หัวข้อ: สัตววัตถุ จระเข้ เริ่มหัวข้อโดย: watamon ที่ ธันวาคม 20, 2017, 08:52:07 am (http://www.คลังสมุนไพร.com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89.jpg)
จระเข้[/b] ตะไข้เป็นสัตว์คลานขนาดใหญ่ มีสามีหนังแข็งเป็นเกล็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงมากขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายน้ำรวมทั้งใช้ฟาดต่างอาวุธ เหมือนเคยหาเลี้ยงชีพในน้ำ จระเข้หรืออ้ายเข้ก็เรียก อีสานเรียกแข้ ภาคใต้เรียกเข้ ในตำราเรียนยาโบราณมักเขียนเป็นจรเข้ เรียกใน๓ษาอังกฤษว่า crocodile ในทางสัตวานุกรมเกณฑ์นั้น จระเข้ที่จัดอยู่ในตระกูลจระเข้ (Crocodylidae) มีทั้งปวง ๒๒ ประเภท แบ่งออกได้เป็น ๓ ตระกูลย่อย เป็น ๑. ตระกูลย่อยไอ้เข้ (Crocodylinae) มีทั้งสิ้น ๑๔ ชนิด แยกเป็น ๓ สกุล ไอ้เข้ที่พบในประเทศไทยมี ๒ สกุล คืสกุลจระเข้ (Crocodylus) มีทั้งผอง ๑๒ จำพวก เจอในประเทศไทยเพียงแค่ ๒ จำพวก แล้วก็สกุงตะโขง (Tomistoma) มีเพียงแค่ ๑ ประเภท ๒.สกุลย่อยตะไข้จีน (Alligatoriane) มัทั้งหมดทั้งปวง ๗ จำพวก จัดแบ่งเป็น ๔ สกุล ไม่พบในธรรมชาติในประเทศไทย Crocodile กับ Alligator ไอ้เข้ที่จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Crocodylinae มีชื่อสามัญว่า crocodile ส่วนที่อยู่ในตระกูลย่อย Alligatoriane มีชื่อสามัญว่า alligator ลักษณะโดยปกติคล้ายกันแต่ว่าไม่เหมือนกันที่ alligator มีส่วนหัวกว้างกว่า ปลายปากกลมมนกว่า ฟันบนครอบฟันด้านล่าง ฟันล่างซี่ที่ ๔ ทั้งสองข้างขยายโตกว่าฟันซี่อื่นๆ จะไม่เห็นฟันซี่นี้เมื่อปากปิด เนื่องจากฟัน ๒ ซี่นี้สอดลงในรูที่ฟันข้างบน ส่วน crocodile มีส่วนหัวที่แหลมเรียวยาวกว่า ฟันบนและฟันล่างเรียงตรงกัน ฟันซี่ที่ขยายใหญ่ขึ้นจะเฉออกมาด้านนอก เห็นได้หากแม้เวลาปิดปาก ๓.ตระกูลย่อยตะโขงประเทศอินเดีย (Gavialinaae) ซึ่งมีเพียงแต่ ๑ สกุล และมีเพียงแค่ ๑ จำพวกเท่านั้น เป็นตะโขงอินเดียGavialis gangeticus (Gmelin) เจอตามแหล่งน้ำจืดชืดและก็แม่น้ำต่างๆทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ภูฏาน รวมทั้งเมียนมาร์ แต่ไม่พบในไทย สมุนไพร อดีตพบไอ้เข้อยู่ตามป่าริมแม่น้ำ ลำห้วย คลอง หนอง บ่อน้ำ เคยมีหลายชิ้น ก็เลยมีการจับไอ้เข้มากินเป็นอาหารรวมทั้งใช้ส่วนต่างๆของไอ้เข้มาเป็นเครื่องยาสมุนไพร ตอนนี้เมื่อมีคนเยอะขึ้น ธรรมชาติและก็สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ในขณะที่จำเป็นจริงได้แก่การใช้พื้นที่ป่าเป็นหลักที่ดินสำหรับทำมาหากินรวมทั้งที่อยู่ที่อาศัย แล้วก็ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้ปริมาณจระเข้ในธรรมชาติต่ำลงมากจนกระทั่งเกือบสิ้นซากไปจากธรรมชาติ อาจเจอบ้างตามแหล่งน้ำในเขตรักษาบางพื้นที่ อย่างไรก็แล้วแต่ เป็นโชคดีที่ถึงแม้ว่าตะไข้จวนสิ้นซากไปจากธรรมชาติในประเทศไทยแล้ว แต่ว่านักธุรกิจของพวกเราก็ประสบผลสำเร็จในการเพาะพันธุ์ตะไข้ ทำให้มีปริมาณตะไข้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แปลงเป็นสัตว์อาสินที่สำคัญของประเทศ เป็นสัตว์ที่ให้หนังสำหรับทำเครื่องหนังที่ตลาดอยากได้ แล้วก็ให้เครื่องยาสมุนไพรโดยที่ไม่เป็นการทำลายสัตว์ประเภทนี้ในธรรมชาติ ผลิตจากไอ้เข้ที่เพราะเหตุว่าจำพวกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อจระเข้ ดีจระเข้ หรือหนังตะไข้ แปลงเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ ที่ล่อใจนักท่องเทียวทั้งที่เป็นคนไทยและเป็นคนต่างชาติให้มาเยี่ยมชมปีละมากไม่น้อยเลยทีเดียวๆ ตะไข้ในประเทศไทย ไอ้เข้ที่เจอในธรรมชาติในประเทศไทยจัดอยู่ในวงศื Crocodylidae มี ๒ สกุล รวม ๓ จำพวก คือ สกุลตะไข้ (Crocodylus) มี ๒ ประเภท เป็นต้นว่า จระเข้น้ำจืดหรือจระเข้สระ (Crocodylus siamensis Schneider) กับจระเข้น้ำเค็มหรือจระเข้อ้ายเคี่ยม (Crocodylus porosus Schneider) รวมทั้งสกุลตะโขง (Tomistoma ) มี ๑ ประเภท คือ ตะโขงหรือไอ้เข้ปากกระทุงเหว Tomistoma schleielii (S. Muller) สัตว์พวกนี้มีผัวหนังแข็งเป็นเกร็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงมากขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก เรียกหัวขี้หมา หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายน้ำและก็ใช้ฟาดต่างอาวุธ (เมื่ออยู่ในน้ำไอ้เข้จะฟาหางได้เมื่อขาข้างหลังถึงพื้นเท่านั้น) ๑.จระเข้น้ำจืด มีชื่อวิทยาศาสตร์ Crocodylus siamensis Schneider เป็นตะไข้ขนาดปานกลาง ลำตัวอาจยาวได้ถึง ๓ เมตร มีลักษณะเด่นเป็นมีแถวเกร็ดนูนบนท้ายหอย รวมทั้งมีสันเตี้ยอยู่ระหว่างตา ๒ ข้าง ไอ้เข้จำพวกนี้พบอาศัยอยู่ตามทะเลสาบน้ำจืด ตลอดจนในที่ราบ หนอง บ่อน้ำ รวมทั้งแม่น้ำ โดยยิ่งไปกว่านั้นบ่อน้ำที่แยกออกมาจากแม่น้ำ และลำน้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อยที่มีฝั่งเป็นโคลน เคยพบได้ทั่วไปที่บึงบอระเพ็ด แต่ว่าปัจจุบันแทบจะไม่พบในแหล่งธรรมชาติเลย ไอ้เข้ชนิดนี้รับประทานปลาเป็นของกินหลัก โตเต็มกำลังเมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี สืบพันธุ์ในตอนเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม ตัวเมียตกไข่ในเดือนเมษายนและก็เดือนพฤษภาคม ออกไข่ทีละ ๒๐-๔๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๖๗-๖๘ วัน ๒.