|
หัวข้อ: สัตววัตถุ เเมงมุม เริ่มหัวข้อโดย: jeerapunsanook ที่ มกราคม 05, 2018, 11:20:08 pm (http://www.คลังสมุนไพร.com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1.jpg)
แมงมุม[/size][/b] แมงมุมเป็นชื่อเรียกสัตว์ประเภทแมงหลายอย่างในวงศ์ ทุกประเภทจัดอยู่ในชั้น Araneae มีชื่อสามัญว่า spider กินสัตว์เป็นอาหาร มีขนาดนาๆประการตามแต่ชนิด พวกที่หนขนาดเล็กอาจมีลำตัวยาวเพียง ๐.๗ ซม. ส่วนพวกที่มีขนาดใหญ่อาจมีลำตัวยาวถึง ๙ ซม. พวกที่เจอตามบ้านที่พักและก่อความเลอะเทอะรกมักเป็นแมงมุมที่อยู่สกุล Pholcus หลากหลายประเภท (วงศ์ pholcidae ) แมงกับแมลง ในทางกีฏวิทยา คำ “แมง” กับ “แมลง” สื่อความหมายต่างกัน แล้วก็มักเรียกงงงวยกัน คำ “แมง”ใช้เรียกชื่อสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังหลายอย่าง ซึ่งเมื่อเจริญวัยเต็มที่แล้ว ลำตัวแบ่งออกได้เป็น ๒ ส่วนเป็นส่วนหัวกับอกรวมเป็นส่วนเดียวกันส่วนหนึ่งส่วนใด กับส่วนท้องอีกส่วนหนึ่งส่วนใด มีขา ๘ หรือ ๑๐ ขา ไม่มีหนวด ไม่มีปีก ตัวอย่างเช่น แมงมุม แมงป่อง แมงดาทะเล ส่วนคำ “แมลง” ใช้เรียกชื่อสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังหลากหลายประเภท ซึ่งเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ลำตัวแบ่งออกได้เป็น ๓ ส่วนอย่างเห็นได้ชัดหมายถึงท่อนหัว ส่วนอก แล้วก็ส่วนท้อง มีขา ๖ ขา เป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังเพียงแต่พวกเดียวที่มีปีก อาจมีปีก ๑ หรือ ๒ คู่ หรือไม่มีปีกเลยก็ได้ เป็นสัตว์ที่มีมากชนิดที่สุดในโลก ตัวอย่างเช่น แมลงสาบ แมลงวัน ชีววิทยาของแมงมุม แมงมุมมีลำตัวแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนหัวกับส่วนอกชิดกันเป็นส่วนเดียวคลุมด้วยแผ่นแข็งทั้งยังข้างหลังและด้านล่าง มีตาเล็กๆข้างละหลายตา ลางจำพวกอาจมีได้ถึง ๘ ตา อยู่ใกล้ๆกัน (ยกเว้นแมงมุมลางจำพวกที่ไม่มีตา ซึ่งมักเป็นแมงมุมที่อาศัยอยู่ในที่มืด อย่างเช่นในถ้ำ) ที่ปากมีเขี้ยวเป็นอวัยวะคู่ มีรูปร่างเหมือนปากคีบหรือคีมคีบใช้คีบ จับ หรือยึดเหยื่อเป็นอาหารได้ มีบ้องฐานข้อเดียว ส่วนปลายอาจมีรูปล่อยพิษซึ่งเชื่อมต่อถึงต่อมพิษที่ฐานปาก นอกเหนือจากนี้ที่ปากยังมีอวัยวะคู่รูปทรงคล้ายขา แต่สั้นกว่าแล้วก็มักแบนกว่า (มักเจริญดีแล้วก็เห็นได้ชัดในเพศผู้ที่ยังไม่โตสุดกำลังแล้วก็ในตัวเมีย) แมงมุมไม่มีหนวด มีขา ๔ คู่ ที่ขามักมีส่วนประกอบพิเศษให้ใช้ถักใยได้ ดังเช่นว่า มีแผ่นแบนอยู่ระหว่างง่ามเล็บ ส่วนท้องอาจกลมหรือยาวแล้วแต่ประเภทของแมงมุมที่ปลายมีท่อเป็นรูเปิดสำหรับปล่อยใยได้ รอบๆข้างล่างของส่วนท้องบ้องที่ ๒ และ ๓ มีอวัยวะทำหน้าที่เป็นจมูกสำหรับหายใจ ซึ่งมักเป็นช่อง ภายในมีแผ่นบางๆเรียงทับกันคล้ายกระดาษหนังสือ แมงมุมโดยมากที่คนไทยมองเห็นนั้น มักเป็นชนิดถักใยขวางทางผ่านของสัตว์เพื่อจับรับประทานเป็นอาหาร เมื่อมีสัตว์มาติดใยรวมทั้งดิ้นรน แรงสั่นสะเทือนจะไปถึงตัวแมงมุมเจ้าของรัง แมงมุมซึ่งมีสายตาไม่ดีก็จะติดตามแนวทางของแรงกระเทือนนั้นเข้าหาเหยื่อ กัดเหยื่อ และปล่อยน้ำพิษทำให้เหยื่อสลบ ก่อนจะรับประทานเป็นของกิน แมงมุมในประเทศไทย แมงมุมที่พบในประเทศไทยมีมาก จัดอยู่ในหลายตระกูล แต่ทุกวงศ์จัดอยู่ในชั้นเดียวกัน หมายถึง Araneae ชนิดที่พบในประเทศไทยนั้น โดยมากไม่มีพิษร้ายถึงกับกัดคนให้เจ็บหรือตายได้ ได้แก่ ๑.