรมดา :เซลล์เรียงหน้าชิดกัน เป็นระเบียบเรียบร้อย inter cellular matrix บริบูรณ์ เหนือผิวด้านบนมีน้ำมัน (hydro lipid film) ฉาบอยู่เพียงพอ น้ำใต้ผิวระเหยออกได้น้อยผิวแห้ง การเรียงตัวของเซลล์ผิวหละหลวม ไม่มีระเบียบ intercllular matrix มีน้อย/ไม่มีคุณภาพ น้ำมันฉาบผิว (hydro lipid film) น้อย น้ำใต้ผิวระเหยออกได้มาก (TEWL สูง)บักเตรี สิ่งปลอมปนไปสู่ผิวได้ง่าย ผิวก็เลยเคืองแล้วหลังจากนั้นก็อักเสบง่ายผิวแห้ง ผิวขาดความชุ่มชื้นเสมอเหมือนหรือไม่เหมือนกันอย่างไร? ผิวแห้งแล้วก็ผิวขาดความชุ่มชื้นคล้ายคลึงกันแต่แตกต่างคำว่าผิวแห้งเป็นคำใช้แยกสภาวะผิวที่ประจำตัวมา อย่างเช่น คนนี้ผิวมัน คนนี้ผิวผสม คนนี้ผิวแห้ง ซึ่งใช้ปริมาณน้ำมันที่ผลิตจากต่อมไขมันเป็นตัวจำแนกประเภท ผิวแห้ง(dry skin)หมายถึงผิวที่ขาดน้ำมัน (sebum)ฉาบผิวด้านบนเพราะว่ามีต่อมน้ำมัน ( sebaceous gland) ใต้ผิวน้อย ก็เลยผลิตน้ำมันได้น้อย เมื่อจำนวนน้ำมันฉาบผิวน้อยก็เลยสูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย เพราะฉะนั้นคนที่ผิวแห้งยังคงมีความสมบูรณ์ของ intercllular matrix และมีน้ำใต้ผิวที่พอเพียง ก็แค่ขาดน้ำมันที่ผิว ผิวมัน (oily skin)เป็นผิวที่มีต่อมไขมันล้นหลามทั่วทั้งหน้ารวมทั้งผลิตน้ำมันมาฉาบผิวได้มาก ผิวด้านนอกก็เลยมองมัน การสูญเสียน้ำใต้ผิวก็เลยเกิดขึ้นน้อย ผิวผสม (mix skin) คือ ผิวที่มีต่อมไขมันรอบๆt-zoneมาก, u-zone น้อยทำให้หน้ามันเฉพาะบริเวณt-zoneส่วน u-zone ปกติหรือแห้ง ส่วน ผิวขาดความชื้น (dehydrated skin) เป็นผิวที่มีน้ำใต้ผิวต่ำ วัดน้ำใต้ผิวได้ < 10% ต้นเหตุอาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยภายใน 1.ปัจจัยภายนอก การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์มากจนเกินความจำเป็น : ทำให้ผิวหนังชั้นนอกมีการหมุนเวียนเร็วกว่าธรรมดา ผิวหนังที่มีการหมุนเวียนเร็วจะไม่สามารถสร้าง NMFsและ intercellular lipids ได้ทัน ก็เลยเสียความรู้ความเข้าใจในการดูแลและรักษาน้ำให้ยังคงอยู่ในผิวหนัง การใช้สินค้าชำระล้างที่มีคุณลักษณะกำจัดน้ำมันฉาบผิวมากเกินความจำเป็นครีม v2 : น้ำมันฉาบผิวน้อย สูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย รังสี UV : ได้รับรังสี UV จำนวนไม่ใช่น้อยต่อเนื่องกัน ไม่ทาครีมที่เอาไว้กันแดด รังสี UV จะรบกวนการผลิต NMFs ความชื้นในอากาศ : ความชุ่มชื้นในอากาศต่ำกว่า10% จะดึงน้ำในผิวออกสู่ข้างนอก เพราะฉะนั้นในห้องปรับอากาศในฤดูหนาว ซึ่งมีความชุ่มชื้นต่ำ สามารถพรากน้ำใต้ผิวได้ตลอดเวลา 2. ปัจจัยภายใน อายุ : อายุครั้งมากขึ้น การผลิต NMFs และก็ sebum ลดลง เชื้อชาติ : ชาวเอเชีย มีจำนวน NMFs ต่ำลงยิ่งกว่าเชื้อชาติอื่น โรคผิวหนัง: โรคผื่นแพ้กรรมพันธุ์ (atopicdermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) โรคเด็กดักแด้(Ichthyosis) โรคพวกนี้จะมีการแบ่งตัวของkeratinocyte (keratinization) เร็วกว่าธรรมดาหลายเท่า แล้วก็ขับมาที่เปลือกอย่างเร็วดังเช่น 4 วัน (ปกติใช้เวลา 28วัน) ทำให้ผิวหนังดกเป็นปื้นในขณะขั้นตอนสร้าง NMFs , intercellular lipids ยังเกิดขึ้นไม่สมบูรณ์ เซลล์ผิวหนังก็เลยขาดแรงยึดเหนี่ยวกันตามปกติ เซลล์ผิวก็เลยหลุดลอกออกเป็นแผ่นๆได้ง่าย เสมือนเป็นสะเก็ดหรือเกล็ดขึ้นกับความร้ายแรง รูปแบบของผิวหนังที่ขาดความชื้น(dehydrated skin) - ผิวไม่เรียบ มีขุยไหมมีขุยก็ได้ แม้กระนั้นถ้าหากมีขุยเป็นอาการหนักทาแป้งไม่ติด (หน้ามันมากไม่น้อยเลยทีเดียว ทาแป้งไม่ติด หน้าแห้งไปก็ทาแป้งไม่ติดด้วยเหมือนกัน)ครีม v2 - แลเห็น fine line ชัด (ริ้วเล็ก) โดยเฉพาะใต้ตา มุมปาก - ผิวแดงง่าย สีผิวไม่บ่อยนัก - คันแล้วหลังจากนั้นก็กำเนิดผิวหนังอักสบ - ระคายง่าย แพ้ง่ายครีม v2 การดูแลรักษาความชื้นให้ผิวหนัง ก็เลยจำเป็นต้องทำทั้งเพิ่มความชื้นเข้าไปก่อน ด้วยการดื่มน้ำให้พอเพียง และก็เลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์จำพวก humectant ขัดขวางความชุ่มชื้นไม่ให้ระเหยออก ด้วยการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดocclusive เพิ่มความรู้ความเข้าใจในการเก็บกักน้ำใต้ผิวด้วยสินค้าที่มีส่วนประกอบใกล้เคียงกับ NMFs รวมทั้ง Intercellular lipids เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์เป็น ช่วยอะไรบ้าง?Repairingtheskin barrier : เสริมสร้างเกราะคุ้มครองผิว ผิวแข็งแรงขึ้นเคืองลดลง ไม่แพ้ง่าย Increasing water content : เพิมจำนวนน้ำใต้ผิว Reducing TEWL : ลดการสูญเสียน้ำผ่านออกทางผิวหนังชั้นอีพิเดอร์มิส Restoring the lipid barriers’ ability to attract, holdandredistribute water : ซ่อม intercellular lipidsให้สามารถเก็บกักน้ำและรักษาสมดุลน้ำใต้ผิว สารช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น (มอยส์เจอร์ไรเซอร์) แบ่งออกได้เป็น 2ประเภทเป็น 1. สารช่วยเพิ่มน้ำในชั้นผิวหนัง (Humectant) สารกลุ่มนี้มีคุณลักษณะในการจับกับน้ำ (water binding)เช่น colloidaloatmeal, Amino acid,Hyaluronic Acid, Sodium PCA, glycerin, น้ำผึ้ง, กรดแลคติค (lactic acid), soduimlactate, propylene glycol,sorbitol, pyrolidonecarboxylic acid (PCA) , gelatin,collagen , lastin,urea ทั้ง Sodium-PCA รวมทั้งhyaluronic acid (HA) จัดเป็นสารชนิดglycosaminoglycans ในธรรมชาติสารนี้พบแทรกสอดในชั้นหนังแท้ ขึ้นรถ HA จะซับน้ำได้ 1000 เท่า ก็เลยทำให้ผิวหนังเด็กเต่งตึง แต่เมื่อวัยสูงมากขึ้นสาร HA ในชั้นหนังแท้จะต่ำลงทั้งประสิทธิภาพรวมทั้งปริมาณ ผิวหนังก็เลยเหี่ยวย่น ในครีมหรือโลชันผิวแห้งก็เลยนิยมผสมสาร HA ครีมv2เพื่อช่วยซับน้ำในผิวหนังชั้นไคลเพราะสารในกลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มน้ำให้กับผิวได้โดยตรง ทำให้ผิวเรียบนุ่มเฉอะแฉะโดยไม่เพิ่มความมันมอยส์เจอร์ไรเซอร์กรุ๊ป Humectant ก็เลยเหมาะสมกับผิวมัน ผิวแห้ง แล้วหลังจากนั้นก็ผิวแพ้ง่าย 2. สารเพื่อคุ้มครองปกป้องการระเหยของน้ำจากผิว (occlusivemoisturizers)สินค้าผิวแห้งจะผสมน้ำมันหลายแบบ เมื่อทาน้ำมันฉาบผิวการระเหยของน้ำจากชั้นผิวหนังจะลดลงน้ำมันที่ใช้มีหลายกรุ๊ป เป็น คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ครีมวีทู ขอบคุณบทความจาก : https://sites.google.com/site/v2centerthailand/ Tags : ครีม V2 ดีไหม
|