ล้อแม็ก แม็ก แม็กล้อ แม็กซ์แต่งรถ ล้อแม็กคุณภาพ รวมล้อแม็กลายใหม่ๆ

Sitemap SMB => สินค้าอื่นๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: praiprai9989 ที่ พฤศจิกายน 04, 2017, 03:05:27 pm



หัวข้อ: ตำราหนังเรียนแบบเก่าสมุนไพรพิกัดโกษฐู
เริ่มหัวข้อโดย: praiprai9989 ที่ พฤศจิกายน 04, 2017, 03:05:27 pm
(http://www.คลังสมุนไพร.com/wp-content/uploads/2017/09/54.png)
สมุนไพรพิกัดโกษฐ์[/size][/b]
โกรธเป็นพิกัดเครื่องยาหมู่หนึ่งที่ใช้มากในไทย ตำราโบราณเขียนชื่อพิกัดยาเหล่านี้ต่างกันออกไปหลายแบบ ในแผ่นจารึกหนังสือเรียนที่วัดราชบุตรชายสาราม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (แม้กระนั้นครั้งพระองค์ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระผู้เป็นเจ้าลูกยาคุณ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์) ขอความปรานีเกล้าให้จารึกไว้เป็นวิทยาทาน เมื่อทรงซ่อมวัดนี้ใน พ.ศ. ๒๓๖๔ มอบเป็นพระราชกุศลแก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปรากฏชื่อพิกัดเครื่องยาไทยเดี๋ยวนี้เป็น โกด ทั้งปวง ดังเช่นว่า (พิมพ์ตาตัวหนังสือที่ปรากฏในแผ่นจารึก) ถ้าบุทคลคนไหนกันแน่จับไข้เพื่อเสมหะ ปิตะ วาตะ สมุถานดีแล้ว ทำให้หิวโหยหาแรงไม่ได้ ให้ระสลากกินแบ่งไป ให้ใจขุ่นหมองมิได้ชื่น ให้สวิงสวายหากำลังมิได้  ถ้าหากจะเอายานี้แก้ ยาชื่อมหาสมมิตร เอาโกดทั้งยังห้า เทียรทั้งห้า ตรีผลา จันทังสอง ลูกจัน[/b] ดอกจัน[/b] กรวาน กานพูล[/b] ขิงแห้ง ดีปลี หญ้าแห้วหมู ไคร้เครือ เกษรบัวหลวง เกษรสารภี เกษรบัวเผื่อน เกษรบัวขม ดอกคำ ดอกผักตบ ดอกพิกุน เกสรบุนนาค ดอกสลิด ประจักษ์พยาน ชลูด อบเชย[/b] ชะเอม[/b] ปริศนา ชะมดเชียง พิมเสน เอาเท่าเทียมทำเป็นจุณ เอาดีงูเหลือม เช่น้ำดอกไม้ประสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำดอกไม้ก็ได้ น้ำตาลก็ได้ น้ำค้างคืนก็ได้ กินแก้รส่ำรสายแลดับพิษไข้ทั้งหมด ทำให้คลั่งให้เพ้อให้เชื่อมให้มัว แก้ลิ้นกระด้างคางแข็ง แลชูกำลังยิ่งนักฯ
ส่วนแผ่นจารึกแบบเรียนที่วัดพระเชเหม็นตุพนใสมังคลาราม(วัดโพธิ์) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้จารึกไว้เพื่อเป็นวิทยาทาน คราวที่ทรงบูรณะซ่อมแซมใหญ่เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๕ แล้วก็คณะอาจารย์สถานศึกษาแพทย์แผนโบราณได้เก็บจัดพิมพ์เป็นเล่มเมื่อ พุทธศักราช ๒๕๐๕  ในตำรายาฯนี้บันทึกชื่อเครื่องยาในเดี๋ยวนี้เป็น โกฐ ทั้งหมดทั้งปวง ตัวอย่างเช่นแผ่นจารึกที่ศาลา ๗ เสา ๖  แผ่น ๔ ดังต่อไปนี้
