หัวข้อ: สัตววัตถุ จระเข้ เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ ธันวาคม 09, 2017, 06:42:49 pm (http://www.คลังสมุนไพร.com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89.jpg)
ไอ้เข้[/b] ตะไข้เป็นสัตว์คลานขนาดใหญ่ มีสามีหนังแข็งเป็นเกล็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายแล้วก็ใช้ฟาดต่างอาวุธ เหมือนปกติทำมาหากินในน้ำ จระเข้หรืออ้ายเข้ก็เรียก อีสานเรียกแข้ ปักษ์ใต้เรียกเข้ ในตำรายาโบราณมักเขียนเป็นจรเข้ เรียกใน๓ษาอังกฤษว่า crocodile ในทางสัตวานุกรมกฎนั้น ไอ้เข้ที่จัดอยู่ในตระกูลจระเข้ (Crocodylidae) มีทั้งปวง ๒๒ ประเภท แบ่งออกได้เป็น ๓ สกุลย่อย เป็น ๑. สกุลย่อยไอ้เข้ (Crocodylinae) มีทั้งผอง ๑๔ ประเภท แบ่งเป็น ๓ สกุล ตะไข้ที่พบในประเทศไทยมี ๒ สกุล คืสกุลจระเข้ (Crocodylus) มีทั้งหมด ๑๒ จำพวก เจอในประเทศไทยเพียงแต่ ๒ จำพวก และสกุงตะโขง (Tomistoma) มีเพียงแค่ ๑ ประเภท ๒.ตระกูลย่อยจระเข้จีน (Alligatoriane) มัทั้งผอง ๗ จำพวก แบ่งแยกเป็น ๔ สกุล ไม่พบในธรรมชาติในประเทศไทย Crocodile กับ Alligator ตะไข้ที่จัดอยู่ในตระกูลย่อย Crocodylinae มีชื่อสามัญว่า crocodile ส่วนที่อยู่ในวงศ์ย่อย Alligatoriane มีชื่อสามัญว่า alligator ลักษณะโดยปกติคล้ายคลึงกันแม้กระนั้นแตกต่างที่ alligator มีส่วนหัวกว้างกว่า ปลายปากกลมมนกว่า ฟันบนครอบฟันข้างล่าง ฟันข้างล่างซี่ที่ ๔ ทั้งสองข้างขยายโตกว่าฟันซี่อื่นๆ จะไม่เห็นฟันซี่นี้เมื่อปากปิด เพราะฟัน ๒ ซี่นี้สอดลงในรูที่ฟันข้างบน ส่วน crocodile มีส่วนหัวที่แหลมเรียวยาวกว่า ฟันบนรวมทั้งฟันด้านล่างเรียงตรงกัน ฟันซี่ที่ขยายใหญ่ขึ้นจะเฉออกมาภายนอก แลเห็นได้หากแม้เวลาปิดปาก ๓.สกุลย่อยตะโขงอินเดีย (Gavialinaae) ซึ่งมีเพียง ๑ สกุล และมีเพียงแค่ ๑ ชนิดแค่นั้น เป็นตะโขงอินเดียGavialis gangeticus (Gmelin) เจอตามแหล่งน้ำจืดชืดและแม่น้ำต่างๆทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย ประเทศปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ภูเขาฏาน และก็พม่า แต่ว่าไม่เจอในไทย สมุนไพร สมัยก่อนพบตะไข้อยู่ตามป่าริมน้ำ ลำห้วย ลำคลอง หนอง บ่อน้ำ เคยมีเป็นจำนวนมาก จึงมีการจับตะไข้มากินเป็นของกินและก็ใช้ส่วนต่างๆของไอ้เข้มาเป็นเครื่องยาสมุนไพร ปัจจุบันนี้เมื่อมีคนมากขึ้น ธรรมชาติรวมทั้งสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่จำเป็นต้องจริงเป็นการใช้พื้นที่ป่าเป็นหลักที่ดินในการเลี้ยงชีพรวมทั้งที่พักอาศัย และก็ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้ปริมาณจระเข้ในธรรมชาติลดน้อยลงมากจนเกือบจะสิ้นซากไปจากธรรมชาติ อาจเจอบ้างตามแหล่งน้ำในเขตสงวนบางที่ แต่ เป็นโชคดีที่หากว่าตะไข้จวนสิ้นพันธุ์ไปจากธรรมชาติในประเทศไทยแล้ว แม้กระนั้นนักธุรกิจของพวกเราก็บรรลุเป้าหมายสำหรับการเพาะพันธุ์ไอ้เข้ ทำให้มีปริมาณตะไข้มากขึ้นเรื่อยๆ แปลงเป็นสัตว์อาสินที่สำคัญของประเทศ เป็นสัตว์ที่ให้หนังสำหรับทำเครื่องหนังที่ตลาดอยาก แล้วก็ให้เครื่องยาสมุนไพรโดยที่ไม่เป็นการทำลายสัตว์ชนิดนี้ในธรรมชาติ สร้างขึ้นจากไอ้เข้ที่เพราะพันธุ์ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อจระเข้ ดีไอ้เข้ หรือหนังจระเข้ แปลงเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ ที่ยั่วยวนใจนักท่องเทียวทั้งๆที่เป็นคนไทยและเป็นคนต่างประเทศให้มาเยี่ยมชมปีละเยอะๆๆ จระเข้ในประเทศไทย ตะไข้ที่เจอในธรรมชาติในประเทศไทยจัดอยู่ในวงศื Crocodylidae มี ๒ สกุล รวม ๓ ชนิดหมายถึงสกุลตะไข้ (Crocodylus) มี ๒ ประเภท ยกตัวอย่างเช่น ไอ้เข้น้ำจืดหรือตะไข้บ่อน้ำ (Crocodylus siamensis Schneider) กับตะไข้น้ำเค็มหรือจระเข้อ้ายเคี่ยม (Crocodylus porosus Schneider) รวมทั้งสกุลตะโขง (Tomistoma ) มี ๑ ประเภท คือ ตะโขงหรือจระเข้ปากกระทุงเหว Tomistoma schleielii (S. Muller) สัตว์พวกนี้มีผัวหนังแข็งเป็นเกร็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงมากขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก เรียกก้อนขี้หมา หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายน้ำและใช้ฟาดต่างอาวุธ (เมื่ออยู่ในน้ำไอ้เข้จะฟาหางได้เมื่อขาข้างหลังถึงพื้นเท่านั้น) ๑.ตะไข้น้ำจืด มีชื่อวิทยาศาสตร์ Crocodylus siamensis Schneider เป็นตะไข้ขนาดปานกลาง ลำตัวอาจยาวได้ถึง ๓ เมตร มีลักษณะเด่นเป็นมีแถวเกร็ดนูนบนด้านหลังหอย และมีสันเตี้ยอยู่ระหว่างตา ๒ ข้าง จระเข้ชนิดนี้พบอาศัยอยู่ตามทะเลสาบน้ำจืด ตลอดจนในที่ราบ หนอง บ่อน้ำ และก็แม่น้ำ โดยยิ่งไปกว่านั้นบ่อน้ำที่แยกออกจากแม่น้ำ รวมทั้งลำธารที่ไหลเอื่อยๆที่มีฝั่งเป็นโคลน เคยพบได้มากที่บ่อน้ำบอระเพ็ด แม้กระนั้นปัจจุบันนี้แทบจะไม่เจอในแหล่งธรรมชาติเลย ตะไข้ชนิดนี้กินปลาเป็นอาหารหลัก โตสุดกำลังเมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี สืบพันธุ์ในตอนธ.ค.ถึงมีนาคม ตัวเมียตกไข่ในม.ย.และก็พ.ค. วางไข่ทีละ ๒๐-๔๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๖๗-๖๘ วัน ๒.