หัวข้อ: กฎหมายอาญา ภาคความผิด เล่ม 3 เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์
เริ่มหัวข้อโดย: attorney285 ที่ สิงหาคม 28, 2017, 03:46:43 am
กฎหมายอาญา ภาคความผิด เล่ม 3 เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์
(http://img.tarad.com/shop/a/attorney285/img-lib/spd_20160221191707_b.jpg)
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมคลิกที่นี่ http://www.attorney285.com/product.detail_571709_th_2411459กฎหมายอาญา ภาคความผิด เล่ม 3 เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ ผู้แต่ง : เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ ปีที่พิมพ์: ครั้งที่ 2 : พฤศจิกายน 2555 จำนวนหน้า: 556 หน้า ขนาด : 18.5x26 ซม. รูปแบบ : ปกอ่อน สารบัญ บทที่ ๑ หลักเกณฑ์พื้นฐานของความผิดฐาน - ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง - ความผิดฐานลักทรัพย์ - ความผิดฐานยักยอก - ความผิดฐานฉ้อโกง - ความแตกต่างระหว่าง “ฉ้อโกง” และ “ลักทรัพย์โดยใช้อุบาย” บทที่ ๒ ความผิดฐานลักทรัพย์ - องค์ประกอบภายนอก - ทรัพย์นั้นต้องเป็นของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย (กรรมสิทธิ์รวม) - ผู้กระทำ “เอาไป” ซึ่งทรัพย์นั้น - ทรัพย์นั้นต้องมีผู้อื่นครอบครองอยู่ในขณะนั้น - ทรัพย์สินหายคือทรัพย์ที่ไม่มีผู้ครอบครอง - คำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยว่าทรัพย์ที่ตกหายนั้นยังมีผู้ครอบครองอยู่ไม่ใช่ - ทรัพย์สินหาย - เช่าที่ดินทำไร่แล้วขุดดินไปขาย - การครอบครองคำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้อื่น - ผู้ที่เอาไปโดยทุจริตผิดฐานลักทรัพย์คำพิพากษาฎีกาและตัวอย่างต่าง ๆ ที่วินิจฉัยว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้กระทำ จึงผิดฐานยักยอก - การครอบครองอาจเกิดจากการลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง ก็ได้ - ผู้กระทำต้องเข้าครอบครองทรัพย์ที่ลักหากหยิบทรัพย์ไปทำลายโดยไม่มีการครอบครอง - ทรัพย์ ก็ผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ - การเอกทรัพย์ของผู้อื่นไปทิ้งแม่น้ำ - ตัวอย่างที่ถือว่าผู้กระทำมิได้ครอบครองทรัพย์นั้นแล้วต่อมาจึงทำลายทรัพย์นั้น - ตัวอย่างที่ถือว่าผู้กระทำมิได้ครอบครองทรัพย์นั้น - กรณีที่การเข้าครอบครองทรัพย์ยังกระทำไปไม่ครบถ้วน - ผู้กระทำต้องเข้าครอบครองทรัพย์โดยแย่งการครอบครอง - เอาทรัพย์ที่มีผู้ส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไป - การหลอกเอาการครอบครองเป็นการ “แย่งการครอบครอง” - ลักทรัพย์โดยใช้อุบาย - การหลอกเอากรรมสิทธิ์เป็นฉ้อโกง - การข่มขู่ให้ส่งทรัพย์ให้ก็เป็นการแย่งการครอบครอง - ผู้กระทำพาทรัพย์เคลื่อนที่ไปในลักษณะที่เป็นการตัดกรรมสิทธิ์ - ผู้กระทำพาทรัพย์นั้นเคลื่อนที่ไปทรัพย์ซึ่งติดตรึงอยู่กับสิ่งอื่น การลักทรัพย์สำเร็จเมื่อใด - คำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยว่าเป็นการลักทรัพย์สำเร็จ - คำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยว่าเป็นพยายามลักทรัพย์ - กรณีทรัพย์นั้นถูกโซ่ล่าม หรือมีเชือกผูกอยู่กับสิ่งอื่น - กรณีทรัพย์สวมอยู่ที่คอ หรือใส่อยู่ที่ข้อมือ - ผู้กระทำพาทรัพย์เคลื่อนที่ไปในลักษณะที่เป็นการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์ตลอดไป ไม่ใช่แต่เพียงเอาไปชั่วคราว - ต้องทำให้ทุก ๆ จุดของทรัพย์เคลื่อนที่ต้องเป็นการ “เอาไป” โดยลักษณะที่เป็นการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าทรัพย์ตลอดไป - เจ้าของรวมคนหนึ่งเอาทรัพย์ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมไปขายโดยเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งไม่ได้อนุญาต - การใช้ทรัพย์ตามสภาพของทรัพย์ ไม่ผิดฐานลักทรัพย์และไม่ผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ - การกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ไปแล้ว ต่อมามีการกระทำเกี่ยวกับทรัพย์ชิ้นนั้นอีก จะผิดฐานใดอีกหรือไม่ - องค์ประกอบภายใน - เจตนาธรรมดา (ประสงค์ต่อผล หรือเล็งเห็นผล) - เจตนาพิเศษ (โดยทุจริต) บทที่ ๓ ความผิดฐาน “ยักยอก” - ความผิดมาตรา ๓๕๒ วรรคหนึ่ง - ข้อแตกต่างระหว่างลักทรัพย์และยักยอก - คำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยว่าผู้กระทำ “ครอบครองทรัพย์” - คำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยว่าผู้กระทำมิได้ “ครอบครองทรัพย์” - ทรัพย์ที่ยักยอกต้องเป็นทรัพย์ของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย - ทรัพย์ที่ยักยอกอาจเป็นทรัพย์ที่ผู้ยักยอกเป็นเจ้าของรวมก็ได้ - เจ้าของรวมคนหนึ่งอาจครอบครองทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมแทนเจ้าของรวมอีกคนหนึ่ง - เจ้าของรวมคนหนึ่งอาจไม่ได้ครอบครองทรัพย์ที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมแทนเจ้าของรวมอีกคนหนึ่ง - การเอาเงินไปลงทุนร่วมกับผู้อื่น เงินนั้นอาจเป็นของผู้อื่น - เจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งรับเงินจากลูกหนี้ - รับเงินไว้ในฐานะผู้ขาย - รับเงินไว้เพื่อจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งเบียดบังเงินเป็นยักยอกได้ - เบิกเงินค่าใช้จ่ายใช้สอยล่วงหน้า - ผู้เช่าซื้อเบียดบังทรัพย์ที่เช่าซื้อ - ทรัพย์ที่ยักยอกอาจเป็น “อสังหาริมทรัพย์” ก็ได้ - ความหมายของการ “เบียดบัง” - การใช้อำนาจเป็นเจ้าของต่อทรัพย์ - การรับของไปขาย - ในฐานะตัวแทนไม่ใช้ในฐานะตัวแทนแต่ในลักษณะที่มีสิทธิขายเป็นของตนเอง - คำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยว่ารับของมาขายอย่างเป็นของตนเอง - สรุปหลักในเรื่องการขายอย่างเป็นตัวแทนและการขายอย่างเป็นของตนเอง - ความผิดฐานยักยอกตามมาตรา ๓๕๒ วรรคแรก มีพยายามไม่ได้ - ความผิดฐานยักยอกตามมาตรา ๓๕๓ มีพยายามกระทำความผิดได้ - ยักยอกทรัพย์สินหาย (มาตรา ๓๕๒ วรรคสอง) - เหตุผลที่ไม่ผิดฐานลักทรัพย์ - อย่างไรจึงจะถือว่าเป็นทรัพย์สินหาย - ทรัพย์สินหายไม่ใช่ทรัพย์ไม่มีเจ้าของ - บรรทัดฐานของศาลฎีกาที่ถือว่าการเก็บเอาของตกหายเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต จะเป็นลักทรัพย์หรือจะเป็นยักยอกทรัพย์สินหาย - ความจริงไม่ใช้ทรัพย์สินหายแต่ผู้เก็บเข้าใจว่าเป็นทรัพย์ที่มีผู้ครอบครอง - คำพิพากษาฎีกาที่ไม่ถือว่าของที่ตกเป็นทรัพย์สินหาย - คำพิพากษาฎีกาที่ถือว่าเป็นทรัพย์สินหาย - ผู้ยักยอกทรัพย์สินหายไม่ใช่ผู้เก็บได้ก็ผิดมาตรา ๓๕๒ วรรคหนึ่งไม่ใช่วรรคสอง - หน้าที่ของผู้เก็บได้ซึ่ง “ทรัพย์สินหาย” ของตกหายในที่ดินเอกชนเป็นทรัพย์สินหายหรือไม่ - ทรัพย์ตกอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิดเพราะผู้อื่นส่งมอบโดยสำคัญผิด (มาตรา ๓๕๒ วรรคสอง) - หากสำคัญผิดในมูลเหตุ ไม่ใช่กรณีตามมาตรา ๓๕๒ วรรคสอง - หลอกเอากรรมสิทธิ์ หลอกเอาการครอบครอง หลอกให้มีการส่งมอบทรัพย์ให้โดยสำคัญผิด - ผู้มิได้ครอบครองทรัพย์เป็น “ตัวการ” ร่วมกับผู้ครองครองทรัพย์ในการยักยอกได้ บทที่ ๔ ความผิดฐาน “ฉ้อโกง” - หลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ - การกล่าวข้อความในอนาคต - ต้องมีเจตนาหลอกลวงตั้งแต่แรก - ผู้กล่าวถ้อยคำมีความตั้งใจตั้งแต่แรกขณะกล่าวถ้อยคำนั้นว่าจะไม่ปฏิเสธตามคำกล่าวนั้นเลย - คำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยว่าเป็นตัวการในการฉ้อโกง - หลอกลวงด้วยการปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง - ได้ไปซึ่งทรัพย์สินหมายความว่าได้ไปในลักษณะโอนกรรมสิทธิ์ - หลอกเอาการครอบครองเป็นลักทรัพย์โดยใช้อุบาย - ผู้หลอกได้ไปซึ่ง “ทรัพย์สิน” จากผู้ถูกหลอกหรือบุคคลที่สาม - ทรัพย์นั้นเป็นของผู้หลอกเอง - ผู้หลอกลวงมีสิทธิจะเรียกร้องเอาทรัพย์นั้นได้โดยชอบด้วยกฎหมาย - ผู้กระทำหลอกลวงทรัพย์ไปเป็นการกระทำอัน “ฝ่าฝืนกฎหมาย” หรือ “ฝ่าฝืนศีลธรรมอันดี” - คำพิพากษาฎีกาที่ตัดสินว่า ผู้หลอกไม่ใช่ “ผู้เสียหาย” - คำพิพากษาฎีกาที่ตัดสินว่าผู้ถูกหลอกเป็น “ผู้เสียหาย” - ผู้หลอกได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากบุคคลที่สามก็ได้ - ฉ้อโกงโดยพลาด - ผู้ที่ได้ทรัพย์สินไปเพราะการหลอกอาจเป็นบุคคลที่สามก็ได้ - ความสัมพันธ์ระหว่าง “การกระทำ” และ “ผล” ในความผิดฐานฉ้อโกง - ความผิดสำเร็จเมื่อใด - ผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สาม “ทำ” “ถอน” หรือ “ทำลาย” เอกสารสิทธิ - องค์ประกอบภายใน (เจตนาธรรมดา และเจตนาพิเศษ) - โดยทุจริต - การใช้เอกสารปลอมบางกรณีก็เป็นความผิดฐานฉ้อโกงด้วย - ขายของโดยหลอกลวงตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๑ ต้องไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง บทที่ ๕ ความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา ๓๓๕ และมาตรา ๓๓๕ ทวิ - ความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา ๓๓๕ (“เหตุฉกรรจ์” ของการลักทรัพย์ ตามมาตรา ๓๓๔) - อนุมาตรา ๑ “ในเวลากลางคืน” - อนุมาตรา ๒ - อนุมาตรา ๓ - อนุมาตรา ๔ - อนุมาตรา ๕ - อนุมาตรา ๖ - อนุมาตรา ๗ - โดยมีอาวุธ - ความหายของ “อาวุธ” - อาวุธโดยสภาพ - สิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ - ลักษณะของการลักทรัพย์โดยมีอาวุธ - ร่วมกระทำความผิดด้วยกันสองคนขึ้นไป - อนุมาตรา ๘ - ในเคหะสถาน - ความหมายของเคหะสถาน - เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต - ความหมายของคำว่า “เข้าไป” - เปรียบเทียบกับการ “เข้าไป” ในเคหสถานในความหมายของการบุกรุกตามมาตรา ๓๖๔ - ลักทรัพย์ในเคหะสถานเป็นความผิดสำเร็จเมื่อใด - ข้อเท็จจริงที่ถือว่าเป็นการพยายามลักทรัพย์ในเคหสถาน - ในสถานที่ราชการ - ในสถานที่ที่จัดไว้ให้เพื่อให้บริการสาธารณ - ซ่อนตัวอยู่ในที่นั้น - อนุมาตรา ๙ - ร่างกายของผู้ลักไม่ต้องเข้าไปทั้งตัวก็ได้ - อนุมาตรา ๑๐ - อนุมาตรา ๑๑ - อนุมาตรา ๑๒ - ลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕ วรรคแรก สองอนุมาตราขึ้นไป (มาตรา ๓๓๕ วรรคสอง) - ลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕ วรรคสาม - มาตรา ๓๓๕ วรรคสี่ - การเรียกวรรคต่าง ๆ ของมาตรา ๓๓๕ - มาตรา ๓๓๕ ทวิ ลักพระพุทธรูป หรือวัตถุในทางศาสนา - มาตรา ๓๓๕ ทวิ วรรคสอง บทที่ ๖ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา ๓๕๓ มาตรา ๓๕๔ และมาตรา ๓๕๕ - จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นผิดหน้าที่ (มาตรา ๓๕๓) - ความแตกต่างระหว่างยักยอกตามมาตรา ๓๕๒ วรรคแรก และการจัดการทรัพย์สินของผู้อื่นผิดหน้าที่ตามมาตรา ๓๕๓ - คำพิพากษาวินิจฉัยว่าไม่เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้การจัดการทรัพย์สิน- คำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยว่าได้รับมอบหมายในการจัดการทรัพย์สิน - ความหมายของคำว่ากระทำผิดหน้าที่เสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินความผิดตามมาตรา ๓๕๓ มีการพยายามกระทำความผิดได้ - กรณีที่ถือว่าไม่เกิดความเสียหาย - องค์ประกอบภายใน - เหตุฉกรรจ์ของมาตรา ๓๕๒ และมาตรา ๓๕๓ (มาตรา ๓๕๔) - ผู้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาล - ผู้จัดการทรัพย์สินตามพินัยกรรม - ผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน - บุคคลที่ไม่ใช่ผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน - พ่อค้าร่วมกับผู้จัดการธนาคารในการยักยอกทรัพย์ของธนาคาร - บุคคลภายนอกร่วมกับผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์มรดก - ยักยอกสังหาริมทรัพย์อันมีค่า (มาตรา ๓๕๕) บทที่ ๗ ความผิดฐานฉ้อโกง ตามมาตรา ๓๔๒ ถึงมาตรา ๓๔๗ - มาตรา ๓๔๒ - ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น - อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็กหรืออาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง - ฉ้อโกงประชาชน (มาตรา ๓๔๓) - ข้อเท็จจริงที่ถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน - ข้อเท็จจริงที่ไม่ถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน - มาตรา ๓๔๓ วรรคสอง (เหตุฉกรรจ์ของวรรคแรก) - ฉ้อโกงแรงงาน (มาตรา ๓๔๔) - ฉ้อโกงเงินค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม หรือค่าอยู่ในโรงแรม (มาตรา ๓๔๕) - องค์ประกอบภายใน - ฉ้อโกงโดยการชักจูงให้ผู้อื่นจำหน่ายทรัพย์สินโดยเสียเปรียบ (มาตรา ๓๔๗) บทที่ ๘ ความผิดฐาน “วิ่งราวทรัพย์” (มาตรา ๓๓๖) - ฉกฉวยเอาซึ่งหน้า - คำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยว่าเป็นการวิ่งราวทรัพย์ - “ผลฉกรรจ์” ของการวิ่งราวทรัพย์ (มาตรา ๓๓๗ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่) บทที่ ๙ ลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์โดยวิธีการพิเศษ (มาตรา ๓๓๖ ทวิ)
ดูรายละเอียด เล่มอื่น ที่นี่ "http://www.attorney285.com/product_571709_th
**** ต้องการด่วน !! สั่งผ่านเว็บได้เลย****
|
ฐานข้อมูลผิดพลาด |
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
|
|