หัวข้อ: สัตววัตถุ ตะพาบน้ำ เริ่มหัวข้อโดย: watamon ที่ ธันวาคม 19, 2017, 08:54:54 am (http://www.คลัง[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%9A.jpg)
ตะพาบ[/b] ตะพาบ (mud turtle หรือ soft-shelled turtle) เป็นสัตว์คลานประเภทหนึ่งจัดอยู่ในวงศ์ Trionychidae มีลักษณะคล้ายเหมือนเต่าน้ำจืด แตกต่างตรงที่กระดองบน (carapace) และก็กระดองล่าง (pastron) ไม่มีกระดูกเป็นแผ่นใหญ่ๆแม้กระนั้นมีหนังห่อแทน มีนิ้วยาว ตีนด้านหน้ามีแผ่นพังผืดกว้าง ใช้สำหรับพุ้ยน้ำ มีเล็บเพียง ๒-๓เล็บ คอหดในกระดองได้มิด แต่ว่าสามารถยืดคอออกได้ยาวมากเมื่อจะงับเหยื่อหรือกัดศัตรู ตะพาบน้ำทุกชนิดเป็นสัตว์น้ำจืดชืด พบได้บ่อยอยู่ตามห้วย สระ หนอง แล้วก็ตาม แม่น้ำลำคลอง ตะพาบน้ำสามารถขุดรูเป็นโพรงสำหรับอาศัย แล้วก็ยืดคอขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ หรือยืดคอออกไปฮุบกุ้งปลาที่ว่ายน้ำผ่าน โดยที่ตัวไม่ต้องออกมาจากโพรงเมื่อน้ำในสระหนองแห้งลงในหน้าแล้ง ตะพาบน้ำจะทำโพรงอยู่ใต้ดินได้นาน จนกว่าฝนตกก็เลยออกมาจากโพรงและเริ่มหาสัตว์น้ำต่างๆกินเป็นของกิน ตะพาบกินกุ้งรวมทั้งปลาใหม่ๆรวมทั้งเนื้อสัตว์ที่เน่าเปื่อย สามารถว่ายน้ำไปหากินไกลๆสำหรับการใช้มือจับตะพาบน้ำนั้นจับได้เฉพาะตรงที่ขอบกระดองข้างหน้าของโคนขาหลัง แม้จับผิดตำแหน่งตะพาบน้ำซึ่งมีคอยาวจะยืดคอออกมาเหลียวกัดมือได้ ตะพาบน้ำในประเทศไทย ตะพาบน้ำที่เจอในประเทศไทยมีอย่างน้อง ๖ จำพวก คือ ๑.ตะพาบปกติ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amyda cartilaginea (Boddart) สมุนไพร จำพวกนี้กระดองบนออกจะแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม เมื่อโตสุดกำลังกระดองบนบางทีอาจยาวได้ถึง ๘๓ เซนติเมตร ขอบด้านหน้าของกระดองบนเป็นปุ่มขรุขระ ขอบกระดองด้านล่างไม่มีสีเด่น ปากค่อนข้างแหลม ที่หนังบนข้างหลังเป็นริ้วเล็กๆนูนขึ้นมาทั่วทั้งหลัง ตัวอ่อนมีสีเขียวขี้ม้าปนเทา บางตัวมีจุดเหลืองๆหรือจุดดำๆขอบเหลือง หัวมีจุดเหลืองๆเป็นจุดใหญ่ทางข้างๆ พอสมควรแก่ จุดเหลืองบนหลังมักหายไป จุดที่ศีรษะก็เลือนไป ที่ใต้ท้องของตัวผู้มีสีขาว แม้กระนั้นที่ใต้ท้องของตัวเมียเป็นสีเทา ตะพาบน้ำชนิดนี้มีมาก พบทั่วไปในแม่น้ำลำคลอง หนอง บ่อน้ำ ในภาคกลางของเมืองไทย อาจพบตามสายธารและห้วยที่เชิงเขา ยิ่งกว่านั้นยังเจอในภาคใต้ของประเทศพม่า ลาว เวียดนาม เขมร มาเลเซีย และก็ตามหมู่เกาะมลายู ๒.