ปุนะจะปะรัง ลำดับนี้จะกล่าวด้วยนัยหนึ่งใหม่ เกี่ยวกับลักษณะสันนิบาตอันเกิดขึ้นเพื่อดีรั่วนั้นเป็นคำรบ ๔  เมื่อจะเกิดขึ้นแก่บุคคลใดก็ดีแล้ว ก็ทำให้ลงดุจกินยารุ มูลนั้นเหลืองดังน้ำขมิ้นสด ให้เคลิ้มไปหาสติไม่ได้ แลให้หิวโหยนัก บริโภคอาหารไม่อยู่ท้อง ให้สวิงสวาย ให้แน่นหน้าอกเป็นกำลัง ให้อุทธรลั่นอยู่เป็นนิจมิได้ขาด ถ้าเกิดเเลลักษณะเป็นดังกล่าวข้างต้นมานี้ ฯ ถ้าหากจะแก้เอาสมอ ๓ มะขามป้อม[/b] ผลกระดอม จันทน์ทั้งยัง ๒ โกญสอ โกฐเฉมา โกฐก้านพร้าว โกฐพุงปลา โกฐน้ำเต้า[/b] กฤษณา กระลำพัก แก่นสน กรักขี แก่นประดู่ รากขี้กา ๒ ใบสันพร้ามอน ใบคนทีสอ[/b] รากกระทมือก รากทิ้งถ่อน รากผักหวาน ว่านน้ำ ไคร้หอม เท่าเทียมต้มตามวิธีให้กิน แก้สันนิบาตอันเกิดขึ้นเพื่อปิตตะสมุฏฐานโรค กล่าวอีกนัยหนึ่งดีรั่วนั้นหายยอดเยี่ยมนักฯสำหรับ ตำราแพทย์แผนไทยแผนโบราณ ซึ่งสะสมโดยขุนโสภิตบรรณรักษา (อำพัน คำกล่าวขวัญแผ่กว้าง) เขียนชื่อพักนี้เป็น โกฏ ทั้งหมด เป็นต้นว่ายาแก้คอแห้งผากในคู่มือเล่ม ๓ ในช่วงเวลาที่กล่าวถึงเสลดพิการแล้วก็ยาแก้ ดังนี้ ยาแก้คอแห้ง แก้เสมหะเหนียว แก้อาเจียน เอาโกฏอีกทั้ง ๕ เทียนอีกทั้ง ๕ ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู ว่านน้ำ[/b] พรมมิ ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง ลูกราชดัด ขิง[/b] พริกไทย[/b] บดละลายน้ำท่าแทรกเกลือกิน แก้คลื่นไส้ละลายน้ำลูกยอต้มกิน
                     (http://www.คลังสมุนไพร.com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B9%8C-300x191.jpg)
ส่วนในหนังสือศาสตร์วัณ์ณทุ่งนา – แบบเรียนแพทย์แบบเก่า
ซึ่งเรียบเรียงโดยนายสุ่ม วรกิจไพศาล ตามตำราของพระยาดีเลิศศาสตร์ดำรง(หนู) ผู้เป็นบิดา บันทึกชื่อเครื่องยาหมู่นี้เป็น โกฏฐ์ ทั้งหมดทั้งปวง เป็นต้นว่า ยาเทวดานิมิตรในเล่ม ๔ ดังนี้ หากจะเอายาชื่อเทวดานิมิตต์ขนานนี้ ท่านให้เอาโกฏฐ์สอ ๑ โกฏฐ์เชียง ๑ โกฏฐ์เขมา ๑ โกฏฐ์น้ำเต้า ๑ สมุลแว้ง ๑ อบเชย ๑ ขมิ้นเครือ ๑ แก่นสน ๑ สักขี ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ สิ่งละ ๒ ส่วน ดอกลำดวน ๑ กระดังงา ๑ ดอกจำปา ๑ สิ่งละ ๓ ส่วน จันทน์อีกทั้ง ๒ กฤษณา ๑ กระลำพัก ๑ ขอนดอก ๑ แก่นพรม ๑ ชะเอมเทศ ๑ หวายตะค้า ๑ ดอกคำฝอย ๑ เลือดแรด ๑ สารส้ม ๑ สิ่งละ ๔ ส่วน การบูร ๑ พริกไทย ๑ สิ่งละ ๕ ส่วน แก่นแสมสมุทร ๑๖ ส่วน เบ็ญจเราล ตามพิกัด ทำเป็นผงแล้วเอาหญ้าแห้วหมูเป็นน้ำกระสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำเนื้อไม้ต้มแทรกพิมเสนให้รับประทาน แก้โลหิตธรรมดาโทษอันบังเกิดแต่กระดูกนั้นหายยอดเยี่ยมนักแล
