หัวข้อ: สัตววัตถุ จระเข้ เริ่มหัวข้อโดย: Jeatnarong9898 ที่ ธันวาคม 21, 2017, 03:31:43 pm (http://www.คลังสมุนไพร.com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89.jpg)
จระเข้[/b] ไอ้เข้เป็นสัตว์คลานขนาดใหญ่ มีผัวหนังแข็งเป็นเกล็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงมากขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายและใช้ฟาดต่างอาวุธ เหมือนปกติหากินในน้ำ จระเข้หรืออ้ายเข้ก็เรียก อีสานเรียกแข้ ภาคใต้เรียกเข้ ในแบบเรียนยาโบราณมักเขียนเป็นจรเข้ เรียกใน๓ษาอังกฤษว่า crocodile ในทางสัตวานุกรมระเบียบนั้น ไอ้เข้ที่จัดอยู่ในวงศ์ไอ้เข้ (Crocodylidae) มีทั้งหมดทั้งปวง ๒๒ ชนิด แบ่งออกได้เป็น ๓ วงศ์ย่อย เป็น ๑. ตระกูลย่อยตะไข้ (Crocodylinae) มีทั้งหมดทั้งปวง ๑๔ จำพวก แบ่งเป็น ๓ สกุล ตะไข้ที่เจอในประเทศไทยมี ๒ สกุล คืสกุลจระเข้ (Crocodylus) มีทั้งผอง ๑๒ จำพวก พบในประเทศไทยเพียง ๒ จำพวก รวมทั้งสกุงตะโขง (Tomistoma) มีเพียงแค่ ๑ ประเภท ๒.ตระกูลย่อยไอ้เข้จีน (Alligatoriane) มัทั้งปวง ๗ ชนิด แบ่งแยกเป็น ๔ สกุล ไม่พบในธรรมชาติในประเทศไทย Crocodile กับ Alligator ไอ้เข้ที่จัดอยู่ในตระกูลย่อย Crocodylinae มีชื่อสามัญว่า crocodile ส่วนที่อยู่ในวงศ์ย่อย Alligatoriane มีชื่อสามัญว่า alligator ลักษณะโดยธรรมดาคล้ายกันแต่ว่าแตกต่างกันที่ alligator มีส่วนหัวกว้างกว่า ปลายปากกลมมนกว่า ฟันบนครอบฟันล่าง ฟันข้างล่างซี่ที่ ๔ ทั้งสองข้างขยายโตกว่าฟันซี่อื่นๆ จะไม่เห็นฟันซี่นี้เมื่อปากปิด เพราะเหตุว่าฟัน ๒ ซี่นี้ใส่ลงในรูที่ฟันด้านบน ส่วน crocodile มีส่วนหัวที่แหลมเรียวยาวกว่า ฟันบนและก็ฟันข้างล่างเรียงตรงกัน ฟันซี่ที่ขยายใหญ่ขึ้นจะเฉออกมาข้างนอก เห็นได้ถึงแม้เวลาปิดปาก ๓.วงศ์ย่อยตะโขงอินเดีย (Gavialinaae) ซึ่งมีเพียงแต่ ๑ สกุล รวมทั้งมีเพียงแต่ ๑ จำพวกแค่นั้น เป็นตะโขงอินเดียGavialis gangeticus (Gmelin) เจอตามแหล่งน้ำจืดชืดแล้วก็แม่น้ำต่างๆทางภาคเหนือของอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ภูเขาฏาน และก็ประเทศพม่า แต่ไม่พบในไทย สมุนไพร สมัยก่อนเจอตะไข้อยู่ตามป่าริมน้ำ ลำห้วย ลำคลอง หนอง บึง เคยมีมากมาย ก็เลยมีการจับไอ้เข้มากินเป็นของกินและก็ใช้ส่วนต่างๆของตะไข้มาเป็นเครื่องยาสมุนไพร ปัจจุบันเมื่อมีคนมากขึ้น ธรรมชาติรวมทั้งสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ทั้งๆที่ต้องจริงเป็นการใช้พื้นที่ป่าเป็นพื้นที่ดินสำหรับทำกินและที่พักที่อาศัย และที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้ปริมาณไอ้เข้ในธรรมชาติลดลงมากกระทั่งแทบสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ คงจะพบบ้างตามแหล่งน้ำในเขตรักษาบางแห่ง