หัวข้อ: โรคเอดส์ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: แสงจันทร์5555 ที่ มีนาคม 19, 2018, 03:44:52 pm (https://uppic.cc/d/aKg)
โรคเอดส์ (Acquired immunodeficiency syndrome. AIDS)
ในปัจจุบันทั่วทั้งโลกพบสายพันธุ์เชื้อเอชไอวี มากกว่า 10 สายพันธุ์ ที่มีการกลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์เดิม กระจัดกระจายอยู่ตามประเทศต่างๆทั่วทั้งโลก โดยพบได้ทั่วไปที่สุดที่ทวีปแอฟริกามีมากกว่า 10 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่พบได้มากที่สุดในโลก คือสายพันธุ์ซี สูงถึง 40% พบในทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน รวมทั้งประเทศพม่า ส่วนในประเทศไทยเจอเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง 2 สายพันธุ์เป็น สายพันธุ์เอ-อี (A/E) หรืออี (E) พบได้บ่อยกว่า 95% แพร่ระบาดระหว่างร่วมเพศระหว่างชายหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่แพร่ระบาดกันในกลุ่มรักร่วมเพศ และก็ผ่านการใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้น จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) บอกว่า ตั้งแต่พบการระบาดของโรคเอดส์ทีแรกจนกระทั่งปี พุทธศักราช2558 มีผู้ติดเชื้อไปแล้วกว่า 70 ล้านคนทั่วทั้งโลก รวมทั้งเสียชีวิตไปแล้วกว่า 35 ล้านคน ในช่วงเวลาที่รายงานของแผนการโรคภูมิคุมกันบกพร่องที่สหประชาชาติ (UNAIDS) พบว่า เหตุการณ์การแพร่ระบาดของเอชไอวี/เอดส์ ในปี 2559 มีผู้ติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องทั่วทั้งโลกสะสม 36.7 ล้านคน เป็นผู้ติดโรครายใหม่ 1.8 ล้านคน แล้วก็มีผู้เสียชีวิตจากเชื้อเอชไอวี 1 ล้านคน ในส่วนของเมืองไทยนั้น โดยจากรายงานในปีปัจจุบันของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (ปี 2557) พบว่าตั้งแต่ปี 2527-2557 ตลอด 30 ปีที่ผ่านมามีคนเจ็บเอดส์เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของอีกทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งมวล 388,621 ราย และมีคนเจ็บเสียชีวิต 100,617 ราย โดยในปีต่อมา (ปี 2558) มีการคาดราวๆปริมาณคนเจ็บเอดส์และก็ติดเชื้อโรคเอชไอวีในประเทศไทยเป็นปริมาณทั้งปวงประมาณ 1,500,000 คน
ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการ แต่ว่าเชื้อเอชไอวีจะแบ่งตัวรุ่งโรจน์ขึ้นไปเรื่อยและทำลาย CD4 จนถึงมีจำนวนน้อยลง โดยเฉลี่ยราวๆปีละ 50-75 เซลล์/ลบ.มม. จากระดับธรรมดา (เป็น 600-1,000 เซลล์) เมื่อลดลดน้อยลงมากมายๆก็จะเกิดอาการเจ็บป่วย ดังนี้อัตราการน้อยลงของ CD4 จะเร็วช้าขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง และก็ภาวะความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของผู้เจ็บป่วย เวลานี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางรายบางทีอาจสั้นเพียง 2-3 เดือน แม้กระนั้นบางรายบางทีอาจนานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป
มีลักษณะบางส่วน เวลานี้ถ้าตรวจ CD4 จะมีเยอะๆกว่า 500 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร ผู้ป่วยอาจมีอาการ ดังนี้ * ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตบางส่วน * โรคเชื้อราที่เล็บ * แผลแอฟทัส * ผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก * ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) ซึ่งมีเหตุที่เกิดจากเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ข้างๆของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก * โรคโซริอาซิส (สะเก็ดเงิน) ที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบ มีลักษณะอาการปานกลาง เวลานี้ถ้าเกิดตรวจ CD4 จะมีปริมาณระหว่าง 200-500 เซลล์/ลบ.