ก็เลยมองเห็นได้ว่าตำราเรียนยาโบราณของไทยใช้ชื่อเครื่องในหมูนี้เป็น โกด โกฐ โกฏ หรือ โกฏฐ์ แตกต่างกันไปตามแต่จะเขียน เรื่องยาพิกัดนี้ทุกชนิดเป็นของที่มีกำเนิดในต่างชาติ แล้วก็มีพ่อค้าฝรั่งนำเข้ามาขายในประเทศไทยเป็นเวลายาวนานแล้ว อย่างต่ำก็ก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พุทธศักราช ๒๑๗๕ – ๒๒๓๑) เนื่องจากว่าในตำราเรียนหมอแผนไทยซึ่ง หนังสือเรียนพระยาพระนารายณ์ได้อ้างถึง ๒ เล่ม เป็นคัมภีร์โรคนิทาน และก็คู่มือมหาโชตรัต มียาที่เข้าเข้าพิกัดนี้มากมายก่ายกองหลายขนาน และใหหลายขนานในแบบเรียนพระโอสถพระนารายณ์เอง แต่ว่าชื่อเครื่องยาหมู่นี้ควรจะเขียนเป็นยังไง มีที่มาแล้วก็ความหมายยังไง นอกนั้นเครื่องยาหมู่นี้บางจำพวกเป็นยังไง มีที่มาที่ไปเช่นไรอย่างเป็นข้อพิพาทที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้
สาเหตุของคำ โกษฐ์
โกษฐ์ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ . ๒๕๔๒ เลือกเก็บคำ โกฐ ไว้โดยนิยามดังนี้ โกฐ (โกด) น. ชื่อยาสมุนไพรจำพวกหนึ่ง ได้จากส่วนต่างๆของพืช มีหลายประเภท หนังสือเรียนยาแผนโบราณเขียนเป็น โกฎ โกฏ โกฏฐ์ โกด หรือ โกษฐ์ ก็มี (เปรียญโกฏฐ) คำ โกฐ ที่ราชบัณฑิตยสถาน (โดยผู้รอบรู้ทางบาลี-สันสกฤต) เลือกเก็บไว้นั้น มีในภาษาสันสกฤตจริง แต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกสมุนไพรประเภทหนึ่งซึ่งแพทย์แผนไทยเรียกโกฐกระดูก (kut หรือ kuth ) จึงน่าจะเป็นต้นเหตุของการเลือกเก็บคำ โกฐ ของราชบัณฑิตยสถาน แม้กระนั้น คำ โกฐ นี้มีความหมายว่าโรคเรื้อน ส่วนคำ โกฏฐ ในภาษาบาลีหมายความว่า ลำไส้ พุง คำ ๒ คำนี้ ไม่น่าจะเป็นชื่อพิกัดเครื่องยาสมุนไพร ยิ่งกว่านั้น คำที่อ่านออกเสียงว่า โกด เขียนได้อีกหลายแบบ แต่ก็บอกความหมายที่ไม่เหมือนกัน ดังเช่น
โกส แปลว่า ผอบ; มีความหมายว่าผอมบางมาตราวัดความยาวพอๆกับ ๕๐๐ ชั่ว
โกฏิ มีความหมายว่า ๑๐ ล้าน
โกษ แสดงว่า อัณฑะ
หีบศพหมายความว่า ที่ใส่ศพนั่ง , ที่ใส่กระดูกผี ฝัก , กระพุ้ง, คลังเก็บของ คำที่ออกเสียง โกด ที่ใช้เรียกชื่อและก็พิกัดเครื่องยาสมุนไพรควรเขียนเช่นไรนั้น อาจจะสืบสาวหาสิ่งที่ทำให้เกิดคำนี้ แล้วเขียนให้ถูกต้อง ให้ตรงหรือใกล้เคียงกับคำในภาษาเดิมให้สูงที่สุด เพื่อให้อาจจะความหมายเดิมให้เยอะที่สุด น่าสังเกตว่า เรื่องยาสมุนไพรพิกัดมีทั้งหมดเป็นเครื่องยาเทศหรือเครื่องยาจีน เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันว่าเป็นของดีแล้วก็ใช้กันมาในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนและก็ประเทศใกล้เคียง แล้วก็คำที่ออกเสียงแบบนี้ในภาษาไทยไม่มีคำไหนที่มีความหมายเกี่ยวกับยาหรือการบำบัดรักษาเลย