ตะไข้น้ำเค็ม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crocodylus porosus Schneider เป็นตะไข้ขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาไอ้เข้ที่ยังมีเชื้อสายอยู่ในปัจจุบัน ลำตัวบางทีอาจยาวได้ถึง ๘ เมตร รอบๆกำดันไม่เจอแถวเกร็ดนูนตัวอย่างเช่นที่พบในทะเลน้ำจืด แล้วก็บริเวณหน้าผากมีสันซีดๆคู่หนึ่งซึ่งสอบเข้าหากัน เริ่มตั้งแต่ตาไปสินสุดที่ปุ่มจมูก (ก้อนขี้มา) เพศผู้โตสุดกำลังเมื่ออารุราว ๑๖ ปี ส่วนตัวเมียโตสุดกำลังเมื่ออายุราว ๑๐ ปี ตัวเมียวางไข่ทีละราวๆ ๕๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๘๐-๙๐ วัน ลักษณะที่แตกต่าง ไอ้เข้น้ำจืด ตะไข้น้ำเค็ม ๑.ลำตัว ป้อมสั้น ไม่สมส่วนนัก เรียวยาว ได้ส่วนสัดกว่า ๒.ท่อนหัว รูปสามเหลี่ยมมุมป้าน โหนกที่ข้างหลังตาสูง และเป็นสันมากกว่า สามเหลี่ยมมุมแหลม ปากยาวกว่า ๓.ลายบนตัว สีออกเทาดำ มีลายสีดำเป็นแถบ สีออกเหลืองอ่อน มีลายเป็นจุดสีดำตลอดลำตัว ๔.รอบๆท้ายทอย มีเกล็ด ๔-๕ เกล็ด มีมีเกล็ด ๕.ขาหลัง พังผืดเห็นไม่ชัด มีพังผืดเห็นได้ชัดเหมือนขาเป็ด ๓.ตะโขง หรือ ไอ้เข้ปากนกกระทุงเหว เป็นจระเข้ชนิดที่หายากที่สุดในประเทศไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tomistoma schlegeill (S. Muller) เป็นจระเข้ขนาดใหญ่ของไทย ลำตัวอาจยาวถึง ๕ เมตร ตัวสีน้ำตาลแดง มีลายสีน้ำตาลเข้ม ปากยาวเรียวเหมือนปากปลาเข็ม หางแบนใหญ่ ใช้ว่ายน้ำ ตะไข้ชนิดนี้พบเฉพาะทางภาคใต้ของไทย มักอาศัยอยู่ในแม่น้ำและก็หนองน้ำจืดที่มีรอบๆติดต่อกับแม่น้ำ บางทีอาจพบได้บริเวรป่าชายเลนหรือบริเวรน้ำกร่อย มีกล่าวว่าพบตะไข้ปากกระทุงเหวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เขตรักษาชนิดสัตว์ป่าเขาบรรทัด จังหวัดพัทลุง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าพลุโต๊ะแดง จังหวักนราธิวาส แม้กระนั้นเจอเพียงที่ละ ๑-๒ ตัว ไอ้เข้ชนิดนี้รับประทานปลาแล้วก็สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังหลากหลายประเภทเป็นอาหาร โตสุดกำลังเมื่ออายุราว ๔.๕-๖ ปี ตัวเมียออกไข่ทีละราว ๒๐-๖๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๗๕-๙๐ วัน รวมทั้งฟักเป็นตัวในช่วงฤดูฝน ๔.ตะไข้พันธุ์ผสม เป็นจระเข้ผสมรหว่างจระเข้น้ำจืดกับตะไข้น้ำทะเล คนประเทศไทยเป็นผู้สำเร็จในการผสมตะไข้ ๒ ชนิดนี้ เป็นครั้งแรกในโลกเมื่อกว่า ๒๐ ปีก่อน จระเข้พันทางมีรูปร่าง สีสัน เกล็ด แล้วก็นิสัยที่ดุร้ายราวกับไอ้เข้น้ำเค็ม แม้กระนั้นมีขนาดโตกว่า (เมื่อโตเต็มที่มีขนาดยาว ๕.๕ เมตร มีน้ำหนักตัวมากยิ่งกว่า ๑,๒๐๐ กิโล) จัดเป็นไอ้เข้พันธุ์ที่มีขนาดโตที่สุดในปนะเทศไทย ตะไข้พันธุ์ผสมเริ่มตกไข่เมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี ตกไข่ราวครั้งละ ๓๐-๔๐ ฟอง มากกว่าการวางไข่ของไอ้เข้น้ำทะเล ไข่มีขนาดเล็ก เปลือกไข่บาง อัตราฟักเป็นตัวได้ต่ำมากมาย เมื่ออายุ ๑๓-๒๐ ปีตกไข่ราวทีละ ๓๐ –๕๕ ฟอง ไข่ขนาดโตปานกลาง เปลือกไข่ดกกว่า อัตราฟักเป็นตัวได้สูง และก็เมื่ออายุ ๒๑ ปี ขึ้นไปออกไข่ครั้งละ ๓๕-๖๐ ฟอง เปลือกไข่หนามาก อัตราฟักเป็นตัวสูง (http://www.