ไอ้เข้น้ำทะเล มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crocodylus porosus Schneider เป็นไอ้เข้ขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาไอ้เข้ที่ยังมีเชื้อสายอยู่ในตอนนี้ ลำตัวอาจยาวได้ถึง ๘ เมตร บริเวณท้ายทอยไม่เจอแถวเกร็ดนูนตัวอย่างเช่นที่พบในทะเลน้ำจืด รวมทั้งบริเวณหน้าผากมีสันจางๆคู่หนึ่งซึ่งสอบเข้าหากัน เริ่มตั้งแต่ตาไปสินสุดที่ปุ่มจมูก (ก้อนขี้มา) ตัวผู้โตเต็มที่เมื่ออารุราว ๑๖ ปี ส่วนตัวเมียโตเต็มกำลังเมื่ออายุราว ๑๐ ปี ตัวเมียวางไข่ครั้งละราวๆ ๕๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๘๐-๙๐ วัน ลักษณะที่แตกต่างกัน ไอ้เข้น้ำจืด ไอ้เข้น้ำเค็ม ๑.ลำตัว ป้อมสั้น ไม่ได้ส่วนนัก เรียวยาว สมส่วนกว่า ๒.ส่วนหัว รูปสามเหลี่ยมมุมป้าน โหนกที่ข้างหลังตาสูง และก็เป็นสันมากยิ่งกว่า รูปสามเหลี่ยมมุมแหลม ปากยาวกว่า ๓.ลายบนตัว สีออกเทาดำ มีลายสีดำเป็นแถบ สีออกเหลืองอ่อน มีลายเป็นจุดสีดำตลอดลำตัว ๔.บริเวณท้ายทอย มีเกล็ด ๔-๕ เกล็ด มีมีเกล็ด ๕.ขาข้างหลัง พังผืดมองเห็นไม่ชัด มีพังผืดเห็นได้ชัดราวกับขาเป็ด ๓.ตะโขง หรือ ตะไข้ปากกระทุงเหว เป็นจระเข้พันธุ์ที่หายากที่สุดในประเทศไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tomistoma schlegeill (S. Muller) เป็นตะไข้ขนาดใหญ่ของไทย ลำตัวอาจยาวถึง ๕ เมตร ตัวสีน้ำตาลปนแดง มีลายสีน้ำตาลเข้ม ปากยาวเรียวคล้ายปากปลาเข็ม หางแบนใหญ่ ใช้ว่าย จระเข้ประเภทนี้พบเฉพาะทางภาคใต้ของไทย มักอาศัยอยู่ในแม่น้ำรวมทั้งหนองจืดชืดที่มีรอบๆติดต่อกับแม่น้ำ บางทีอาจพบได้บริเวรป่าชายเลนหรือบริเวรน้ำกร่อย มีรายงานว่าพบตะไข้ปากกระทุงเหวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เขตรักษาชนิดสัตว์ป่าเขาบรรทัด จังหวัดพัทลุง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าพลุโต๊ะแดง จังหวักจังหวัดนราธิวาส แม้กระนั้นเจอเพียงที่ละ ๑-๒ ตัว ไอ้เข้จำพวกนี้รับประทานปลารวมทั้งสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังหลากหลายประเภทเป็นอาหาร โตเต็มที่เมื่ออายุราว ๔.๕-๖ ปี ตัวเมียตกไข่ครั้งละราว ๒๐-๖๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๗๕-๙๐ วัน รวมทั้งฟักเป็นตัวในฤดูฝน ๔.ไอ้เข้พันทาง เป็นจระเข้ผสมรหว่างไอ้เข้น้ำจืดกับไอ้เข้น้ำเค็ม ชาวไทยเป็นผู้สำเร็จสำหรับเพื่อการผสมจระเข้ ๒ จำพวกนี้ เป็นครั้งแรกในโลกเมื่อกว่า ๒๐ ปีกลาย จระเข้พันธุ์ผสมมีรูปร่าง สีสัน เกล็ด และก็นิสัยที่ดุร้ายเสมือนจระเข้น้ำเค็ม แต่ว่ามีขนาดโตกว่า (เมื่อโตเต็มกำลังมีขนาดยาว ๕.๕ เมตร มีน้ำหนักตัวมากยิ่งกว่า ๑,๒๐๐ กิโลกรัม) จัดเป็นจระเข้พันธุ์ที่มีขนาดโตที่สุดในปนะเทศไทย ตะไข้พันทางเริ่มออกไข่เมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี ตกไข่ราวทีละ ๓๐-๔๐ ฟอง มากกว่าการวางไข่ของจระเข้น้ำทะเล ไข่มีขนาดเล็ก เปลือกไข่บาง อัตราฟักเป็นตัวได้ต่ำมาก เมื่ออายุ ๑๓-๒๐ ปีวางไข่ราวทีละ ๓๐ –๕๕ ฟอง ไข่ขนาดโตปานกลาง เปลือกไข่หนากว่า อัตราฟักเป็นตัวได้สูง และก็เมื่ออายุ ๒๑ ปี ขึ้นไปตกไข่ทีละ ๓๕-๖๐ ฟอง เปลือกไข่หนามาก อัตราฟักเป็นตัวสูง (http://www.