คำนี้จึงน่าจะเป็นคำในภาษาอื่น อาจเป็นภาษาจีนหรือภาษาแขก เนื่องจากว่าอายุรเวทซึ่งพัฒนาขึ้นในชมพูทวีปและก็การแพทย์แผนจีนมีผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาการแพทย์ทางการแพทย์และก็การปรุงยาแผนหมอแผนไทยมาแต่โบราณ แต่คำที่ออกเสียงตัวสะกดแม่กดนั้นไม่มีใช้ในภาษาจีน โดยเหตุนี้ คำที่ออกเสียง โกด ก็เลยน่าจะมีที่มาจากภาษาพื้นเมืองใดในประเทศอินเดียหรืออิหร่านในตำราอายุรเวทของประเทศอินเดีย มีคำ kuth หรือ kuth root เป็นชื่อเครื่องยาในภาษาพื้นเมืองของประเทศกัษมิระ และก็หนังสือเรียนฯว่ามีรากศัพท์มาจากคำ kusta ในภาษาอิหร่านหรือเปอร์เซีย ส่วนภาษาสันสกฤตเป็น kushta ภาษาฮินดีรวมทั้งเบงกาลีเป็น kut ภาษาทมิฬเป็น kostum หรือ goshtam หนังสือเรียนยาไทยเรียกเครื่องยาประเภทนี้ว่า โกษฐ์กระดูก (costus) ก็เลยได้ข้อสรุปในในขั้นแรกว่าคำ โกษฐ์ นี้คงจะมาจากภาษาอิหร่าน รวมทั้งคำนี้สื่อความหมายยังไง
ความหมายของคำ โกษฐ์
เมื่อคำ โกษฐ์ เป็นคำในภาษาอิหร่าน จึงจำเป็นต้องค้นหาความหมายของคำในภาษาอิหร่าน โดยเฉพาะคำในภาษาดังกล่าวข้างต้นที่ใช้กับยาบำบัดโรคในคู่มืออูนานิ (Unani) แพทย์โอนามิภายหลังที่ได้พยายามค้นหาความหมายของคำนี้มาเป็นระยะเวลานานหลายสิบปี เมื่อไม่นานนี้เองก็เลยได้เจอคำนี้ในหนังสือเก่าชื่อ ตำรายาแห่งการแพทย์ตะวันออกของหมูแฮมดาร์ด (Hamdard Pharmacopoeia of Eastern Medicine) เรียบเรียงข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาทางเภสัชศาสตร์ที่แฮมดาร์ด (The Pharmaceutical Advisory Council of Hamdard) มีนาย ฮะกิม อับดุล ฮาเมด (Hakim Abdul Hamed) เป็นประธาน และนายฮากิม โมฮัมเมด ซาอิด (Hakim Mohammed Said) เป็นบรรณาธิการ (หนังสือมิได้เจาะจงปีที่พิมพ์รวมทั้งสำนักพิมพ์) ในหนังสือเรียนดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ๒๒๒ มียาหมวดหนึ่งเรียก kushta เขียนไว้ดังต่อไปนี้
kushta is the past participle of kushtan (Persian for to kill) kushta therefore means killed or conquered In the Tibbi terminology kushta is employed for a medicine that used in small quantities and one that is immediately effective A kushta is a blend of metallic oxides , non-metals and their compounds, or minerals The ingredients are oxidized through the action of heat-a process that is rather specialized.The preparation of kushta results in the efficacy of a medicine and, after effecting its entry into the body the kushta discharges its curative role promptly and effectively.