อย่างไรก็แล้วแต่ เป็นโชคดีที่หากว่าตะไข้จวนสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติในประเทศไทยแล้ว แต่นักธุรกิจของพวกเราก็ประสบความสำเร็จสำหรับในการเพาะพันธุ์ไอ้เข้ ทำให้มีจำนวนจระเข้เยอะขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นสัตว์อาสินที่สำคัญของประเทศ เป็นสัตว์ที่ให้หนังสำหรับทำเครื่องหนังที่ตลาดต้องการ รวมทั้งให้เครื่องยาสมุนไพรโดยที่ไม่เป็นการทำลายสัตว์ประเภทนี้ในธรรมชาติ ผลิตขึ้นจากไอ้เข้ที่เพราะเหตุว่าพันธุ์ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อตะไข้ ดีตะไข้ หรือหนังไอ้เข้ แปลงเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ ที่ยั่วยวนใจนักท่องเทียวทั้งๆที่เป็นชาวไทยและก็เป็นชาวต่างประเทศให้มาเยี่ยมชมปีละจำนวนหลายชิ้นๆ ไอ้เข้ในประเทศไทย จระเข้ที่เจอในธรรมชาติในประเทศไทยจัดอยู่ในวงศื Crocodylidae มี ๒ สกุล รวม ๓ ประเภท คือ สกุลไอ้เข้ (Crocodylus) มี ๒ ประเภท ยกตัวอย่างเช่น ไอ้เข้น้ำจืดหรือจระเข้บึง (Crocodylus siamensis Schneider) กับจระเข้น้ำทะเลหรือไอ้เข้อ้ายเคี่ยม (Crocodylus porosus Schneider) และก็สกุลตะโขง (Tomistoma ) มี ๑ จำพวกหมายถึงตะโขงหรือจระเข้ปากนกกระทุงเหว Tomistoma schleielii (S. Muller) สัตว์พวกนี้มีผัวหนังแข็งเป็นเกร็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงมากขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก เรียกหัวขี้หมา หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายและก็ใช้ฟาดต่างอาวุธ (เมื่ออยู่ในน้ำจระเข้จะฟาหางได้เมื่อขาหลังจรดพื้นเท่านั้น) ๑.ตะไข้น้ำจืด มีชื่อวิทยาศาสตร์ Crocodylus siamensis Schneider เป็นจระเข้ขนาดปานกลาง ลำตัวอาจยาวได้ถึง ๓ เมตร มีลักษณะเด่นเป็นมีแถวเกร็ดนูนบนท้ายหอย และมีสันเตี้ยอยู่ระหว่างตาทั้งยัง ๒ ข้าง ตะไข้ชนิดนี้เจออาศัยอยู่ตามทะเลสาบน้ำจืด ตลอดจนในที่ราบ หนอง บ่อน้ำ และก็แม่น้ำ โดยเฉพาะสระที่แยกออกมาจากแม่น้ำ และลำน้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อยที่มีฝั่งเป็นโคลน เคยมักพบที่บ่อน้ำบอระเพ็ด แม้กระนั้นปัจจุบันเกือบจะไม่เจอในแหล่งธรรมชาติเลย ตะไข้จำพวกนี้กินปลาเป็นอาหารหลัก โตเต็มที่เมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี สืบพันธุ์ในช่วงธันวาคมถึงเดือนมีนาคม ตัวเมียวางไข่ในเดือนเมษายนแล้วก็พ.ค. ออกไข่ครั้งละ ๒๐-๔๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๖๗-๖๘ วัน ๒.