หัวข้อ: สัตววัตถุ มดเเดง เริ่มหัวข้อโดย: ณเดช2499 ที่ ธันวาคม 23, 2017, 01:21:46 pm (http://www.คลัง[b][u][b]สมุนไพร[/b][/u][/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87.jpg)
มดแดง[/b] มดแดงเป็นมด มีสีแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Oecophyllasmaragdina(Fabricius) จัดอยู่ในตระกูล Formicidae ชีววิทยาของมด มดเป็นแมลงพวกหนึ่ง มีลักษณะที่สำคัญเป็น บริเวณส่วนท้องคอดกิ่วในช่วงเวลาที่ตืดกับอกทางข้างหลังของส่วนท้องข้อที่ ๑ หรือในมดบางชนิดศูนย์รวมไปถึงข้อที่ มดมีลักษณะเป็นโหนกสูงมากขึ้น โหนกนี้อาจโค้งมนหรือมีลักษณะเป็นแผนแบนก็ได้ ลักษณะโหนกนี้เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้มดไม่เหมือนกันกับกรุ๊ปแมลงที่ดูคล้ายคลึงกัน อย่างเช่น พวกต่อรวมทั้งแตน หรือไม่เหมือนกันกับปลวกที่คนทั่วไปมักงงกัน โดยมองเห็นมดกับปลวกเหมือนกันไปหมด เว้นเสียแต่ไม่เสมือนมดตรงที่ไม่มีโหนกแล้วปลวกยังมีส่วนท้องไม่คอดกิ่วอีกดัวย แบบนี้เพราะปล้องแรกๆของส่วนท้องของปลวกนั้น มีขนาดโตเท่าๆกับส่วนนอก หรือโตกว่าส่วนนอก มดอยู่รวมกันเป็นกรุ๊ปเดียวกับปลวก มีชีวิตแบบสังคม โดยการทำรังอยู่ดัวยกันรังหนึ่งๆเป็นร้อย เป็นพัน หรือ หลายหมื่น หลายแสนตัว ไม่มีจำพวกใดอยู่โดดเดี่ยว ประกอบดัวยวรรณะ แต่ละวรรณะมีขนาด รูปร่าง ลักษณะ แล้วก็เพศแตกต่างกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง มดตัวเมียเป็นแม่รัง ตัวผู้เป็นบิดารัง และมดงานอันเป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันปฏิบัติภารกิจสร้างรัง เลี้ยงรัง รวมทั้งเฝ้ารัง แต่ละวรรณะอาจมีรูปร่างลักษณะแตกต่างออกไปอีก เช่น มดงานซึ่งเป็นพวกที่ไม่มีปีกก็บางทีอาจปฏิบัติภารกิจทำรังและก็เลี้ยงรัง พวกนี้มีร่างกายขนาดปรกติ หัว อก แล้วก็ท้องได้สัดส่วนกัน แต่ว่าในเวลาเดียวกันอาจเจอมดงานซึ่งปฏิบัติภารกิจเฝ้ารัง มดเหล่านี้เว้นเสียแต่ตัวใหญ่กว่ามดงานปกติอย่างมากแล้ว ยังมีหัวโต ฟันกรามใหญ่ มิได้สัดส่วนกับลำตัวดัวย ในกลุ่มมดตัวผู้รวมทั้งมดตังเมียซึ่งเป็นพ่อรังแล้วก็แม่รังนั้น อาจเจอได้ทั้งหมดที่มีปีกและไม่มีปีก หรือมีลำตัวโตหรือเล็กขนาดใกล้เคียงกับมดงานก็มี อย่างไรก็แล้วแต่มดตัวเมียที่เป็นแม่รังนั้นมักมีขนาดโตกว่าตัวผู้รวมทั้งมดงาน บางทีอาจพิจารณามดตัวผู้ได้จากดางตาที่โตกว่ามดแม่รังรวมทั้งมดงานลูกรัง ซึ่งพวกข้างหลังนี้มักมีตาเล็ก กระทั่งบางโอกาสแทบไม่เห็นว่าเป็นตา ส่วนมดพ่อรังหรือมดแม่รังที่มีปีกนั้น ลักษณะของปีกแตกต่างจากพวกปลวกหรือแมลงเม่าอย่างเห็นได้ชัด พูดอีกนัยหนึ่ง ปีกคู่หน้าของมดโตกว่าปีกคู่ข้างหลังมาก รูปร่างของปีกคู่หน้ารวมทั้งปีกคู่ข้างหลังก็แตกต่าง และก็ที่สำคัญคือมีเส้นปีกน้อย ส่วนปลวกนั้น ปีกคู่หน้ากับปีกคู่หลังมีขนาดไล่เลี่ยกัน รวมทั้งรูปร่างของปีกก็คล้ายคลึงกัน เส้นปีกมีมากกว่าเส้นปีกของมดมาก เห็นเป็นลวดลายเต็มไปตลอดปี (http://www.