คลังสมุนไพร.com/wp-content/uploads/2017/09/cf.png) ชีววิทยาของจระเข้ไทย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าตะไข้เกิดและมีวิวัฒนาการบนโลกมาตั้งแต่ ๒๕๐ ล้านปีกลาย เดี๋ยวนี้มีจระเข้ในโลกนี้ราว ๒๒ จำพวก กระจัดกระจายอยู่ตามแหลางน้ำต่างๆในเขตร้อนทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะบริเวณที่มีอุณห๓มิเฉลี่ยระหว่าง ๒๑-๓๕ องศา ตะไข้เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ในช่วงฤดูร้อนหรือในกลางวันนั้น อาศัยกลบดานอยู่ในน้ำ ในฤดูหนาวจึงออกมาผึ่งแดด ตามปรกติชอบนอนบนริมฝั่งน้ำที่สงบเงียบ น้ำนิ่ง ลึกไม่เกิน ๑.๕๐ เมตร เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกไวต่อความเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยาหรือภูมิอากาศ อย่างเช่น ก่อนเกิดพายุฝนฟ้าร้องหรือแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด จระเข้จะแผดเสียงร้องออกจากลำคอเหมือนเสียงคำรามของสิงโต และก็ตัวอื่นๆก็จะร้องรับตามกันต่อๆไป จระเข้ไทยแก่เฉลี่ยราว ๖๐-๗๐ ปี แต่ว่าโตสุดกำลังแล้วก็สืบพันธุ์ละวางไข่ได้เมื่อมีอายุราว ๑๐ ปีขึ้นไป พวกเราสามารถแบ่งประเภทและชนิดตะไข้เพศผู้แล้วก็ตะไข้ตัวเมียได้โดยการดูลักษณะด้านนอกเมื่อไอ้เข้แก่ตั้งแต่ ๓ ปี ขึ้นไป จระเข้เริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อแก่ราว ๑๐ ปี โดยการผสมพันธุ์กันในน้ำแค่นั้น ฤดูสืบพันธุ์มักเป็นหน้าหนาว เป็นในราวเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ เมื่อสืบพันธุ์กัน เพศผู้จะเกาะข้างหลังตัวเมียแล้วก็ตวัดข้างหลังหางรัดตัวเมีย ใช้เวลาผสมพันธุ์กันราว ๑๐-๑๕ นาที จระเข้ตัวเมียตั้งครรภ์ราว ๑ เดือน รวมทั้งเริ่มตกไข่ในราวมีนาคมถึงพ.ค. ไอ้เข้ตัวเมียจะเลือกทำเลที่เหมาะสม ไม่เป็นอันตราย และใกล้แหล่งน้ำ แล้วปัดกวาดเอาใบไม้แล้วก็ต้นหญ้ามาทำเป็นรังสูงราว ๔๐-๘๐ ซม. กว้างได้ตั้งแต่ ๑-๒๐ เมตร สำหรับออกไข่ แล้วหลังจากนั้นก็เลยขุดหลุมตรงกลางแล้ววางไข่ โดยใช้เวลาออกไข่ ๒๐-๓๐ นาที เมื่อออกไข่เสร็จก็เลยกลบให้แน่น ไข่จระเข้มีลักษณะโตกว่าไข่เป็ดน้อย แต่ว่าเล็กกว่าไข่ห่าน จระเข้ตัวเมียตกไข่คราวละ ๓๕-๔๐ ฟอง ระยะฟักตัวของไข่จระเข้แต่ละประเภทก็ไม่เท่ากัน เมื่อครบกำหนดระยะเวลาฟัก ลูกตะไข้จะร้องออกมาจากไข่ เมื่อตัวหนึ่งร้องตัวอื่นๆก็ร้องรับต่อๆกันไป เมื่อแม่ตะไข้ได้ยินเสียงลูกร้อง ก็จะขุดคุ้ยไปในรังจนถึงไข่ ลูกตะไข้ใช้ปลายปากที่มีติ่งแหลมเจาะไข่ออกมา