ไอ้เข้น้ำเค็ม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crocodylus porosus Schneider เป็นจระเข้ขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาไอ้เข้ที่ยังมีเผ่าพันธุ์อยู่ในปัจจุบัน ลำตัวบางทีอาจยาวได้ถึง ๘ เมตร บริเวณท้ายทอยไม่เจอแถวเกร็ดนูนอาทิเช่นที่พบในสมุทรน้ำจืด แล้วก็บริเวณหน้าผากมีสันจางคู่หนึ่งซึ่งสอบเข้าหากัน เริ่มตั้งแต่ตาไปสินสุดที่ปุ่มจมูก (ก้อนขี้มา) เพศผู้โตสุดกำลังเมื่ออารุราว ๑๖ ปี ส่วนตัวเมียโตเต็มกำลังเมื่ออายุราว ๑๐ ปี ตัวเมียออกไข่ครั้งละประมาณ ๕๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๘๐-๙๐ วัน ลักษณะที่แตกต่างกัน จระเข้น้ำจืด จระเข้น้ำทะเล ๑.ลำตัว ป้อมสั้น ไม่สมส่วนนัก เรียวยาว สมส่วนกว่า ๒.ส่วนหัว สามเหลี่ยมมุมป้าน โหนกที่ข้างหลังตาสูง แล้วก็เป็นสันมากกว่า รูปสามเหลี่ยมมุมแหลม ปากยาวกว่า ๓.ลายบนตัว สีออกเทาดำ มีลายสีดำเป็นแถบ สีออกเหลืองอ่อน มีลายเป็นจุดสีดำตลอดลำตัว ๔.บริเวณท้ายทอย มีเกล็ด ๔-๕ เกล็ด มีมีเกล็ด ๕.ขาหลัง พังผืดมองเห็นไม่ชัดเจน มีพังผืดเห็นได้ชัดราวกับขาเป็ด ๓.ตะโขง หรือ จระเข้ปากนกกระทุงเหว เป็นไอ้เข้ประเภทที่หายากที่สุดในประเทศไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tomistoma schlegeill (S. Muller) เป็นจระเข้ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งของไทย ลำตัวอาจยาวถึง ๕ เมตร ตัวสีน้ำตาลแดง มีลายสีน้ำตาลเข้ม ปากยาวเรียวคล้ายปากปลาเข็ม หางแบนใหญ่ ใช้ว่าย จระเข้ชนิดนี้พบเฉพาะทางภาคใต้ของไทย มักอาศัยอยู่ในแม่น้ำรวมทั้งหนองจืดที่มีบริเวณติดต่อกับแม่น้ำ อาจเจอได้บริเวรป่าชายเลนหรือบริเวรน้ำกร่อย มีรายงานว่าพบไอ้เข้ปากกระทุงเหวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เขตรักษาจำพวกสัตว์ป่าเขาบรรทัด จังหวัดพัทลุง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดอกไม้ไฟโต๊ะแดง จังหวักนราธิวาส แต่ว่าพบเพียงแค่ที่ละ ๑-๒ ตัว ไอ้เข้ประเภทนี้รับประทานปลาและก็สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังหลายอย่างเป็นของกิน โตเต็มที่เมื่ออายุราว ๔.๕-๖ ปี ตัวเมียออกไข่ครั้งละราว ๒๐-๖๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๗๕-๙๐ วัน แล้วก็ฟักเป็นตัวในฤดูฝน ๔.ตะไข้ลูกผสม เป็นตะไข้ผสมรหว่างไอ้เข้น้ำจืดกับตะไข้น้ำทะเล ชาวไทยเป็นผู้สำเร็จสำหรับเพื่อการผสมไอ้เข้ ๒ ประเภทนี้ เป็นครั้งแรกในโลกเมื่อกว่า ๒๐ ปีก่อน ตะไข้พันธุ์ผสมมีรูปร่าง สีสัน เกล็ด รวมทั้งนิสัยที่ดุร้ายเสมือนตะไข้น้ำเค็ม แต่ว่ามีขนาดโตกว่า (เมื่อโตสุดกำลังมีขนาดยาว ๕.๕ เมตร มีน้ำหนักตัวมากยิ่งกว่า ๑,๒๐๐ กิโล) จัดเป็นจระเข้ชนิดที่มีขนาดโตที่สุดในปนะเทศไทย จระเข้พันทางเริ่มออกไข่เมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี ตกไข่ราวครั้งละ ๓๐-๔๐ ฟอง มากยิ่งกว่าการวางไข่ของไอ้เข้น้ำทะเล ไข่มีขนาดเล็ก เปลือกไข่บาง อัตราฟักเป็นตัวได้ต่ำมากมาย เมื่ออายุ ๑๓-๒๐ ปีวางไข่ราวครั้งละ ๓๐ –๕๕ ฟอง ไข่ขนาดโตปานกลาง เปลือกไข่ครึ้มกว่า อัตราฟักเป็นตัวได้สูง และเมื่ออายุ ๒๑ ปี ขึ้นไปตกไข่ทีละ ๓๕-๖๐ ฟอง เปลือกไข่หนามาก อัตราฟักเป็นตัวสูง (http://www.