ตะพาบน้ำหัวทู่ หรือ ตะพาบน้ำหัวกบ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelochelys bibroni Owen จำพวกนี้กระดองบนค่อนข้างแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบข้างหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตสุดกำลังมีขนาดใหญ่ กระดองบนอาจยาวได้ถึง ๑๒๐ เซนติเมตร จมูกสั้น หัวค่อนข้างจะแบนและเล็กเมื่อเทียบกับลำตัว ความยาวของกะโหลกหัวใกล้เคียงกับความกว้าง ปากไม่แหลม ขาหน้าสั้น ตีนกว้าง กระดองข้างหลังมีสีเขียวขี้ม้าอมเทามีรูยุบเล็กๆทั่วๆไป มีจุดเหลืองๆกระจายอยู่ทั่วๆไป กระดองด้านล่างสีขาว ในประเทศไทยเจออยู่ตอนใต้ นอกจากนี้ยังเจอที่ประเทศ ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ แล้วก็ภาคใต้ของจีน ๓.ตะพาบน้ำหลังลายกะรัง หรือ ตะพาบน้ำม่านลาย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chitra chitra Gray จำพวกนี้กระดองบนค่อนข้างแบน ขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบข้างหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตเต็มที่มีขนาดใหญ่ กระดองบนบางทีอาจยาวได้ถึง ๑๒๒ ซม. เป็นประเภทที่มีตัวโตที่สุดของเมืองไทยและก็ของโลก จมูกสั้น หัวค่อนข้างจะแบนและก็เล็ก ความยาวของกะโหลกหัวเป็น ๒ เท่าของความกว้าง มีลวดลายบนหนังด้านบน เมื่อยังอายุยงน้อย กระดองบนมีสีเขียวอมเทา มีจุดลายดำเลอะเทอะๆพอเพียงแก่มากยิ่งขึ้น บริเวณคอและก็กระดองบนจะมีลวดลายสีเหลืองหรือสีน้ำตาลเหมือนหินกะรังแต่พอใช้แก่มาก ลายสีนี้กลับจางลงไปอีก เจอรอบๆที่ลุ่มแม่น้ำแม่กลองในประเทศไทยแถบที่ลุ่มอิระวดีในประเทศเมียนมาร์ ลุ่มแม่น้ำคงคาและแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดีย ๔.ตะพาบน้ำขี้เกียจมาก หรือ ตะพาบแก้มแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dogania subplana Geoffrey จำพวกนี้กระดองบนค่อนข้างแบน ยาว ขอบสองข้างค่อนข้างจะขนานกัน สีเขียวหม่นหมองปนน้ำตาล ไม่กลมอย่างตะพาบประเภทอื่นๆขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบด้านหน้าของกระดองบนเรียบเมื่อโตสุดกำลังกระดองบนยาวได้ถึง ๒๖ เซนติเมตร หัวค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ปากแหลม กระดองด้านล่างไม่มีจุดสีดำชัด ที่ข้างคอและก็แก้มมีสีแดงอ่อนๆเจอได้ตามแหล่งน้ำลำน้ำบนที่สูงทางภาคตะวันตกและภาคใต้ของเมืองไทยนอกจากนี้ยังบางทีอาจเจอในประเทศประเทศพม่ามาเลเซีย แล้วก็ประเทศฟิลิปปินส์ ๕.