คลังสมุนไพร.com/wp-content/uploads/2017/09/semut-rangrang.jpg) สมุนไพร ในปัจจุบันมีการราวกันว่า มดที่มีการแยกชื่อวิทยาศาสตร์ไว้แล้ว มีอยู่ไม่น้อยกว่า ๖,๐๐๐จำพวก ชาวไทยต่างเคยชินกับมดเป็นอย่างดี เนื่องจากว่ามีมดหลากหลายประเภทอาศัยตามบ้านเรือน หรือในบริเวณใกล้เคียงกัยบ้านเรือน การเรียกชื่อมดของชาวไทยอาจเรียกชื่อตามสีสันของมด โดยการเรียก “มด” นำหน้า ยกตัวอย่างเช่น มดแดง(OecophyllasmaragdinaFabrius) ด้วยเหตุว่ามีตัวสีแดง มดดำ (CataulacusgranulatusLatreillr, Hypocli-neathoracicus Smith) ซึ่งฟั่นเฟือนไปเป็นมด เป็นต้น มดบางชนิดเราเรียกชื่อตามอาการอันเป็นผลมาจากถูกมดนั้นกัด เป็นต้นว่า มดคัน (CamponotusmaculatusFabricius) ซึ่งเมื่อถูกกัดแล้วจะทำให้รู้สึกคันในบริเวณแผลที่กัด หรือผูกคันไฟ (Solenopsis geminate Fabricius, SolenopsisgeminataFabricius var. rufaJerdon) ซึ่งเมื่อถูกกัด เว้นแต่มีลักษณะอาการคันแล้ว ยังมีอาการแสบร้อนเหมือนถูกไฟลวก บางชนิดก็เรียกตามกิริยาอาการที่มดแสดงออก ดังเช่นว่า มดรีบร้อน (AnoploessislongipesJerdon) ซึ่งเป็นมดที่ชอบวิ่งเร็วและวิ่งพล่านไป เปรียบเหมือนวิ่งดัวยความตกใจ มดจำพวกนี้บางที่เรียกสั้นๆว่า มดตะลาน ที่สติไม่ดีเป็นมดตาลานก็มี หรือมดตูดงอล (CrematogasterdoheniiMaye) อันเป็นมดที่เวลาเดินหรือวิ่งมักชูท้องอืดท้องเฟ้อสูงตั้งฉากกับพื้น ทำให้มองเหมือนตูดงอล เป็นต้น มดบางชนิดเป็นมดที่ประชากรตามเขตแดนใช้บริโภค ก็เลยเรียกไปตามรสชาติดังเช่น ทางภาคเหนือ อันเป็นต้นว่า ชาวจังหวัดแพร่ น่าน จังหวัดลำพูน จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น นิยมใช้มดแดงซึ่งมีรสเปรี้ยวแทนน้ำส้ม ก็เรียกว่า มดส้มหรือมดมัน ซึ่งชาวบ้านบางถิ่นนิยมกินกันเนื่องจากมีรสชาติมันแล้วก็อร่อย จึงเรียกชื่อตามรสนั้น อย่างไรก็แล้วแต่ มีมดบางจำพวกที่ราษฎรมิได้รัชูชื่อโดยใข้คำ “มด” นำหน้าอาทิเช่น เศษไม้ดิน (Doeylusorientalis Westwood) ซึ่งเป็นมดที่ทำลายกัดรับประทานฝักถั่งลิสงที่ยังมิได้เก็บเกี่ยวอยู่ในดิน มดก็เหมือนกับแมลงชนิดอื่นที่อาจมีการรัชูชื่อบ้าไปตามท้องภิ่นได้แก่ แม่รังที่มีปีกของมดแดง (OecophyllasmsrhdineFabrius) คนชนบทในแคว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อันเป็นต้นว่า ชาวจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ จังหวัดนครพนม ร้อยเอ็ด จังหวัดอุบลราชธานีเรียกแม่เป้งในระหว่างที่คนภาคกบางมัดเรียกมดโม่ง ส่วนชาวจังหวัดภาคใต้ เช่น ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขา นครศรีธรรมราช ภูเก็ต เรียกว่าแม่เย้าหรือแม่เหยา มดมีวงจรชีวิตในลักษณะที่บิดารังแล้วก็แม่รังที่มีปีกจะบินอกกจากรังและสืบพันธุ์กันเมื่อถึงเวลาแล้ว มดตัวผู้มักตาย มดตัวเมียซึ่งตระเตรียมสร้างรังใหม่ก็จะหาที่พักอิงอันมิดชิด แล้วสลัดปีกทิ้ง รอจวบจนกระทั่งไข่แก่ก็จะว่างไข่ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวอ่อนแม่รังก็จะให้อาหารเลี้ยงลูกอ่อนตราบจนกระทั่งเข้าดักแด้ รวมทั้งอกกมาเป็นตัวโตสุดกำลังแปลงเป็นมดงานที่เลี้ยงดูแม่ต่อไป เมื่อมดงานปฏิบัติหน้าที่เลี้ยงรังได้แล้ว แม่รังก็ทำ หน้าที่ตกไข่เพียงอย่างเดียว การควบคุมวรรณะของรังอาจกระทำโดยการวางไข่ที่ไม่เหมือนกัน เป็นต้นว่า ขนาดแตกต่างกัน ไข่ขนาดเล็ฟกออกมาเป็นมดตัวเมียที่เป็นแม่รังและมดงาน ส่วนไข่ขนาดใหญ่เป็นมดเพศผู้หรือมดบิดารัง รูปแบบของวงจรชีวิตอย่างงี้ไม่เหมือนกับปลวก เพราะเหตุว่าปลวกนั้นเป็ฯแมลงเม่า ซึ่งประกอบดัสยพ่อแล้วก็แม่ปลวกที่มีปีกบินขึ้นผสมกันแล้ พ่อรังมักมีชืวิตอยู่แล้วก็ร่วมทำรักับแม่ปลวกซึ่งจัดเตรียมวางไข่ เมื่อไข่ฟักเป็นตัว ก็จะเป็นปลวกงานที่สามารถดำเนินการอุปการะบิดามารดาได้โดยไม่ต้องคอยให้โตเต็มที่ซะก่อน นิสัยคาวมเป็นอยู่ของมดก็มีลักษณะต่างๆกัน บางพวกสร้างรังอยู่บนต้อนไม้โยใช่ใบไม้ที่อาศัยมาห่อทำเป็นรวงรัง อย่างเช่นมดแดง หรือขนเศษพืชดินผสมน้ำลายสร้างรังใกล้กับไม้ที่อาศัย เช่นมดลี่หรือมดตูดงอล บางพวกทำรังในดินมีลักษณะเป็นช่องซับซ้อนคล้ายรังปวก เช่นมดมันหรือแมลงมัน รังของมดจึงมัลักษณะของวัสดุที่สร้าง ส่วนประกอบ แล้วก็รูปร่างแตกต่างกันไปล้นหลามให้มองเห็นได้เสมอ ชีวิวิทยาของมดแดง เมื่อมดแม่รังได้รับการผสมพันธุ์แล้ว เมื่อไข่แก่ก็จะวางไข่ ไข่มดแดงมีขนาดเล็กสีขาวขุ่น จะถูกวางเป็นกระจุกชิดกับใบไม้ข้างในรัง ไข่ที่ได้รับการผสมจะเจริญรุ่งเรืองไปเป็นมดงานแล้วก็มดแม่รังส่วนไข่ที่ไม่ได้รับผสมจะเจริญก้าวหน้าไปเป็นมดเพศผู้ เมื่อไข่เจริญก้าวหน้าขึ้นก็จะเข้าสู้ระยะตัวอ่อนในตอนนี้อาจรับประทานอาหารรวมทั้งขยับตัวได้นิดหน่อย หลังจากนั้นก็แปลงเป็นดักแด้ซึ่งมีลักษณะคล้ายตัวเต็มวัยทุกสิ่งทุกอย่าง ขารวมทั้งปีกเป็นอิสระจากลำตัว และก็หยุดกินอาหาร และก็จะลอกตราบออกมาเป็นตัวเต็มวัย และที่ขาวขุ่นก็จะเริ่มกลายเป็นสีอื่นตามวรรณะมดตัวโตเต็มวัย๓ วรรณะอาทิเช่น ๑. มดแม่รัง มีความยาว ๑๕-๑๘ มิลลิเมตร สีเขียวใสจนถึงสีน้ำตาลแดงหัวและก็อกสีน้ำตาลเหมือนมดงาน แต่หัวกว้างว่า ส่วนนอกสั้น อกบ้องแรกตรงอกบ้องที่ ๓ ทู่ ขาสั้นกว่ามดงาน ปีกกว้าง ข้อต่อหนวดสั้นกว่ากว่ามดงาน ส่วนท้องเป็นรูปไข่ เมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้ว จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าตัว ปฏิบัติภารกิจเพาะพันธุ์ รังหนึ่งบางทีอาจเจอมดแม่รังหลายตัว แม้กระนั้นจะมีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่จะสืบพันธุ์ได้ ๒. มดเพศผู้ มีความยาว ๖-๗ มม. ลำตัวสีดำ หัวเล็ก ฟันกรามแคบตาพอง หนวดเป็นแบบเส้นด้าย มี ๑๓ บ้อง ฐานหนวดยาว ปลายเส้นหนวดค่อยๆใหญ่ขึ้นเป็นรูปกระบอก อกปล้องที่ ๓ ใหญ่ ข้อต่อหนวดยาว ท้องรูปไข่ ปีกสีนวลใสมีบทบาทสืบพันธุ์พียงอปิ้งเดียว อายุสั้นมาก เมื่อผสมพันธุ์แล้วจะตาย ๓. มดงาน มีความยาว ๗-๑๑ มิลลิเมตร กว้าง ๑.๕– ๒ มิลลิเมตร สีแดงหัวและอกมีขนสั้นๆ หัวกลม ส่วนล่างแคบ ฟันกรามไขว้กัน ปลายแหลมโค้งตอนหน้าแคบ อกบ้องที่ ๒ กลม โค้งขึ้น อกปล้องที่ ๓ คอด คล้ายอาน ขายาวเรียว ข้อต่อหนวดรูปไข่ ส่วนท้องสั้น เป็นมดตัวเมียที่เป็นหมันไม่มีปีก มีบทบาทหาร สร้างรัง รวมทั้งปกป้องศัตรู ประโยชน์ทางยา ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาบาราที่ว่า น้ำเยี่ยวมดแดงสีรสเปรี้ยว ฉุน สูดกลิ่นแก้ลมแก้พิษเสมหะเลือด ราษฎรบางถิ่นใช้มดแดงทำลายพิษ โดยการเอารังมดแดงมาเคาะใส่รอบๆปากแผลที่ถูกงูที่มีพิษกัด ให้มดต่อยที่บริเวณนั้น ไม่นานมดแดงก็จะตาย ใช้มือเฉือนเอามดแดงเอาไป แล้วเคาะมดแดงลงไปใหม่ ทำซ้ำๆไปเรื่อยจชูว่ากำลังจะถึงมือแพทพ์ บางทีอาจต้องใช้มดแดงถึงกว่า ๑๐ รัง นอกเหนือจากนั้น ราษฎรบางถิ่นยังอาจใช้เยี่ยวมดแดงทำความสอาดบาดแผลได้โดยเฉพาะเมื่อกำเนิดบาดแผลขึ้น และไม่อยู่ในข้อตกลงที่จะชำระล้างรอยแผลหรือหายาใส่แผลได้ ยกตัวอย่างเช่น เมือ่อยู่ในป่าหรือในนา ก็บางทีอาจเอามดแดง ๕-๑๐ ตัว (ตามขนาดของรอยแผล) วางไว้รอบๆปากแผล ให้ปวดแสบปวดร้อนมากมาย พระคัมภีร์ธาตุวิภังค์ให้ยาแก้ “โรคฝีในท้อง ๗ ประการ” อันเกิดอาจ “หนองพิการหรือแตก” ซึ่งทำให้มีการเกิดอาการไอ ผอมแห้งแรงน้อย เบื่ออาหารยาขนานนี้เข้า “รังมดแดง” เป็นเครื่องยาด้วย ดังต่อไปนี้ ปุพ์โพ คือหนองพิการหรือแตก ให้ไอเป็นกำลัง ให้กายผอมโซหนัก ให้ทานอาหารไม่จักรส มักเป็นฝีในท้อง ๗ ประการ หากจะแก้ท่านให้เอารังมดแดง ๑ ตำลึง หัวหอม ๑ ตำลึง ๑ บาท ขมิ้นอ้อยยาว ๑ องคุลี ยาทั้ง ๗ สิ่งนี้ ต้ม ๓ เอา ๑ แทรก ดีเกลือตามธาตุหนักและธาตุเบาจ่ายบุพร้ายซะก่อน แล้วจึงประกอบยาประจำธาตุในเสลดก็ได้
|