จึงสรุปได้ว่า คำนี้เป็นคำในภาษาเปอร์เซีย มีความหมายว่า ฆ่า ปราบ กำจัด ทําให้หายไป เปรียบเทียบเสียงเป็น kushta และควรเทียบเป็นภาษาไทยว่า โกษฐ์ จึงจะตรงกับคำในภาษาเดิมเยอะที่สุด แล้วก็ให้คำจำกัดความที่ไม่บางทีอาจเป็นอย่างอื่นได้ คำ โกษฐ์ นี้อาจเข้ามาสู่อาณาจักรสยามพร้อมๆกับวัฒนธรรมอื่นๆของอิหร่าน และการแพทย์โบราณแห่งประเทศไทยคงยืมคำนี้มาใช้เรียกเครื่องยาหลากหลายประเภท ซึ่งแม้จะใช้เพลงจำนวนนิดหน่อย แต่ก็ทรงประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการบำบัดรักษาโรคในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
โกษฐ์ที่ใช้ในยาไทย
หมอแผนไทยรู้จักในเครื่องยาจีนแล้วก็เครื่องยาเทศหลายอย่างในยาไทย การแสดงให้เห็นความคิดอันเฉียบแหลมหลักแหลมของบรรพบุรุษไทยที่รู้จักใช้ของดีๆของต่างชาติในยาไทย เครื่องยากลุ่มนี้หลายประเภทเรียก โกษฐ์ โดยจัดเป็นพิกัดตัวยาเป็น โกษฐ์ทั้ง ๕ โกษฐ์ ทั้ง ๗ โกษฐ์ ทั้ง ๙ รวมทั้งโกษฐ์พิเศษ นอกนั้นยังมีกดอีกหลายชนิดที่มิได้จะเข้าเอาไว้ในพิกัดตัวยาเรียกโกษฐ์นอกพิกัด
ตารางที่๒ เครื่องยาในพิกัดโกษฐ์
เครื่องยา                ชื่อพฤษศาสตร์ของที่มา สกุล             ส่วนของพืช
โกษฐ์เชียง              Angelica sinensis (Oliv.) Diels      Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์สอ Angelica dahurica (Fisch. Ex Hoffm.)
Benth. Hook.f. ex France&Sav.  Umbelliferae     รากแห้ง
โกษฐ์หัวบัว            Ligusticum sinense Oliv. cv. Chuanxiong                Umbelliferae     เหง้าแห้ง
โกษฐ์เขมา    Atractylodes lancea (Thunb.) DC.              Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์จุฬาลัมพา    Artemisia annua L.           Compositae        ใบแล้วก็เรือนยอดที่-มีดอก
โกษฐ์ก้านพร้าว     Picrorhiza kurrooa Royle ex Benh.            Scrophulariaceae             เหง้าแห้ง
โกษฐ์กระดูก          Saussurea lappa Clarke  Compositae        เหง้าแห้ง
โกษฐ์พุงปลา         Terminalia chebula Retz.               Combretaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อนและใบ
โกษฐ์ชฎามังษี       Nardistachys grandiflora DC.       Valerianaceae   รากแล้วก็เหง้าแห้ง
โกษฐ์กะเกลือก        Strychnos nux-vomica L.               Loganiaceae       เมล็ดแก่จัดเหง้าแห้ง
โกษฐ์กรักกรา        Pistacia chinensis Bunge spp. Integerrima (Stew. Ex Brandis) Rech.f.        Anacardiaceae  ปุ่มหูดที่กิ่งอ่อน
โกษฐ์น้ำเต้า           Rheum officinale Baill. หรือ R.palmatum L. หรือ R. tanguticum (Maxim.) Maxim. Ex Regel  Polyganaceae    รากแล้วก็เหง้าแห้ง