มม. คนป่วยอาจมีอาการทางผิวหนังและเยื่อบุช่องปากแบบข้อ กรัม หรือไม่ก็ได้ อาการที่บางทีอาจเจอได้มีดังนี้ * เริมที่ริมฝีปาก หรือของลับ ซึ่งกำเริบหลายครั้ง และเป็นแผลเรื้อรัง * งูสวัด ที่มีอาการกำเริบขั้นต่ำ 2 ครั้ง หรือขึ้นพร้อมกันมากกว่า 2 แห่ง * โรคเชื้อราในโพรงปาก หรือช่องคลอด * ท้องร่วงหลายครั้ง หรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน * ไข้เกิน 37.8 องศาเซลเซียส แบบเป็นๆหายๆหรือต่อเนื่องกันทุกเมื่อเชื่อวันนานเกิน 1 เดือน * ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 ที่ในรอบๆไม่ติดต่อกัน (เป็นต้นว่า คอ รักแร้ ขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน * น้ำหนักลดเกินจำนวนร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ * ปวดกล้ามและก็ข้อ * ไซนัสอักเสบเรื้อรัง * ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ซึ่งเป็นซ้ำหลายครั้ง
ช่วงนี้คนไข้อาจมีอาการดังนี้ * เหงื่อออกมากช่วงกลางคืน * ไข้ หนาวสั่น หรือไข้สูงเรื้อรังติดต่อกันยาวนานหลายสัปดาห์หรือเป็นนานนับเดือน * ไอเรื้อรัง หรือหายใจหอบอ่อนแรงจากวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบ * ท้องร่วงเรื้อรัง จากเชื้อราหรือโปรตัวซัว * น้ำหนักลด รูปร่างผอมเกร็ง และเพลีย * ปวดหัวรุนแรง ชัก งงงัน ซึม หรือหมดสติจากการติดเชื้อในสมอง * เจ็บท้อง อ้วก อาเจียน * กลืนลำบาก หรือเจ็บเวลากลืน เพราะเหตุว่าหลอดของกินอักเสบจากเชื้อรา * สายตาเลือนลางดูไม่ชัดเจน หรือเห็นเงาใยแมงมุมลอยไปๆมาๆจากจอตาอักเสบ * ตกขาวหลายครั้ง * มีผื่นคันตามผิวหนัง (papulopruritic eruption) * ซีดเผือด * มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกมาจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ * สับสน จำอะไรไม่ค่อยได้ ลืมง่าย ไม่มีสมาธิ ความประพฤติผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากว่าความเปลี่ยนไปจากปกติของสมอง * ลักษณะโรคมะเร็งที่เกิดแทรกซ้อน เช่น โรคมะเร็งของผนังหลอดเลือดที่เรียกว่า Kaposi's sarcoma (KS) มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง มะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งทวารหนัก เป็นต้น ในเด็ก ที่ติดโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง ระยะต้นอาจมีอาการน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เมื่อโรคลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆก็อาจมีอาการเดินลำบากหรือพัฒนาการทางสมองช้ากว่าธรรมดา รวมทั้งเมื่อเป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องเต็มขั้น นอกเหนือจากมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสชนิดเดียวกันกับผู้ใหญ่แล้ว ยังอาจพบว่าแม้เป็นโรคที่พบทั่วไปในเด็ก (ตัวอย่างเช่น หูชั้นกลางอักเสบ ปอดอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ) ก็มักจะมีอาการร้ายแรงมากกว่าธรรมดา
การวิเคราะห์โรคเอดส์ อันดับแรกสุดคือ วิธีซักความเป็นมาของคนป่วยรวมทั้งการตรวจร่างกาย ซึ่งมัก จะมีประวัติการต่อว่าดเชื้อไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องมาก่อนแล้ว ซึ่งหมอสามารถรู้จากการตรวจเลือดว่า ส่งผลบวกต่อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องหรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้นการตรวจร่างกายชอบเจออาการแสดงที่ระบุว่า คนเจ็บอยู่ในระยะของการเป็นโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้ว ตรวจหาสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง โดยวิธีอีไลซ่า (ELISA) จะตรวจเจอสารภูมิต้านทานหลังติดเชื้อโรค 3-12 สัปดาห์ (จำนวนมากราวๆ 8 อาทิตย์ บางรายบางทีอาจนานถึง 6 เดือน) วิธีการแบบนี้เป็นการตรวจยืนยันด้วยการตรวจกรองขั้นแรก ถ้าเจอเลือดบวก จำเป็นต้องกระทำตรวจยืนยันด้วยวิธีอีไลซ่าที่ผลิตโดยอีกบริษัทหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับวิธีตรวจทีแรก หรือทำตรวจด้วยวิธี particle agglutination test (PA) ถ้าหากได้ผลบวกก็สามารถวิเคราะห์ว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี แต่ว่าถ้าได้ผลลบก็ต้องตรวจยืนยันโดยวิธีเวสเทิร์นบลอต (Western blot) อีกรอบ ซึ่งให้ผลบวก 100% ข้างหลังติดเชื้อโรค 2 อาทิตย์ การเจาะเลือดเพื่อนับจำนวนเม็ดเลือดขาวจำพวก ทีลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวก (CD 4-positive T cell) จะพบว่าปริมาณลดน้อยลงมากมาย เนื่องจากเชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในเซลล์ประเภทนี้ รวมทั้งจะทำลายเซลล์ชนิดนี้ไปเรื่อยๆโดยมากถ้าหากมีจำนวนของหนลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวกลดลงน้อยกว่า 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตรในผู้ใหญ่ (ค่าธรรมดา 600 - 1,200 เซลล์ต่อลูกบาศก์ไม่ลลิ เมตร) ระดับของ CD4+ T cell ที่ใช้ในการวิเคราะห์ ถ้าเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 12 เดือนจะมี CD4+น้อยกว่า 30% ของเม็ดเลือดขาวทั้งปวง เด็กอายุ12 - 35 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 25% และก็เด็กอายุ 36 - 59 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 20% โรคที่มีสาเหตุมาจากติดเชื้อเอชไอวีรวมทั้งโรคเอดส์ในขณะนี้ ยังไม่สามารถที่จะรักษาให้หายได้ แต่ว่าสามารถควบคุมโรคแล้วก็ทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานอย่างคนปกติได้ โดยแนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อ ไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องและคนไข้โรคภูมิคุมกันบกพร่อง ได้แก่ การใช้ยายับยั้งการเพิ่มปริมาณของเชื้อไวรัสหรือยาต่อต้านเชื้อไวรัส ซึ่งจำต้องรับประทานไปทั้งชีวิต เรียกว่า Antiretroviral therapy ซึ่งพวกเราสามารถติดตามผลของการรักษาได้จากการเจาะเลือดมองปริมาณเม็ดเลือดขาว CD 4 positive T cell ว่า อยู่ในเกณฑ์ธรรมดาไหม แล้วก็นับปริมาณไวรัสในเลือดได้โดยตรง (Viral load) ปัจจุบันนี้ยาต้านทานเชื้อไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องมีหลายชนิดได้แก่ ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์รีเวิสทรานสคริปเตส (Nucleoside analogues Reverse transcriptase inhibitors) ดังเช่นว่า ยาชื่อ Zidovudine (AZT), Didanosine (ddI), Zalcitabine (ddC), Stavudine (d4T), Lamivudine (3TC) ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีรีเวิสทรานสคริปเตสที่ไม่ใช่นิวคลีโอไซด์ (Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors) ได้แก่ ยาชื่อ Delavirdine, Loviride, Nevirapine ยาที่มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (Protease inhibitors) ยกตัวอย่างเช่น ยาชื่อ Nelfinavir, Indinavir, Ritonavir, Saquinavir อนึ่ง แนวทางให้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสในตอนนี้คือ ต้องให้ยาอย่างต่ำ 3 ประเภทโดยใช้ยาในกรุ๊ป Nucleoside analogue 2 ตัว ร่วมกับยาในกลุ่ม Non-nucleoside หรือ Protease inhibitor อีก 1 ตัวรวมเป็น 3 ตัว โดยจำเป็นต้องใช้ยาทุกเมื่อเชื่อวันและตรงตามเวลาที่ระบุโดยครัดเคร่ง โดยแพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้ เมื่อมีลักษณะแสดงของโรคทั้งในระยะเริ่มต้นเริ่มและช่วงหลัง การให้ยาต้านเชื้อไวรัสในคนป่วยที่เป็นระยะแต่เดิม (primary HIV infection) สามารถชะลอการดำเนินโรคเข้าสู่ระยะที่รุนแรงได้ เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ตรวจเลือดพบว่ามีค่า CD4 น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ว่ามีค่า CD4 อยู่ที่ 200-350 เซลล์/ลบ.