คลัง[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/cf.png) ชีววิทยาของไอ้เข้ไทย นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่าตะไข้เกิดและมีวิวัฒนาการบนโลกมาตั้งแต่ ๒๕๐ ล้านปีก่อน ปัจจุบันมีตะไข้ในโลกนี้ราว ๒๒ จำพวก กระจายอยู่ตามแหลางน้ำต่างๆในเขตร้อนทั่วทั้งโลก โดยยิ่งไปกว่านั้นบริเวณที่มีอุณห๓มิเฉลี่ยระหว่าง ๒๑-๓๕ องศา ตะไข้เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ในฤดูร้อนหรือในกลางวันนั้น อาศัยกลบดานอยู่ในน้ำ ในช่วงฤดูหนาวก็เลยออกมาผึ่งแดด เหมือนปกติถูกใจนอนบนริมฝั่งน้ำที่เงียบสงบ น้ำนิ่ง ลึกไม่เกิน ๑.๕๐ เมตร เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกไวต่อความเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยาหรือลักษณะอากาศ เป็นต้นว่า ก่อนเกิดพายุฝนฟ้าร้องหรือแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด ตะไข้จะส่งเสียงร้องออกจากคอเหมือนเสียงคำรามของสิงโต และก็ตัวอื่นๆก็จะร้องรับตามกันต่อๆไป ตะไข้ไทยแก่เฉลี่ยราว ๖๐-๗๐ ปี แต่โตสุดกำลังและผสมพันธุ์ละวางไข่ได้เมื่อแก่ราว ๑๐ ปีขึ้นไป พวกเราสามารถจำแนกแยกแยะไอ้เข้ตัวผู้แล้วก็ตะไข้ตัวเมียได้โดยการดูลักษณะภายนอกเมื่อไอ้เข้มีอายุตั้งแต่ ๓ ปี ขึ้นไป จระเข้เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่อแก่ราว ๑๐ ปี โดยการผสมพันธุ์กันในน้ำเพียงแค่นั้น ฤดูผสมพันธุ์มักเป็นหน้าหนาว เป็นในราวธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ เมื่อสืบพันธุ์กัน ตัวผู้จะเกาะหลังตัวเมียรวมทั้งตวัดข้างหลังหางรัดตัวภรรยา ใช้เวลาสืบพันธุ์กันราว ๑๐-๑๕ นาที จระเข้ตัวเมียมีท้องราว ๑ เดือน รวมทั้งเริ่มตกไข่ในราวมีนาคมถึงพ.ค. ไอ้เข้ตัวเมียจะเลือกทำเลที่ตั้งที่สมควร ไม่เป็นอันตราย แล้วก็ใกล้แหล่งน้ำ แล้วกวาดเอาใบไม้รวมทั้งต้นหญ้ามาทำเป็นรังสูงราว ๔๐-๘๐ เซนติเมตร กว้างได้ตั้งแต่ ๑-๒๐ เมตร สำหรับออกไข่ หลังจากนั้นจึงขุดหลุมกึ่งกลางแล้วตกไข่ โดยใช้เวลาวางไข่ ๒๐-๓๐ นาที เมื่อออกไข่เสร็จก็เลยกลบให้แน่น ไข่ตะไข้มีลักษณะโตกว่าไข่เป็ดบางส่วน แม้กระนั้นเล็กกว่าไข่ห่าน ตะไข้ตัวเมียออกไข่คราวละ ๓๕-๔๐ ฟอง ระยะฟักตัวของไข่ไอ้เข้แต่ละจำพวกก็แตกต่างกัน เมื่อถึงกำหนดระยะเวลาฟักไข่ ลูกไอ้เข้จะร้องออกมาจากไข่ เมื่อตัวหนึ่งร้องตัวอื่นๆก็ร้องรับต่อๆกันไป เมื่อแม่ตะไข้ได้ยินเสียงลูกร้อง ก็จะขุดคุ้ยไปในรังจนกระทั่งไข่ ลูกไอ้เข้ใช้ปลายปากที่มีติ่งแหลมเจาะไข่ออกมา ตัวที่ไม่สามารถเจาะเปลือกไข่ได้ แม่ตะไข้จะคาบไข่เอาไว้ภายในปากและขบให้เปลือกแตกออก