โกฐทั้ง  ๕ (ห้าโกษฐ์)  เป็นพิกัดเครื่องยาไทยอาทิเช่น โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา แล้วก็โกษฐ์จุฬาลัมพา แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่ายาพักนี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสลด แก้หืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก บำรุงกำลัง บำรุงเลือด และก็แก้ลมในกองธาตุ โกษฐ์ทั้งยัง ๕ นี้เป็นเครื่องยาจีนที่มีขายในประเทศไทยมาแต่ว่าโบราณ นอกจากยังเป็นเครื่องยาที่ใช้มากอีกทั้งในอดีตกาลและยาไทย
โกษฐ์   ๗ (สัตตโกษฐ์)  เป็นพิกัดตัวยา มีเรื่องยา ๗ ประเภท เป็นโกษฐ์ทั้ง (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เขมา และโกษฐ์จุฬาลัมพา ) โกษฐ์ก้านพร้าว และก็ โกษฐ์กระดูกอีก ๒ ประเภท ตำราเรียนโมสรรพคุณยาโบราณว่ายาเดี๋ยวนี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้ไข้ แก้ไข้เพื่อเสลด แก้โรคหืดไอ แก้โรคปอด แก้โรคในปาก บำรุงกำลัง บำรุงโลหิต แก้ลมในกองธาตุ แก้ไข้เรื้อรัง แก้หอบสะอึก และก็บำรุงกระดูก
โกษฐ์ทั้ง  ๙ (เนาวโกษฐ์)
เป็นพิกัดตัวยา มีโกษฐ์อีกทั้ง๗ (โกษฐ์เชียง โกษฐ์สอ โกษฐ์หัวบัว โกษฐ์เฉมา และก็โกษฐ์จุฬาลัมพา โกษฐ์ก้านพร้าว โกษฐ์กระดูก) กับ โกษฐ์ชฎามังษีและโกษฐ์พุง
โกษฐ์พิเศษ
มีเครื่องยา ๓ ชนิด เช่น โกษฐ์กะเกลือก โกษฐ์กักกรา แล้วก็โกษฐ์น้ำเต้า พิกัดโกษฐ์นี้มีคุณประโยชน์โดยรวมแก้โรคในปากในคอ ขับพยาธิ แก้พิษสัตว์กัดต่อย แก้ในกองอติสาร แก้ริดสีดวงทวาร ขับลมในไส้ แก้หนองใน ขับระดูร้าย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนวิชาเภสัชกรรมแผนไทยจำชื่อโกษฐ์ทั้งหมดทั้งปวงได้ มหากัน สิกขรชาติ ได้เขียนกลอนช่วยกันจำเกี่ยวกับโกษฐ์ชนิดต่างๆในพิกัดยาไทยเรียงตามลำดับดังนี้
เชียงสอขอหัวบัว เฉมาเลวทรามลักจุฬา
ก้านพร้าวเผากระดูก พุงปลาปลูกลงในชฎา
กะกลิ้งแล้วก็กรักกรา โกษฐ์น้ําเต้าตามเค้ามูล
โกษฐ์เชียง
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Angelica sinensis (Oliv.) Diels วงศ์ Umbelliferae คำว่า เชียง แปลได้หลายชนิด เช่น มีความหมายว่ามาจากเมือง หรือเมือง (ที่อยู่ริมน้ำ) ก็ได้ แม้กระนั้นในที่นี้มีความหมายว่า (มาจาก) ที่สูง มีชื่อพ้อง Angelica polymorpha Maxim. var. sinensis Oliv.จีนเรียกเครื่องยานี้ว่า ตังกุย มีชื่อสามัญว่า Chinese angelica พืชที่ให้โกษฐ์เชียงเป็นไม้ล้มลุกอายุนับเป็นเวลาหลายปีสูง ๔๐-๑๐๐ เซนติเมตร ร่างอวบหนา รูปทรงกระบอก แยกเป็นรากกิ้งก้านหลายราก มีกลิ่นหอมแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน สีเขียวอมม่วง ใบหยักลึกแบบขนสามชั้น รูปไข่ (ตามแนวเส้นรอบนอก) ขนาดกว้าง ๒๕ ซม. ยาว ๓๐ ซม. แฉกใบมีก้านเห็นได้ชัดเจน
