หัวข้อ: สัตววัตถุ งูเห่า เริ่มหัวข้อโดย: ittipan1989 ที่ ธันวาคม 22, 2017, 10:27:11 am (http://www.คลังสมุนไพร.com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%87%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%B2.jpg)
งูเห่า[/b] งูเห่าเป็นงูมีพิษขนาดปานกลางถึงขนาดใหญ่ มีชื่อวิทยาศาสตร์ Naja naja kaouthia Lesson มีชื่อสามัญว่า Thai cobra หรือ common cobra หรือ Siamwse cobra จัดอยู่ในวงศ์ Elapidae งูเห่าหม้อ หรือ งูเห่าไทยก็เรียก งูเห่าไทยที่โตเต็มที่มีความยาวราว ๑๓๐ ซม. วัดขนาดผ่านศูนย์กลางของลำตัวราว ๕ ซม. มีลวดลายสีสันผิดแผกแตกต่างออกไปในแต่ละตัว สีที่พบบ่อยคือสีเทนดำ นอกนั้นอาจมีสีน้ำตาลเข้ม เขียวหมอง หรืออมเขียว มักมีสีเดียวกันตลอดทั้งลำตัว ลวดลายบนตัวมีความมากมายหลากหลายมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลวดลายที่คอหรือ “ดอกจัน”งูเห่าไทยที่พบได้มากมีดอกจันเป็นวงกลมวงเดียว ก็เลยมีชื่อเรียกในภาษษอังกฤษว่า monocellate cobra บางประเภทมีดอกจันวขี้งกลมตัดกัน ๒ วงคล้ายแว่นตา เรียกงูเห่าแว่น บางชนิดมีดอกจันรูโป้ปดอกส้านหรือตาลายอ้อย เรียกงูเห่าดอกส้าน บางชนิดมีลายดอกจันเป็นรูปอานม้า ก็เรียกงูเห่าอานม้า งูเห่าพ้นพิษ งูเห่าอีกกลุ่มหนึ่ง เรียกงูเห่าพ้นพิษ (spitting cobra) ที่เจอในประเทศไทยมี ๓ จำพวก ตัวอย่างเช่น ๑.งูเห่าด่างพ่นพิษ (black and white spitting cobra) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Naja naja siamensis Nutphand จำพวกย่อยนี้มีลักษณะเหมือนงูเห่าไทย แม้กระนั้นขนาดเล็กกว่า ลำตัวยาวราว ๘๐ เซนติเมตร ว่อง ปราดเปรี่ยว รวมทั้งดุกว่างูเห่าไทย พ่นพิษได้ไกลราว ๒ เมตร ลำตัวมีสีไม่แน่นอน สีด่างถึงขาว ดอกจันรูปตัวยู (U) ในภาษาอังกฤษ บางที่เรียก งูเห่าโรคเรื้อน พบบ่อยในภาคตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองไทย ได้แก่ที่จังหวัดกาญจนบุรี อ่างทอง สุพรรณ รวมทั้งตาก ยิ่งไปกว่านั้นยังบางทีอาจเจอทางภาคตะวันออกด้วย ดังเช่น เมืองจันท์ ชลบุรี งูที่พบรอบๆนี้มักไม่มีลายด่างขาว ๒.งูเห่าทองพ่นพิษ (going spitting cobra) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Naja naja sumatranus Var งูจำพวกย่อยนี้มีลำตัวยาวราว ๙๐ เซนติเมตร มีสีเหลืองปลอดหมดทั้งตัว บางตัวอาจมีสีเหลืองอมเขียว ไม่มีลายสีอื่นๆ ไม่มีดอกจันบนข้างหลังคอและท้องสีขาว ภาคใต้กล่าวได้ว่างูเห่าปลวก งูชนิดนี้มีน้ย เจอเฉพาะทางภาคใต้ของเมืองไทย ดังเช่นว่าที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี พัทลุง แล้วก็จังหวัดสตูล ๓.งูเห่าอีสานพ่นพิษ (isan spitting cobra) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Naja naja isanensis (Nutphand) งูชนิดย่อยนี้ลำตัวเล็กกว่าชนิดย่อยอื่นๆ ยาวราว ๖๐-๗๐ เซนติเมตร ดุ ว่อง ปราดเปรี่ยว พ่นพิษเก่งมากมาย มีสีเขียวอมเทา เขียวอมน้ำตาล หรือเขียวหม่นหมองทั้งตัว ไม่มีลายแจ่มชัด มักไม่มีดอกจัน แม้กระนั้นบางตัวอาจมีดอกจันรูปตัวยู(U) ในภาษาอังกฤษกระจ่างแจ้งกว่างูเห่าด่างพ่นพิษ พบบ่อยทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองไทย บางถิ่นเรียก งูเห่าเป่าตา งูเห่าอีกชนิดหนึ่ง พบได้บ่อยที่จังหวัดสุพรรณบุรี ประเภทนี้ลำตัวมีสีนวลและไม่มีดอกจัน เรียกงูเห่าสีนวล มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Naja kaouthia suphandensis (Nutphand) (http://www.คลัง[b][i]สมุนไพร[/i][/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%94-1.jpg) ประโยชน์ทางยา [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] แพทย์แผนไทยรู้จักใช้รอยเปื้อนงูเห่า กระดูกงูเห่า ดีงูเห่า และก็น้ำมันงูเห่า นอกจากนั้นแพทย์ตามชนบทยังคงใช้งูเห่าหมดทั้งตัวปิ้งไฟกระทั่งแห้งกรอบ ดองเหล้ากินแก้เมื่อย แก้ปวดหลัง แล้วก็แก้ผอมโซในสตรีหลังคลอดลูก รวมทั้งใช้หัวงูเห่าสุมไฟให้เป็นถ่าน ปรุงเป็นยาแก้ชาชักในเด็ก ลดน้ำหนัก ว่ามีรสเย็นและเมา ๑.รอยเปื้อนงูเห่า เป็นรอยเปื้อนที่งูเห่าลอกทิ้งเอาไว้ ในพระตำราปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่งที่เข้า “รอยเปื้อนงูเห่า” เป็นเครื่องยาด้วย ดังต่อไปนี้ ภาคหนึ่งยาใช้ภายนอกตัวกุมาร กันสรรพโรคทั้งสิ้น แลจะจับไข้อภิฆาฎดีแล้ว โอปักกะไม่กาพาธก็ดีแล้ว ท่าน ให้เอาใบมะชน คราบเปื้อนงูเห่า หอมแดง สาบแร้งสาบกา ขนเม่น ไพลดำ ไพลเหลือง บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำนมวัว ทาตัวกุมาร จ่ายความมัวหมองโทษทั้งปวงดีนัก ๒.กระดูกงูเห่า มีรสเมา ร้อน แก้พิษเลือดลม แก้จุกเสียด แก้ษนัย แก้เมื่อย แก้ชางตานขโมย รวมทั้งปรุงเป็นยาแก้แผลเนื้อร้ายต่างๆ ในพระคู่มือจินดาร์ให้ยาอีกขนานหนึ่งเข้า “กระดูกงูเห่า” เป็นเครื่องยาด้วย ดังต่อไปนี้ ยาทาท้องแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขนานนี้ท่านให้เอาใบหนาด ๑ ใบคนทีสอ[/b] ๑ ใบลูกประคำไก่ ๑ ใบผักเค็ด ๑ ใบผักเศษไม้ผี ๑ เม็ดในมะนาว ๑ เม็ดในสะบ้ามอญ ๑ มดยอบ ๑ กำยานผี ๑ ตรีกะฎุก ๑ สานส้ม ๑ ดินประสิวขาว ๑ บอแร็ก ๑ กระชาย ๑ กระทือ[/b] ๑ ไพล ๑ หอม ๑ กระเทียม[/b] ๑ ขมิ้นอ้อย[/b] ๑ กระดูกงูงูเหลือม ๑ กระดูกงูเห่า ๑ กระดูกห่าน ๑ กระดูกแกงเลียงหน้าผา ๑ มหาหิงคุ์ ๑ ยาดำ ๑ รงทอง ๑ รวมยา ๒๘ สิ่งนี้ ทำเปนจูณ บดทำแท่ง ละลายน้ำมะกรูดทาท้อง แก้ท้องรุ้งพุงมาร แก้มารกระไษยลม แก้ไส้พองเอาเท่าเทียม ท้องใหญ่ ท้องขึ้นท้องเฟ้อท้องเขียว อุจจาระปัสสาวะไม่ออก ลมทักขิณคุณ ลมประวาตคุณ หายสิ้น ๓.ดีงูเห่า มีรสขม ร้อน ผสมยาหยอดตาแก้ตาฝ้า ตาฝ้า ตาแฉะ ตาต้อ และบดเป็นกระสายยาช่วยให้ฤทธิ์ยาแล่นเร็ว ในพระตำราปฐมจินดาร์ ให้ยาขนานหนึ่งเข้า “ดีงูเห่า[/b]” เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้ ยาชื่ออินทรบรรจบคู่กัน ขนานนี้ท่านให้เอาชะมด[/b] ๑ พิมเสน [/b]๑ จันทน์ทั้งสอง๑ กฤษณา ๑ กระลำภัก ๑ ขอนดอก ๑ ว่านกลีบแรด ๑ ว่านร่อนทองคำ ๑ ผลมะขามป้อม ๑ ยาดำ ๑ มหาหิงคุ์ ๑ กระเทียม ๑ ดีงูงูเหลือม[/b] ๑ เอาสิ่งละ ๑ สลึง เทียนดำ ๑ เทียนขาว ๑ เทียนแดง ๑ เทียนเยาวภานี ๑ เทียนบัวหลวง ๑ ผลจันทน์ ๑ ดอกจันทน์[/b] ๑ กานพลู ๑ กระวาน ๑ เอาสิ่งละ ๒ สลึง รวมยา ๒๓ สิ่งนี้ ทำเปนจุณ แล้วจึงเอา ดีงูเห่า ๑ ดีจระเข้ ๑ ดีตะพาบ ๑ ดีปลาช่อน ๑ ดีปลาไหล ๑ เอาสิ่งละ ๑ สลึง แช่เอาน้ำเปนกระสาย บดปั้นแท่งไว้ ละลายน้ำดอกไม้กิน แก้หมดหนทาง หากไม่ฟัง ละลายเหล้ากินแก้สรรพตาลทรางทั้งปวง แลแก้ชักเท้ากำมือกำ หายดีนัก ๔.น้ำมันงูเห่า จัดเตรียมได้โดยการเอาเปลวมันในตัวงูเห่าใส่ขวด ผึ่งแดดจัดๆ จนเปลวมันละลาย ใส่เกลือไว้ตูดขวดเล็กน้อยเพื่อกันเหม็นเน่า ในแบบเรียนพระโอสถ พระนารายณ์มียาขี้ผึ้งขนานหนึ่งว่า “น้ำมันงูเห่า” เป็นเครื่องยาด้วย ดังต่อไปนี้ ขี้ผึ้งบี้พระเส้น ให้เอาชะมดอีกทั้ง ๒ ไพล พิมเสน โกฏเชียง กรุงเขมา ดีงูงูเหลือม จันทน์ทั้งยัง ๒ กฤษณา กระลำพัก สิ่งละเฟื้อง โกฏสอ โกฏเขมา โกฏจุลาลำภา โกฏกัตรา โกฏสิงคี โกฏหัวบัว มัชะกิยพระสรัสวดี กระวาน กานพลู ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ เทียนดำ เทียนขาว พริกหอม พริกหาง พริกล่อน ดีปลี ลูกกราย ฝิ่น ขี้ผึ้ง สิ่งละสลึง กะเทียม หอมแดง ขมิ้นอ้อย ๒ สลึง ทำเป็นจุณ ละลายน้ำมะนาว ๑๐ ใบ น้ำมันงาทนาน ๑ น้ำมันหมูหลิ่ง น้ำมันเสือ น้ำมันไอ้เข้ น้ำมันงูเห่า น้ำมันงูเหลือม พอเหมาะ หุงให้อาจจะแม้กระนั้นน้ำมัน จึงเอาชันรำโรง ชันห้อย ชันระนัง ใส่ลงพอควร กวนไปก็ดีก็เลยเอาทาแพรทาผ้าถวาย ทรงปิดไว้ ที่พระเส้นอันแข็งนั้นหย่อน Tags : สมุนไพร
|