ตะพาบน้ำไต้หวัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelodiscus sinensis sinensis Wiegmann จำพวกนี้กระดองบนออกจะแบนขอบกระดองอ่อนนิ่ม ขอบด้านหน้าของกระดองบนเรียบ เมื่อโตสุดกำลังกระดองบนยาวได้ถึง ๒๕ ซม. กระดองบนมีสีเขียวขี้ม้าหรือสีน้ำตาล กระดองล่างมีจุดสีดำกระจ่าง รวมทั้งมีสีส้มในระยะก่อนวัยเจริญพันธุ์ ที่รอบตามีเส้นเล็กๆเป็นรัศมีเป็นตะพาบน้ำพันธุ์พื้นบ้านของจีน นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์อาสิน บางส่วนหลุดมาแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ๖.ตะพาบน้ำหับ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lissemys punctate scutata (Peters) เป็นตะพาบที่เจอใหม่และก็มีขนาดเล็กที่สุดของเมืองไทย เมื่อโตเต็มที่กระดองหลังบางทีอาจยาวได้ถึง ๑๖ ซม. กระดองข้างหลังโค้ง นูน สีเขียวหมองหรือสีน้ำตาล สามารถหับหรือปิดกระดองได้ทั้งผอง พบคราวแรกบริเวณชายแดนไทยพม่า แถบจังหวัดตาก เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง มีปริมาณน้อยรวมทั้งหายาก คุณประโยชน์ทางยา ตะพาบที่พบในยาไทยมักหมายความว่าตะพาบปกติ แพทย์แผนไทยใช้ดีตะพาบน้ำ เป็นเครื่องยา หนังสือเรียนยาคุณประโยชน์โบราณว่า ดีตะพาบมีรสขม คาวมีสรรพคุณแก้ไข้สันนิบาต แก้พิษกาฬ แก้โรคตา แล้วก็แก้ลมกองละเอียด (ลมหน้ามืด หน้ามืดตาลาย) ในแบบเรียนพระยาพระนารายณ์มียาขนานหนึ่งเข้า “ดีตะพาบน้ำ” เป็นเครื่องยาด้วยดังนี้น้ำมันภาลาธิไตล ให้เอารากหญ้าขัดหมอน รากขี้เหล็ก รากปะคำไก่ รากปะคำกระบือ รากเลี่ยน รากรักขาว รากลำโพงทั้ง ๒ รากชุมเห็ด รากฝักส้มป่อย ขมิ้นอ้อย ขิง ข่า ยาดังนี้ควรจะต้มให้ต้ม ควรจะตำให้ตำ เอาน้ำสิ่งละทนาน น้ำมันพรรณผักกาด น้ำมันพิมเสน น้ำมันละหุ่ง น้ำมันงา สิ่งละทนาน หุงให้คงแต่น้ำมัน แล้วจึงเอา ดีตะพาบ ดีงูงูเหลือม พริกหอม พริกหาง พริกล่อน ฝิ่น สิ่งละสลึง เทียนทั้ง ๕ สิ่งละบาท ๑ บดปรุงลงในน้ำมันไว้ ๓ วัน จึงทาแลนวดแก้พระเส้นอันทพฤกให้หย่อน แลฟกบวม เป็นขั้วเป็นหน่วยแข็งอยู่นั้นให้ละลายออกสม่ำเสมอแลฯ พระคู่มือปฐมจินดาร์ให้ยาแก้ซางเด็กขนานหนึ่งที่เขา “ดีตะพาบ” เป็นเครื่องยาด้วยดังต่อไปนี้ ขนานหนึ่ง ท่านให้เอากรามแรด ๑ กรามช้าง ๑ งาช้าง นอแรด[/b] ๑ เขี้ยวเสือ ๑ เขี้ยวตะไข้ ๑ เขี้ยวหมู ๑ กระดูกงูทับทาง ๑ โกฏทั้ง ๕ ขมิ้นอ้อย ๑ ไพล[/b] ๑ ดีตะพาบ ๑ ดีงูงูเหลือม ๑ พิมเสน[/b] ๑ รวมยา ๑๘ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ตำเป็นผงบดปั้นแท่งไว้ ละลายน้ำสุรา กินแก้ทรางทั้งผอง หาย
|