คลัง[b][i][b]สมุนไพร[/b][/i][/b].com/wp-content/uploads/2017/09/cf.png) ชีววิทยาของไอ้เข้ไทย นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าไอ้เข้กำเนิดและก็มีวิวัฒนาการบนโลกมาตั้งแต่ ๒๕๐ ล้านปีก่อน เดี๋ยวนี้มีตะไข้ในโลกนี้ราว ๒๒ ประเภท กระจายอยู่ตามแหลางน้ำต่างๆในเขตร้อนทั้งโลก โดยยิ่งไปกว่านั้นบริเวณที่มีอุณห๓ไม่เฉลี่ยระหว่าง ๒๑-๓๕ องศา ไอ้เข้เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ในช่วงฤดูร้อนหรือในกลางวันนั้น อาศัยกลบดานอยู่ในน้ำ ในฤดูหนาวจึงออกมาตากแดด เหมือนปกติชอบนอนบนริมฝั่งน้ำที่สงบเงียบ น้ำนิ่ง ลึกไม่เกิน ๑.๕๐ เมตร เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกไวต่อความเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยาหรือลักษณะอากาศ ดังเช่น ก่อนกำเนิดพายุฝนฟ้าคะนองหรือแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด ไอ้เข้จะส่งเสียงร้องออกมาจากลำคอเหมือนเสียงคำรามของสิงโต แล้วก็ตัวอื่นๆก็จะร้องรับตามกันต่อๆไป จระเข้ไทยแก่เฉลี่ยราว ๖๐-๗๐ ปี แต่โตสุดกำลังและก็สืบพันธุ์ละวางไข่ได้เมื่อแก่ราว ๑๐ ปีขึ้นไป เราสามารถแบ่งแยกตะไข้เพศผู้และก็ตะไข้ตัวเมียได้โดยการดูลักษณะด้านนอกเมื่อจระเข้มีอายุตั้งแต่ ๓ ปี ขึ้นไป ตะไข้เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่อมีอายุราว ๑๐ ปี โดยการผสมพันธุ์กันในน้ำแค่นั้น ฤดูผสมพันธุ์มักเป็นฤดูหนาว เป็นในราวเดือนธันวาคมถึงก.พ. เมื่อผสมพันธุ์กัน ตัวผู้จะเกาะหลังตัวเมียรวมทั้งตวัดข้างหลังหางรัดตัวภรรยา ใช้เวลาผสมพันธุ์กันราว ๑๐-๑๕ นาที ไอ้เข้ตัวเมียตั้งท้องราว ๑ เดือน และเริ่มตกไข่ในราวเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ไอ้เข้ตัวเมียจะเลือกทำเลที่เหมาะสม ปลอดภัย แล้วก็ใกล้แหล่งน้ำ แล้วปัดกวาดเอาใบไม้และก็หญ้ามาทำเป็นรังสูงราว ๔๐-๘๐ เซนติเมตร กว้างได้ตั้งแต่ ๑-๒๐ เมตร สำหรับออกไข่ แล้วหลังจากนั้นจึงขุดหลุมตรงกลางแล้วออกไข่ โดยใช้เวลาออกไข่ ๒๐-๓๐ นาที เมื่อวางไข่เสร็จจึงกลบให้แน่น ไข่จระเข้มีลักษณะโตกว่าไข่เป็ดบางส่วน แม้กระนั้นเล็กกว่าไข่ห่าน ตะไข้ตัวเมียวางไข่คราวละ ๓๕-๔๐ ฟอง ระยะฟักตัวของไข่ไอ้เข้แต่ละชนิดก็ไม่เท่ากัน เมื่อถึงกำหนดช่วงเวลาฟักไข่ ลูกจระเข้จะร้องออกจากไข่ เมื่อตัวหนึ่งร้องตัวอื่นๆก็ร้องรับต่อๆกันไป เมื่อแม่ไอ้เข้ได้ยินเสียงลูกร้อง ก็จะขุดค้นไปในรังจนกระทั่งไข่ ลูกตะไข้ใช้ปลายปากที่มีติ่งแหลมเจาะไข่ออกมา ตัวที่ไม่สามารถที่จะเจาะเปลือกไข่ได้ แม่ไอ้เข้จะคาบไข่ไว้ในปากและขบให้เปลือกแตกออก