มม. บางทีอาจพิเคราะห์ให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสเป็นรายๆไป อาทิเช่น ในรายที่ปริมาณเชื้อไวรัสสูง มีอัตราการลดน้อยลงของ CD4 อย่างเร็ว ความพร้อมเพรียงของผู้ป่วย ฯลฯ สำหรับเพื่อการให้ยาควรติดตามมองผลข้างเคียง ซึ่งอาจมีอันตรายต่อคนป่วย หรือทำให้คนป่วยไม่ยินยอมกินยาอย่างสม่ำเสมอ การใช้ยารักษาโรคติดโรคที่เกิดขึ้นจากมีภูมิต้านทานขัดขวางโรคขาดตกบกพร่องหรือเชื้อฉวยโอ กาส ขึ้นกับว่าคนเจ็บติดโรคจำพวกใด ตัวอย่างเช่น ติดโรควัณโรคก็ให้ยารักษาวัณโรค ติดเชื้อโรคราก็ให้ยารักษาเชื้อรา หรือถ้าเป็นโรคโรคมะเร็งก็รักษาโรคมะเร็ง เป็นต้น
จากการศึกษาเล่าเรียนในประเทศต่างๆก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาไม่พบว่ามีการติดต่อโดยแนวทางต่อไปนี้ * การหายใจ ไอ จามรดกัน * การกินของกิน รวมทั้งกินน้ำด้วยกัน * การว่ายน้ำในสระ หรือเล่นกีฬาร่วมกัน * การใช้ส้วมร่วมกัน * การอยู่ในห้องเรียน ห้องทำงาน ยานพาหนะ หรือการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโรค * การสัมผัส สวมกอด * การใช้ครัว ภาชนะเครื่องครัว จาน แก้ว หรือผ้าสำหรับเช็ดตัวด้วยกัน * การใช้โทรศัพท์ด้วยกัน * การถูกยุงหรือแมลงกัด
- ไปพบหมอและก็ตรวจเลือดเป็นช่วงๆดังที่หมอชี้แนะ และก็กินยาต่อต้านเชื้อไวรัสเมื่อมีค่า CD4 ต่ำลงยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. การกินยาต้านเชื้อไวรัสโดยตลอดชอบช่วยทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและก็ยาวนาน ส่วนมากมักจะนานกว่า 10 ปีขึ้นไป - ทำงาน เรียนหนังสือ คบค้ากับคนอื่นแล้วก็ปฏิบัติงานประจำวันได้ตามธรรมดา ไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจว่าจะกระจายเชื้อให้ผู้อื่นโดยการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกันหรือหายใจรดคนอื่น - ถ้าเกิดมีความรู้สึกหนักใจกลัดกลุ้มหัวใจ ควรจะเล่าความรู้สึกในใจให้ญาติสนิทสหายฟัง หรือขอคำแนะนำเสนอแนะจากหมอ พยาบาล นักจิตวิทยา หรืออาสาสมัครในองค์กรพัฒนาเอกชน - ศึกษาธรรมชาติของโรค การดูแลรักษา การดูแลตัวเอง จนถึงมีความรู้ความเข้าใจโรคนี้อย่างดีเยี่ยม ก็จะไม่มีความรู้สึกหมดหวังสิ้นหวัง และมีแรงใจอดทน ซึ่งเป็นอาวุธอันทรงอำนาจในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงถัดไป - สนับสนุนสุขภาพตัวเองด้วยการบริหารร่างกายบ่อยๆ ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย (ไม่จำเป็นที่ต้องทานอาหารเสริมราคาแพง) งดแอลกอฮอล์ ยาสูบ สารเสพติด นอนพักผ่อนให้พอเพียง - เสริมสร้างสุขภาพที่เกิดขึ้นกับจิตด้วยการฟังเพลง ขับร้อง เล่นกีฬา อยู่สนิทสนมธรรมชาติ ฝึกฝนเพื่อให้มีสมาธิ เจริญรุ่งเรืองสติ สวดมนต์ไหว้พระหรือภาวนาตามลัทธิศาสนาที่เชื่อถือ - เลี่ยงการกระทำที่อาจจะแพร่ระบาดให้ผู้อื่นโดย
- เลี่ยงการมีท้อง โดยการคุมกำเนิด เพราะเด็กอาจมีช่องทางรับเชื้อจากคุณแม่ได้ - แม่ที่มีการติดโรค ไม่สมควรเลี้ยงบุตรด้วยนมตัวเอง - เมื่อมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสสอดแทรก ควรปกป้องมิให้เชื้อโรคต่างๆแพร่ให้คนอื่นๆ ตัวอย่างเช่น
|