ลูกไอ้เข้แรกเกิดมีขนยาว ราว ๒๕-๓0 เซนติเมตร มีน้ำหนักตัวราว ๒00-๓00 กรัม มีฟันแหลมและก็ใช้กัดได้แล้ว รวมทั้งมีไข่แดงอยู่ในท้องสำหรับเป็นของกินได้อีกราว ๑0 วัน เมื่อของกินหมดและก็จระเข้เริ่มหิว ก็จะหาอาหารกินเอง ไอ้เข้มีระบบย่อยอาหารที่ดีเลิศ สามารถย่อยกระดูกสัตว์ต่างๆได้ จระเข้เมื่อโตเต็มกำลังมีฟัน ๖๕ ซี่ ฟันด้านล่าง ๓0 ซี่ เมื่อฟันหักไปก็มีฟันใหม่ผลิออกขึ้นมาแทนที่ในช่วงเวลาไม่นาน ฟันไอ้เข้เป็นกรวยซ้อนกันเป็นชุดๆอยู่ด้านในเหงือก ๓ ชุด ไอ้เข้มีลิ้นติดกับพื้นปาก เมื่อตะไข้อ้าปากจะมองเห็นเป็นจุดเล็กๆสีดำๆปรากฏอยู่ทั่วไปที่พื้นปากข้างล่าง บริเวณนั้นเป็นจุดที่จระเข้ใช้บอกไม่เหมือนกันของรสชาติของกินที่รับประทานเข้าไป ส่วนลึกในโพรงปากมีลิ้นเปิดปิดเพื่อคุ้มครองป้องกันน้ำเข้าคอเมื่อไอ้เข้อยู่ในน้ำ จมูกจระเข้อยู่ส่วนโค้งของปลายข้างบนของจะงอยปาก มีลักษณะเป็นปุ่มรูปวงกลม มีรูจมูก ๒ รู ปิดเปิดได้ เวลามุดน้ำจะปิดสนิทเพื่อปกป้องน้ำเข้าจมูก ไอ้เข้หายใจรวมทั้งดมด้วยจมูก ในโพรงปากมีกระเปาะเป็นโพรงอยู่ด้านใน ใช้สำหรับรับกลิ่น ตะไข้มี ๔ ขา แม้กระนั้นขาสั้น มองไม่สมดุลกับลำตัว ขาหน้ามีนิ้วข้างละ ๕ นิ้ว ขาข้างหลังมีนิ้วข้างละ ๔ นิ้ว ไอ้เข้ไม่อาจจะคลานไปไหนได้ไกลๆแต่ว่าในระยะสั้นๆทำได้เร็วเท่าคนวิ่ง เมื่อจำเป็นจะต้อง ไอ้เข้สามารถคลานลงน้ำรวมทั้งว่ายได้ อย่างเงียบสนิท เวลาจับเหยื่อในน้ำ ตะไข้จะเคลื่อนตัวเข้าพบเหยื่ออย่างช้าๆ เสมือนท่อนไม้ลอยน้ำมา พอสบโอกาสรวมทั้งระยะทางพอเหมาะก็จะพุ่งเข้าใส่เหยื่ออย่างรวดเร็ว พร้อมอ้าปากงับเหยื่อได้อย่างแม่นยำ เมื่องับเหยื่อไว้ได้แล้ว ก็จะบิดหมุนควงเหยื่อเหยื่อตายสนิทแล้วจึงค่อยรับประทาน ฟันตะไข้มีไว้สำหรับจับเหยื่อรวมทั้งฉีกเหยื่อเป็นชิ้นๆแล้วกลืนลงไป ไม่ได้มีไว้สำหรับบดของกิน จระเข้สามารถลอยน้ำได้โดยการสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วประคองตัวให้ลอยน้ำได้โดยการใช้ขาพุ้ยน้ำรวมทั้งหางโบก แต่ว่าสำหรับในการพุ่งตัวแล้วก็ว่ายด้วยความรวดเร็วนั้น ไอ้เข้ใช้เพียงแค่หางอันมีพลังโบก ไปๆมาๆอย่างเร็วเพื่อให้ตัวพุ่งไปข้างหน้า จระเข้มีความรู้ความสามารถสำหรับการเห็นที่ดีและไวมากมาย สามารถมองดูภาพได้ ๑๘0 องศา ทั้งยังสามารถแลเห็นวัตถุที่มาจากเหนือหัวได้ สายตาของจระเข้มีความไวแล้วก็เร็วพอที่จะประสานกับนกที่บินผ่านไป จระเข้ยังลืมตาและก็แลเห็นในน้ำได้ เมื่อจระเข้มุดน้ำจะมีม่านตาบางใสมาปิดตาเพื่อคุ้มครองป้องกันการเคืองตา ตะไข้ยังมีหูที่รับเสียงก้าวหน้า หูจระเข้เป็นร่องอยู่ข้างดวงตาจระเข้ ๒ ข้าง นอกเหนือจากนั้นตะไข้ยังรับรู้อันตรายที่จะมาถึงได้ด้วยผิวหนัง ซึ่งสามารถรับความรู้สึกจากการสั่นสั่นสะเทือนของพื้นดินหรือท้องน้ำได้ ในธรรม Tags : สมุนไพร
|