ลูกตะไข้ทารกมีขนยาว ราว ๒๕-๓0 เซนติเมตร มีน้ำหนักตัวราว ๒00-๓00 กรัม มีฟันแหลมและก็ใช้กัดได้แล้ว แล้วก็มีไข่แดงอยู่ในท้องสำหรับเป็นของกินได้อีกราว ๑0 วัน เมื่ออาหารหมดรวมทั้งตะไข้เริ่มหิว ก็จะหาอาหารกินเอง ไอ้เข้มีระบบระเบียบย่อยอาหารที่ดีเลิศ สามารถย่อยกระดูกสัตว์ต่างๆได้ ไอ้เข้เมื่อโตเต็มกำลังมีฟัน ๖๕ ซี่ ฟันล่าง ๓0 ซี่ เมื่อฟันหักไปก็มีฟันใหม่ผลิออกขึ้นมาแทนที่ในช่วงเวลาไม่นาน ฟันจระเข้เป็นกรวยทับกันเป็นชุดๆอยู่ข้างในเหงือก ๓ ชุด จระเข้มีลิ้นใกล้กับพื้นปาก เมื่อจระเข้อ้าปากจะมองเห็นเป็นจุดเล็กๆสีดำๆปรากฏอยู่ทั่วไปที่พื้นปากข้างล่าง รอบๆนั้นเป็นจุดที่จระเข้ใช้บอกไม่เหมือนกันของรสชาติอาหารที่กินเข้าไป ส่วนลึกในช่องปากมีลิ้นเปิดปิดเพื่อปกป้องน้ำเข้ากันเมื่อไอ้เข้อยู่ในน้ำ จมูกจระเข้อยู่ส่วนโค้งของปลายด้านบนของจะงอยปาก มีลักษณะเป็นปุ่มรูปวงกลม มีรูจมูก ๒ รู ปิดเปิดได้ เวลาดำน้ำจะปิดสนิทเพื่อป้องกันน้ำเข้าจมูก จระเข้หายใจรวมทั้งดมกลิ่นด้วยจมูก ในช่องปากมีกระเปาะเป็นโพรงอยู่ด้านใน ใช้สำหรับรับกลิ่น ไอ้เข้มี ๔ ขา แม้กระนั้นขาสั้น ดูไม่สมดุลกับลำตัว ขาหน้ามีนิ้วข้างละ ๕ นิ้ว ขาหลังมีนิ้วข้างละ ๔ นิ้ว จระเข้ไม่สามารถคลานไปไหนได้ไกลๆแต่ในระยะสั้นๆทำได้เร็วเท่าคนวิ่ง เมื่อจำเป็น ไอ้เข้สามารถคลานลงน้ำรวมทั้งว่ายได้ อย่างเงียบสนิท เวลาจับเหยื่อในน้ำ ตะไข้จะเคลื่อนเข้าหาเหยื่ออย่างช้าๆ เสมือนขอนไม้ลอยน้ำมา พอได้โอกาสและระยะทางพอสมควรก็จะพุ่งเข้าใส่เหยื่ออย่างรวดเร็ว พร้อมอ้าปากงับเหยื่อได้อย่างเที่ยงตรง เมื่องับเหยื่อไว้ได้แล้ว ก็จะบิดหมุนควงเหยื่อเหยื่อตายสนิทแล้วจึงค่อยรับประทาน ฟันไอ้เข้มีไว้สำหรับจับเหยื่อรวมทั้งฉีกเหยื่อเป็นชิ้นๆแล้วกลืนลงไป มิได้มีไว้สำหรับเคี้ยวของกิน จระเข้สามารถลอยน้ำได้โดยการสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วพยุงตัวให้ลอยน้ำได้โดยการใช้ขาพุ้ยน้ำและหางโบก แต่ว่าสำหรับเพื่อการพุ่งตัวแล้วก็ว่ายด้วยความรวดเร็วนั้น ตะไข้ใช้เพียงแค่หางอันมีพลังโบก ไปๆมาๆอย่างเร็วเพื่อให้ตัวพุ่งไปด้านหน้า จระเข้มีความรู้และความเข้าใจสำหรับเพื่อการเห็นที่ดีและก็ไวมากมาย สามารถมองภาพได้ ๑๘0 องศา ทั้งยังสามารถเห็นวัตถุที่มาจากเหนือหัวได้ สายตาของตะไข้มีความไวแล้วก็เร็วพอที่จะประสานกับนกที่บินผ่านไป จระเข้ยังลืมตาแล้วก็แลเห็นในน้ำได้ เมื่อตะไข้มุดน้ำจะมีม่านตาบางใสมาปิดตาเพื่อปกป้องการเคืองตา จระเข้ยังมีหูที่รับเสียงได้ดิบได้ดี หูตะไข้เป็นร่องอยู่ข้างนัยน์ตาจระเข้ ๒ ข้าง นอกจากนี้ตะไข้ยังรับรู้อันตรายที่จะมาถึงได้ด้วยผิวหนัง ที่สามารถรับความรู้สึกจากการสั่นสะเทือนของพื้นดินหรือท้องน้ำได้ ในธรรม
|