รูปไข่ถึงรูปใบหอก แกมรูปไข่ กว้าง ๐.๘-๒.๕ เซนติเมตร ยาว ๒-๒.๓ ซม. ขอบหยักฟันเลื่อยแบบไม่บ่อยนัก มักแยกเป็นแฉกย่อย ๒-๓ แฉก แผ่นใบเรียบ (นอกจากรอบๆเส้นใบ) ก้านใบยาว ๕-๒๐ เซนติเมตร โคนแผ่นเป็นกาบแคบๆสีอมม่วง ดอกออกเป็นช่อซี่ร่ม ออกตามปลายกิ่งหรือออกข้างๆตามซอกใบ ก้านช่อยาว ๘-๑๐ เซนติเมตร ใบประดับมี ๐-๒ ใบ รูปแถบ มีช่อซี่ร่มย่อยขนาดแตกต่างกัน ๑๐-๓๐ ช่อ ใบแต่งแต้มย่อยมี ๒-๔ ใบ รูปแถบ ยาวได้ถึง ๕ มม. ช่อซี่ร่มมีดอกย่อยสีขาว (บางเวลาสีแดงอมม่วง) ๑๓-๓๕ ดอก กลีบเลี้ยงฝ่อ รูปไข่กลับ ปลายเว้าตื้น ฐานก้านเกสรเพศเมียกลมแบน ขอบแผลปีกยื่นออก ผลได้ผลแบบผักชี ด้านล่างแบนข้าง รูปขอบขนานแกมรูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง ๓-๔ มิลลิเมคร ยาว ๔-๖ มม. สันข้างล่างดกแคบ ด้านข้างมีปีกบาง กว้างราวความกว้างของผล มีท่อน้ำมัน ๑ ท่อต่อ ๑ ร่อง แต่มี ๒ ท่อตรงแนวเชื่อม พืชประเภทนี้มีเขตผู้กระทำระจายประเภทในป่าดงดิบ ตามภูเขาสูงทางภาคกลางของเมืองจีน คือบริเวณเขตกานซู หูเปย์ ซานซี ซื่อเชื้อเชิญ (เสฉวน) แล้วก็หยุยงนดกน (ยูนนาน) พบขึ้นในที่สูงจากระดับน้ำทะเล ๒๕๐๐-๓๐๐๐ เมตร มีดอกในมิถานายนถึงเดือนกรกฎาคม สำเร็จในก.ค.ถึงกันคุณยายน พืชจำพวกนี้ถูกพัฒนาสายพันธุ์เป็นพืชพืชปลูกไว้ในจีนมานานนับพันปีแล้ว ปัจจุบันนี้ปลูกเป็นพืชอาสินในประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี รวมทั้งเวียดนาม
โกษฐ์เชียงเป็นรากแห้ง รูปแบบทรงกระบอก ปลายแยกเป็นแขนง ๓-๕ แขนง หรือมากยิ่งกว่า ยาว ๑๕-๒๕ เซนติเมตร เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเหลืองถึงสีน้ำตาล มีรอยย่นตามแนวยาว รอยช่องอากาศตามแนวขวาง ผิวไม่เรียบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑.๕-๔ เซนติเมตร มีแอนนูลัส ปลายมนแล้วก็กลม มีร่องรอยส่วนโคนต้นและจากใบสีม่วงหรือสีเขียวอมเหลือง รากแขนง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสูงสุด ๐.๓-๑ เซนติเมตร ตอนบนครึ้มตอนล่างเรียวเล็ก ส่วนใหญ่บิด มีแผลที่เกิดขึ้นจากรากฝอย เนื้อเหนียว รอยหักสีขาวหรือสีน้ำตาลอมเหลือง เปลือกรากครึ้ม มีร่องแลกเปลี่ยนจุดเป็นจำนวนมาก ส่วนเนื้อรากสีจางกว่า มีวงแคมเบียมสีน้ำตาลอมเหลือง มีกลิ่นหอมแรง รสหวาน ฉุน รวมทั้งขมน้อย
คนจีนนิยมใช้ โกษฐ์เชียง เป็นเครื่องยาในยาขนาดต่างๆเยอะแยะ ด้อยกว่าก็แม้กระนั้นชะเอม (licorice) แค่นั้น จีนใช้ขวดเชียงต่างกันคือ รากหลักที่จีนเรียก (ตัง) กุยเท้า (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ส่วนรากกิ่งก้านสาขาน้ำจีนเรียก (ตัง) กุยบ๊วย (สำเนียงแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยาขับประจำเดือน แพทย์แผนจีนใช้เครื่องยาชนิดนี้ในยาเกี่ยวกับโรคเฉพาะสตรี ดังเช่น ยาขับรอบเดือน ยาโรคตีขึ้น แก้ไข้บนกระดานไฟ เกี่ยวกับอาการเลือดออกทุกชนิด