หัวข้อ: หาความรู้เกี่ยวกับลักษณะ"สมุนไพรตังกุย" เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ พฤษภาคม 30, 2017, 08:43:13 am (https://static1-velaeasy.readyplanet.com/www.disthai.com/images/content/original-1495543595542.jpg)
ถิ่นกำเนิดของตังกุย ตังกุยมีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน โดยเฉพาะมณฑล ส่านซี มณฑลยูนาน และใต้หวัน ลักษณะทั่วไปของตังกุย ต้นตังกุย จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีความสูงได้ประมาณ 40-100 เซนติเมตร ลำต้นมี ประเภทตั้งตรง มีร่องเล็กน้อย เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลอมม่วง ส่วนของเหง้าหรือรากที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ คุณสมบัติอวบหนาเป็นรูปทรงกระบอก แยกเป็นรากแขนงหลายราก ผิวเปลือกรากภายนอกเป็นสีน้ำตาล เนื้อในนิ่ม ใบตังกุย ใบเป็นใบเดี่ยว หยักลึกแบบขนนก 2-3 ชั้น ลักษณะเป็นรูปไข่ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 25 เซนติเมตร และยาวประมาณ 30 เซนติเมตร แฉกใบมีก้านเห็นได้ชัดเจน มักแยกเป็นแฉกย่อย 2-3 แฉก ส่วนขอบใบหนักเป็นฟันเลื่อยไม่สม่ำเสมอ มีก้านใบยาวประมาณ 5-20 เซนติเมตร โคนแผ่เป็นครีบแคบ ๆ สีเขียวอมม่วง ดอกตังกุย ออกดอกเป็นช่อ แถวยอดของลำต้นหรือตามง่ามใบ ช่อดอกมี คุณสมบัติเป็นช่อแบบซี่ร่มเชิงประกอบ มีช่อย่อยขนาดไม่เท่ากันประมาณ 10-30 ช่อย่อย ก้านช่อดอกนั้นยาวประมาณ 8-10 ซม. ใบประดับมีไม่เกิน 2 ใบ ดอกเป็นสีขาวหรือเป็นสีแดงอมม่วง ในแต่ละก้านจะมีดอกย่อยประมาณ 13-15 ดอก ส่วนกลีบดอกนั้นมี 5 กลีบ ออกดอกในช่วงประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม ผลตังกุย ผลเป็นแบบผลแห้งแยก มีขนาดกว้างประมาณ 3-4 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 4-6 มม. สันด้านล่างหนาแคบ ด้านข้างมีปีกบาง ขนาดกว้างเท่ากับความกว้างของผล และมีท่อน้ำมันตามร่อง ติดผลในช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน รากตังกุย[/i] รากสดมี ลักษณะอวบเป็นรูปทรงกระบอก แยกเป็นรากแขนงหลายราก โดยรากนั้นจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนราก และส่วนรากแขนง ส่วนของรากแห้งเป็นรูปแกมทรงกระบอก ปลายแยกออกเป็นแขนง 3-5 แขนง หรือมากกว่านั้น โดยมีความยาวประมาณ 15-25 เซนติเมตร ผิวด้านนอกนั้นเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาล รากมีรอยย่นเป็นแนวตามยาว รอยช่องอากาศตามแนวขวาง ผิวไม่เรียบ และมีรอยควั่นเป็นวง ๆ มีขนาดประมาณ 6-7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร และมีรอยแผลเป็นของใบปรากฏอยู่ตอนบน ซึ่งโกฐเชียงในตำรายาไทยนั้นจะหมายถึง ส่วนของรากแขนง โดยรากแขนงแห้งนั้นจะเป็นสีน้ำตาล แกมเทาจาง ๆ มี ประเภทเป็นเส้นยาว มีรอยควั่นเป็นวง ๆ รากแขนงนั้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซม. และยาวได้ประมาณ 10 ซม. ตอนบนหนา ส่วนตอนล่างเรียวเล็ก ส่วนมากจะบิด เนื้อจะเหนียว รอยหักสั้นและนิ่ม รอยหักของเหง้าแสดงว่ามีผิวหนามากเกือบถึงครึ่งเหง้า มีต่อมน้ำยางสีน้ำตาลหรือสีเหลืองแกมแดงออกเป็นแนวรัศมีจากกลางเหง้า ส่วนที่เป็นเนื้อสีเหลืองนั้นจะมีรูพรุน แกนเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมแรงเฉพาะ ฉุน มีรสหวานอมขม และเผ็ดเล็กน้อย การขยายพันธุ์ของตังกุย ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เจริญเติบโตได้ดีใน แถบส่วนของโลกที่อยู่ในระหว่างเขตหนาวกับเขตร้อน ชอบดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ อุ้มน้ำได้ดี และมีความชื้นสูง ต้องการที่ร่มรำไร ชอบอากาศเย็นชื้น โดยเฉพาะใน แถวที่อยู่ใกล้ทางน้ำไหล ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,000-9,000 เมตร มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 2-3 ปี พืช อย่างนี้มีเขตการกระจายพันธุ์ทางภาคกลางของประเทศจีน มักขึ้นตามป่าดิบเขา ในปัจจุบัน ชอบ ขยายพันธุ์เป็นพืชเศรษฐกิจในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม และในประเทศจีน โดยเฉพาะในป่าดิบตามภูเขาสูงของมณฑลเสฉวน ไต้หวัน ส่านซี กุ้ยโจว เหอเป่ย และมณฑลยูนนาน องค์ประกอบทางเคมี ในเหง้าและรากของตังกุยมีน้ำมันระเหยง่ายราวร้อยละ 0.4-0.7 สารหลักคือ alkylphthalides ในน้ำมันระเหยง่ายมีสารแซฟโรล(safrole) สารไอโซแซฟโรล (isosalfrole) สารคาร์วาครอล (carvacrol) เป็นต้น นอกจากน้ำมันระเหยง่ายแล้วยังมีสารอื่นๆอีกหลายชนิด เช่น สารไลกัสติไลด์ (ligustilide) กรดเฟรูลิก (ferulic acid) กรดเอ็น-วาเลอโรฟีโนน-โอ-คาร์บอกซิลิก (n-valerophenone-o-carboxylic acid) นอกจากนี้ยังพบสารกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ ฟีนิลโพรพานอยด์ คูมาริน โพลีอะเซทิลีนอนึ่งตังกุย จะมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด เช่น ของจีน (Angelica sinensis (Oliv.) Diels), ของญี่ปุ่น เรียก ตังกุยญี่ปุ่น หรือ โกฐเชียงญี่ปุ่น (Angelica acutiloba (Siebold & Zucc.) Kitag.) มี สรรพคุณทางยาอ่อนกว่าของจีน คนญี่ปุ่น อาจ กินต้นสด, ของอินเดีย (Angelica glauca Edgew.) ที่ชาวอินเดียนิยมใช้เป็นยาบำรุงกำลังของ สตรีที่เรียกว่า “โจรากา” (Choraka), ของยุโรป (Levisticum officinale W.D.J.Koch) ซึ่งทั้งหมดนี้อาจ นำมาใช้แทนกันได้ เพียงแต่ตังกุยของทางยุโรปนั้นจะมีสารสำคัญบางตัวน้อยกว่าตังกุยของมณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน
|