ตัวที่ไม่สามารถเจาะเปลือกไข่ได้ แม่ไอ้เข้จะคาบไข่เอาไว้ในปากและขบให้เปลือกแตกออก ลูกจระเข้แรกเกิดมีขนยาว ราว ๒๕-๓0 ซม. มีน้ำหนักตัวราว ๒00-๓00 กรัม มีฟันแหลมแล้วก็ใช้กัดได้แล้ว และมีไข่แดงอยู่ในท้องสำหรับเป็นของกินได้อีกราว ๑0 วัน เมื่ออาหารหมดรวมทั้งไอ้เข้เริ่มหิว ก็จะหาอาหารรับประทานเอง ตะไข้มีระบบย่อยอาหารที่ดีเลิศ สามารถย่อยกระดูกสัตว์ต่างๆได้ ไอ้เข้เมื่อโตเต็มกำลังมีฟัน ๖๕ ซี่ ฟันล่าง ๓0 ซี่ เมื่อฟันหักไปก็มีฟันใหม่แตกหน่อขึ้นมาแทนที่ในระยะเวลาไม่นาน ฟันจระเข้เป็นกรวยทับกันเป็นชุดๆอยู่ภายในเหงือก ๓ ชุด จระเข้มีลิ้นใกล้กับพื้นปาก เมื่อจระเข้อ้าปากจะเห็นเป็นจุดเล็กๆสีดำๆปรากฏอยู่ทั่วๆไปที่พื้นปากข้างล่าง รอบๆนั้นเป็นจุดที่ไอ้เข้ใช้บอกไม่เหมือนกันของรสชาติอาหารที่กินเข้าไป ส่วนลึกในโพรงปากมีลิ้นเปิดปิดเพื่อปกป้องน้ำเข้าคอเมื่อไอ้เข้อยู่ในน้ำ จมูกไอ้เข้อยู่ส่วนโค้งของปลายข้างบนของจะงอยปาก มีลักษณะเป็นปุ่มรูปวงกลม มีรูจมูก ๒ รู ปิดเปิดได้ เวลามุดน้ำจะปิดสนิทเพื่อคุ้มครองป้องกันน้ำเข้าจมูก ไอ้เข้หายใจแล้วก็ดมด้วยจมูก ในช่องปากมีกระเปาะเป็นโพรงอยู่ด้านใน ใช้สำหรับรับกลิ่น ตะไข้มี ๔ ขา แม้กระนั้นขาสั้น ดูไม่สมดุลกับลำตัว ขาหน้ามีนิ้วข้างละ ๕ นิ้ว ขาหลังมีนิ้วข้างละ ๔ นิ้ว ไอ้เข้ไม่สามารถคลานไปไหนได้ไกลๆแต่ในระยะสั้นๆทำได้เร็วเท่าคนวิ่ง เมื่อจำเป็น ไอ้เข้สามารถคลานลงน้ำรวมทั้งว่ายน้ำได้ อย่างเงียบกริบ เวลาจับเหยื่อในน้ำ จระเข้จะขับเคลื่อนเข้าหาเหยื่ออย่างช้าๆ ราวกับท่อนไม้ลอยน้ำมา เมื่อได้โอกาสและก็ระยะทางพอสมควรก็จะพุ่งเข้าใส่เหยื่ออย่างเร็ว พร้อมอ้าปากงับเหยื่อได้อย่างแม่นยำ เมื่องับเหยื่อไว้ได้แล้ว ก็จะบิดหมุนควงเหยื่อเหยื่อตายสนิทแล้วจึงค่อยรับประทาน ฟันไอ้เข้มีไว้สำหรับจับเหยื่อและฉีกเหยื่อเป็นชิ้นๆแล้วกลืนลงไป ไม่ได้มีไว้สำหรับบดของกิน ตะไข้สามารถลอยน้ำได้โดยการดมลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วพยุงตัวให้ลอยน้ำได้โดยการใช้ขาพุ้ยน้ำและหางโบก แต่ว่าสำหรับการพุ่งตัวแล้วก็ว่ายน้ำด้วยความรวดเร็วนั้น ไอ้เข้ใช้เพียงหางอันมีพลังโบก ไปๆมาๆอย่างรวดเร็วเพื่อให้ตัวพุ่งไปข้างหน้า ตะไข้มีความรู้ความสามารถในการแลเห็นที่ดีและไวมากมาย สามารถมองดูภาพได้ ๑๘0 องศา ทั้งสามารถมองเห็นวัตถุที่มาจากเหนือหัวได้ สายตาของจระเข้มีความไวและเร็วพอที่จะผสานกับนกที่บินผ่านไป ตะไข้ยังลืมตาและก็มองเห็นในน้ำได้ เมื่อจระเข้ดำน้ำจะมีม่านตาบางใสมาปิดตาเพื่อป้องกันการเคืองตา ไอ้เข้ยังมีหูที่รับเสียงเจริญ หูตะไข้เป็นร่องอยู่ข้างดวงตาจระเข้ ๒ ข้าง นอกนั้นจระเข้ยังรับทราบอันตรายที่จะมาถึงได้ด้วยผิวหนัง ที่สามารถรับความรู้สึกจากการสั่นกระเทือนของพื้นดินหรือท้องน้ำได้ ในธรรม
|