แมงใย หรือ ตัวใยแมงมุม เป็นแมงมุมที่พบตามบ้านเรือนรวมทั้งถักใยจนกระทั่งดูเลอะเทอะสกปรกและก็รก มักเป็นพวกที่จัดอยู่ในสกุล Pholcus หลากหลายประเภท (สกุล Pholcidae ) แมงมุมเหล่านี้มักมีลำตัวสีน้ำตาลหรือสีเทาทึบ ข้างหลังท้องสีมักเข้ม ลางชนิดมีลาย โดยมากมีลำตัวยาว ๔-๕ มิลลิเมตร ขายาวกว่าลำตัวมากมาย คือยาวราว ๕-๖ เซนติเมตร ทำให้ดูเกะกะแล้วก็เปราะบาง ก็เลยมีชื่อสามัญว่า daddy long-leg spider ชาวไทยลางถิ่น เรียก แมงมุมเถ้า เพราะถักใยทำให้รกรุงรังและก็มีฝุ่นหรือเถ้าถ่านมาติด ใยแมงมุมที่แมงมุมเหล่านี้ถักทอเอาไว้ในบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครัว หรือที่อยู่ใกล้เตาไฟ ซึ่งมีขี้เขม่าไฟหรือขี้เถ้าติดอยู่ร่วมกัน แพทย์โบราณใช้เป็นเครื่องยา เรียก หญ้ายองไฟ ๒.แมงมุมทำหลาว เป็นแมงมุม พวกที่ถักใยนอกบ้าน พบได้มากตามแปลงพืชหรือตามเรือกสวนไร่ เป็นแมงมุมที่จัดอยู่ในสกุล Tetragnatha หลายประเภท (วงศ์ Tetragnathidae ) ซึ่งประชาชนเรียก แมงมุมทำหลาว ด้วยเหตุว่าเมื่อตระหนกตกใจ แมงมุมเหล่านี้จะวิ่งไปหลบอยู่หลังใบไม้ ยื่นขา ๒ คู่แรกไปข้างหน้า ขาคู่ที่ ๔ ยื่นไปข้างหลังอยู่ในระดับเดียวกับลำตัว ขาคู่ที่ ๓ ใช้ยึดเกาะยืนตั้งฉากกับลำตัว ดูคล้ายผู้ที่จัดเตรียมพุ่งหลาวลงน้ำ แมงมุมเหล่านี้ดักจับเพลี้ยจักจั่นรับประทานเป็นอาหาร จัดเป็นสัตว์ที่มีคุณประโยชน์ต่อเกษตรกร ๓.แมงมุมก๋า หรือ ตัวก๋า มีชื่อวิทยาศาสตร์ Heteropodae venatoria (Linnaeus ) จัดอยู่ในสกุล Sparassidae มีชื่อสามัญว่า banana spider ( เนื่องจากว่าพบมากแมงมุมก๋านี้ในโรงเก็บของเก็บกล้วย ) เป็นแมงมุมขาดกึ่งกลาง ตัวผู้ลำตัวยาว ๑.๕-๒ เซนติเมตร ตัวเมียมีลำตัวยาว ๒.๕-๓ เซนติเมตร ขายาว ๕-๖ เซนติเมตร หัวกระทรวงอุตสาหกรรมขา แล้วก็ท้องสีน้ำตาล ตาสีคล้ำ ที่ข้างหลังอกมีแถบสีดำหนาพิงตามขวางข้างหน้า แล้วก็แถบเป็นง่ามคล้ายรูปตัววี (V) ด้านปลายอีก ๑ แถบที่สันหลังท้องมีเส้นสีน้ำตาลแก่พาดมาถึงกึ่งกลาง บางทีอาจเจอจุดสีน้ำตาลแก่เป็นลายข้างๆ ข้างละ ๔-๕ จุด มีขนสีน้ำตาลอ่อนบริเวณหน้าแล้วก็ขา ทำให้มองน่าสยดสยอง แมงมุมชนิดนี้ไม่ถักใย ออกหากินโดยการจับเหยื่อโดยตรง เจออาศัยอยู่ตามบ้านเมืองหรือตามคลังสินค้า เป็นแมงมุมที่เป็นประโยชน์ เนื่องจากชอบรับประทานแมลงสาบ ๔.แมงมุมมดแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Myrmarachne formicaria Linnaeus จัดอยู่ในสกุล Salticidae เป็นแมงมุมประเภทที่มีรูปร่างเอาอย่างสัตว์อื่น พบได้ทั่วไปรวมทั้งมีชุกตามจังหวัดริมทะเล ได้แก่ จังหวัดชลบุรีหรือจังหวัดระยอง มีรูปร่าง ขนาด และสีสันใกล้เคียงกับมดแดง แล้วก็ชอบอาศัยปะปนอยู่กับมดแดง แม้กระนั้นแตกต่างกันตรงที่เมื่อแมงมุมเหล่านี้กระโจน จะถักใยทิ้งตัวเพื่อโยกย้ายได้ เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วนตั้งใจจริง จะพบว่าจำนวนขาแล้วก็ลักษณะอื่นๆต่างจากมดแดง (http://www.คลังสมุนไพร.com/wp-content/uploads/2017/09/Spider.jpg) ประโยชน์ทางยา หมอแผนไทยรู้จักใช้ “ต้นหญ้ายองไฟ”รวมทั้ง “แมงมุมตายซาก” เป็นเครื่องยาด้วย ดังต่อไปนี้ ๑.ต้นหญ้ายองไฟ แพทย์แผนไทยรู้จักใช้ใยแมงมุมแมงมุมเหนือเตาไฟในครัวของบ้านไทยในชนบทแต่ก่อน (เตาไฟใช้ฟืนใช้ถ่าน) ใยแมงมุมแมงมุมที่มีเขม่าควัน เถ้า และฝุ่นเกาะอยู่ด้วยนี้ แพทย์โบราณเรียก หญ้ายองไฟ ลางแบบเรียนเรียกเป็น หยากไย่ไฟ หรือ หยักไย่ไฟ ก็มี ใช้เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/u][/url][/color] ตำราเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า หญ้ายองไฟมีรสเค็ม เฝื่อน มีสรรพคุณแก้โลหิต ฟอกโลหิต กระจายเลือดอันเป็นลิ่มเป็นก้อน ขับโลหิตรอบเดือน ตำรายาไทยหลายขนานเข้า “ต้นหญ้ายองไฟ” เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง ในที่นี้ขอยกตัวอย่างยา ๒ ขนาน ขนานแรกเป็นยาแก้กษัยอันกำเนิดเพื่อโชธาตุชื่อ “สันตัปปัคคี” ซึ่งบันทึกเอาไว้ในพระคู่มือไกษย ดังต่อไปนี้ ขนานหนึ่งเล่า หากมันให้จุกเสียดปวดขบเปนกำลัง ให้เอาพริกเทศ ๑๐๘ เม็ด พริกล่อน ๑๐๘ เม็ด ผักกะซึมซับเอาทั้งยังต้นรากใบลูกเอาสิ่งละ ๑ บาท หญ้าไซห้อย ๑ ต้นหญ้าไซแห้ง ๑ เอาสิ่งละ ๑ บาท ต้นหญ้ายองไฟ ๑ บาท ไพลแห้ง[/b] ๑ บาท ตำเปนผง ละลายน้ำเหล้าน้ำส้มซ่าน้ำขิงน้ำมะนาวน้ำกระเทียมก็ได้ สับเปลี่ยนให้ถูกใจโรคนั้นเถอะ อีกขนานหนึ่งเป็นยาขับเลือดของสตรีซึ่งมีบันทึกเอาไว้ใน พระตำรามหาโชตรัต ดังต่อไปนี้ อนึ่งเอาสหัศคุณเทศ ๑ แก่นแสมทเล ๑ ต้นหญ้ายองไฟ ๑ ขมิ้นอ้อย[/b] ๑ บดละลายเหล้ารับประทาน ใหขับเลือดดีนักแล ตำรับยาลางขนาน ผู้ครอบครองตำรับอาจเขียนตัวยาไว้เป็นปัญหาให้แปลความหมายกันเอาเอง ดังเช่น ยาแก้บิดขนานหนึ่ง เจ้าของยาให้ตำรับยาไว้ว่า “ลุกใต้ดิน รับประทานตีนท่า อยู่หลังคา ขี้ค้างรู คู่อ้ายบ้า” ซึ่งก็คือ “รากเจตมูลเพลิงเเดง[/color] ๑ ผักเป็ด[/b] ๑ หญ้ายองไฟ ๑ ขี้ยาฝิ่น ๑ สุราเป็นน้ำกระสาย” ๒. แมงมุมตายซาก แพทย์แผนไทยใช้แมงมุมที่ตายแล้วซากแห้งสนิท ไม่เน่าและไม่ขึ้นรา เป็นเครื่องยาในยาไทยโบราณหลายขนาน ดังเช่นว่า “ยานากพด” ซึ่งมีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ปฐมจินดาร์ ดังต่อไปนี้ ยาชื่อนากพด ท่านให้เอาใบหนาด ๑ พริกไทย[/color] ๑ เบี้ยจั่นเผา ๑ ขิง ๑ รังหมาร่าเผา ๑ แมงมุม[/b]ตายซาก ๑ ลำพัน ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ แก้ทรางทั้งผอง แก้ละอองพระบาท แก้สะพั้น ทั้งรับประทานอีกทั้งชะโลมดีนัก
|