แก้หวัด แก้ท้องขึ้นท้องเฟ้อ ท้องอืด ตกมูกเลือด ขนาดที่ใช้เป็น ๓-๙ กรัม สตรีจีนนิยมใช้โกษฐ์เชียงเป็นยากระตุ้น ของลับ เพื่อปฏิบัติสามีก้าวหน้าและเมื่อมีให้มีลูกดก โกษฐ์เชียงที่ขายตามร้านขายยาเครื่องยาสมุนไพรมักเป็น(ตัง) กุยบ๊วย หนังสือเรียนสมบูรณ์ยาโบราณว่าโกษฐ์เชียงมีกลิ่นหอมสดชื่น รสหวานขม แก้ไข้ แก้สะอึก แก้เสียดแทงสองราวข้าง โกษฐ์นี้เป็นโกษฐ์ในพิกัดโกษฐ์ทั้ง ๕ โกษฐ์ทั้ง ๗ รวมทั้งโกษฐ์ทั้ง ๙ โกษฐ์เชียงน้ำมันระเหยง่ายอยู่ราวจำนวนร้อยละ ๐.๑-๐.๓ ในน้ำมันระเหยง่ายมีสารเชฟโรล (safrole) สารไอโซเซฟโรล (isosafrole) สารคาร์วาครอคอยล (carvacrol) ฯลฯ เว้นแต่น้ำมันระเหยง่ายแล้วยังมีสารอื่นๆอีกหลายประเภท ได้แก่ สาร ไลกัสติไลค์ (ligustilide) กรดเฟรูลิก (ferulic acid) กรด เอ็น-วาเลอโรฟีโนน-โอ-คาร์บอกสิลิก(n-valerophenone-O-carboxylic acid)
โกษฐ์สอ
เป็นรากแห้งของพืชอันมีชื่อวิชาพฤกษศาสตร์ว่า Angelica dahurica (Fisch ex Hoffm.) Benth & Hook.f. ex Franch , Sav. ในวงศ์ Umbelliferaeมีชื่อพ้องหลายชื่อ ดังเช่นว่า Callisace dahurica Franch & Sav., Angelica macrocarpa H.Wolff, Angelica porphyrocaulis Nakai &Kitag.,Angelica tschiliensis H.Wolff คำ สอ เป็นภาษาเขมรหมายความว่าขาว หนังสือเรียนโบราณลางเล่มเรียกเครื่องยานี้ว่า โกษฐ์สอจีน จีนเรียก ป๋ายจื่อ (สำเนียงแมนดาริน) เปะจี๋ (สำเนียงแต้จิ๋ว) มีชื่อสามัญว่า Dahurain angelica พืชที่ให้โกษฐ์สอเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง ๑.-๒.๕๐ เมตร รากอวบใหญ่ เนื้อแข็ง รูปกรวยยาว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๓-๕ ซม. อาจยาวได้ถึง ๓๐ เซนติเมตร หรือมากยิ่งกว่า บางทีอาจแยกกิ่งก้านสาขาตรงปลาย มีกลิ่นหอมหวนแรงเฉพาะ ลำต้นตั้งชัน อ้วนสั้น โคนต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒-๕ ซม. (หรือมากกว่า) มีสีม่วงแต้มเล็กน้อย ใบเป็นใบประกอบแบบขน หรือหยักลึกแบบขนนก ๓ ชั้น แผ่นใบรูปไข่ปนสามเหลี่ยม (ตามแนวเส้นรอบนอก) กว้างถึง ๔๐ เซนติเมตร ยาวถึง ๕๐ ซม. แฉกใบไม่มีก้าน รูปรีแคบถึงรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน กว้าง ๑-๔ เซนติเมตร ยาว ๔-๑๐ ซม. ปลายแหลม โคนเป็นครีบบางส่วน ขอบหยักฟันเลื่อยห่างๆก้านใบยาว โคนแผ่เป็นปีก ใบด้านบนรถรูปเหลือแค่กาบที่เกือบจะไม่มีแผ่นใบ ดอกเป็นดอกช่อซี่ร่มย่อยขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๐-๓๐ ซม. สีขาว ใบแต่งแต้มมี ๐-๒ ใบ คล้ายกาบ ป่องออกห่อช่อดอกเมื่อยังอ่อนอยู่ มีซี่ร่มย่อย ๑๘-๔๐ (หรือบางโอกาสถึง ๗๐) มีขนสั้นๆใบประดับประดาย่อยมี ๑๔- ๑๖ ใบ รูปใบหอกปนรูปแถบ ยาวเกือบจะเท่าดอกย่อย
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