หัวข้อ: โรคไข้เลือดออก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: ณเดช2499 ที่ มีนาคม 21, 2018, 06:14:44 pm
(https://www.img.in.th/images/ed96105b47520a51625686ac3bce8348.jpg)โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)- โรคไข้เลือดออกเป็นยังไง โรคไข้เลือดออกหมายถึงโรคติดเชื้อซึ่งมีต้นเหตุจาก เชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) โดยมียุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคอาการของโรคนี้มีความคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดในช่วงแรก (แม้กระนั้นจะไม่มีอาการน้ำมูลไหล คัดจมูก หรือไอ) จึงทำให้คนไข้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัด และก็ทำให้มิได้รับการดูแลและรักษาที่ถูกต้องในทันทีทันใด โรคไข้เลือดออกมีลักษณะอาการและก็ความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีลักษณะอาการนิดหน่อยไปจนถึงเกิดอาการช็อกซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เจ็บป่วยเสียชีวิต สถิติในปี พุทธศักราช 2554 รายงานโดย กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีอัตราป่วยไข้ 107.02 รวมทั้งอัตราเจ็บป่วยตาย 0.10 ซึ่งหมายความว่า ในประชากรทุก 100,000 คน จะมีผู้ที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 107.02 คน และมีคนเสียชีวิตจากโรคนี้ 0.1 คน เลยทีเดียว ทั้งนี้โรคไข้เลือดออกยังเป็นโรคระบาดที่พบได้ทั่วไปแถบบ้านเราและประเทศใกล้เคียง มีการระบาดเป็นช่วงๆทั่วในจังหวัดกรุงเทพมหานคร รวมทั้งบ้านนอก พบได้บ่อยการระบาดในช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงๆที่มียุงลายมากมาย จากสถิติในปี พ.ศ. 2556 ของสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีผู้ป่วยจำนวน 154,444 ราย (คิดเป็นอัตราป่วย 241.03 ต่อประชากร 100,000 ราย) และก็มีจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตปริมาณ 136 ราย (คิดเป็นอัตราเสียชีวิต 0.21 ต่อพลเมือง 100,000 ราย)
- สาเหตุของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออกมีเหตุมาจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่าไวรัสเดงกี Dengue 4 จำพวกเป็น Dengue 1, 2, 3 และ 4 โดยทั่วไปไข้เลือดออกที่เจอกันธรรมดาทุกปีชอบเป็นผลมาจากเชื้อไวรัสDengue จำพวกที่ 3 หรือ 4 แต่ว่าที่มีข่าวมาในช่วงนี้จะเป็นการติดเชื้อในสายพันธ์2เป็นสายพันธ์ที่เจอได้เล็กน้อยแม้กระนั้นอาการชอบรุนแรงกว่าสายพันธ์ที่ 3, 4 และต้องเป็นการตำหนิดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 (Secondaryinfection) ไวรัสเดงกี่ เป็น single strandcd RNA เชื้อไวรัส อยู่ใน familyflavivirida มี4 serotypes (DEN1, DEN2, DEN3, DEN4) ซึ่งมีantigen ของกรุ๊ปบางประเภทร่วมกัน จึงทำให้มีcross reaction กล่าวคือ เมื่อมีการติดเชื้อจำพวกใดแล้ว จะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสจำพวกนั้นอย่างถาวรตลอดชีพ และก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเดงกี่อีก 3 ชนิด ในตอนระยะสั้นๆโดยประมาณ 6 - 12 เดือน (หรือบางทีอาจสั้นกว่านี้) เพราะฉะนั้นผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่ชุกชุมอาจมีการติดเชื้อ 3หรือ 4 ครั้งได้ การตำหนิดเชื้อไวรัสเดงกีมีอาการแสดงได้ 3 แบบหมายถึงไข้เดงกี (Denque Fever – DF),ชอบกำเนิดกับเด็กโตหรือผู้ใหญ่อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการไม่รุนแรงและไม่สามารถจะวินัจฉัยได้การอาการทางคลินิกได้แน่นอนจำเป็นต้องอาศัยการตรวจทางทะเลเหลืองรวมทั้งแยกเชื้อไวรัส ไข้เลือดออก หรือ ไข้เลือดออกเดงกี (Dengue hemorrhagic fever – DHF) รวมทั้งไข้เลือดออกเดงกีที่ช็อก (Denque Shock Syndrome – DSS) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นต่อจากระยะ DHF คือมีการรั่วของพลาสมาออกไปมากทำให้คนป่วยเกิดภาวะช็อก และสามารถตรวจเจอรระดับอีมาโตคริต (Hct) สูงมากขึ้นรวมถึงมีน้ำในเยื่อห่อตอนปอดและท้องอีกด้วย
- ลักษณะโรคไข้เลือดออก ระยะที่ 1 (ระยะไข้สูง) คนเจ็บจะมีไข้สูงลอย (รับประทานยาลดไข้ไข้ก็จะไม่ลด) ไข้39 - 41 องศาเซลเซียส ราว 2 - 7 วัน ทุกรายจะเป็นไข้สูงเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน จำนวนมากไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไข้บางทีอาจสูงถึง 40 - 41 องศาเซลเซียสได้ซึ่งบางรายอาจมี อาการชักเกิดขึ้น คนป่วยชอบมีหน้าแดง (Flushed face) บางทีอาจตรวจ เจอคอแดง (Injected pharynx) ได้แม้กระนั้นจำนวนมากผู้เจ็บป่วยจะไม่มีอาการ น้ำมูกไหล หรืออาการไอ ซึ่งช่วยสำหรับการวิเคราะห์แยกโรคที่เกิดจากฝึกหัดใน ระยะต้น รวมทั้งโรคระบบทางเท้าหายใจได้ เด็กโตอาจบ่นปวดหัว ปวดรอบกระบอกตา ในระยะไข้นี้อาการทางระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อย คือ เบื่อข้าว อ้วก บางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ซึ่งใน ระยะต้นจะปวดโดยธรรมดา รวมทั้งบางทีอาจปวดที่ชายโครงขวาในระยะ ที่มีตับโต ปวดศีรษะ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเรียกตัว อยากดื่มน้ำ ซึม ในบางรายอาจมีลักษณะของการปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงทางด้านขวา หรืออาจมีท้องผูกหรือถ่ายเหลว ส่วนในเด็กอายุต่ำยิ่งกว่า 1 ปี อาจเจอลักษณะของการมีไข้สูงร่วมกับอาการชักได้ ระยะที่ 2 (ระยะช็อกแล้วก็มีเลือดออก หรือ ระยะวิกฤติ) ชอบพบในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเดงกีที่มีความร้ายแรงขั้นที่ 3 แล้วก็ 4 อาการจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งถือได้ว่าตอนที่วิกฤติของโรค โดยอาการไข้จะเริ่มน้อยลง แม้กระนั้นคนเจ็บกลับมีลักษณะทรุดหนัก มีอาการเลือดออก : อาการเลือดออกที่พบมากที่สุดที่ผิวหนัง โดยจะตรวจพบว่าเส้นโลหิตเปราะ แตกง่าย วิธีการทำ torniquet test ได้ผลบวกได้ตั้งแต่ 2 - 3 วันแรกของโรค ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็กๆกระจายอยู่ตามแขน ขาลำตัว จั๊กกะแร้อาจมีเลือดกำเดา หรือเลือดออก ตามไรฟัน ในรายที่ร้ายแรงอาจมีคลื่นไส้ เจ็บท้อง และก็ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งชอบเป็นสีดำ (Malena) อาการเลือดออกในทางเดินอาหาร มีความผิดธรรมดาของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก:มักจะเกิด ช่วงไข้จะลดเป็นระยะที่มีการรั่วของพลาสมาซึ่งจะพบทุกรายในคนไข้ ไข้เลือดออกเดงกี่ โดยระยะรั่วจะมีราว 24 - 28 ชั่วโมง ประมาณ 1 ใน 3 ของคนป่วยจะมีลักษณะอาการรุนแรงมีภาวะการไหล เวียนล้มเหลวเกิดขึ้น เนื่องด้วยมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด/ ท้องมาก กำเนิด hypovolemic shock คนไข้จะเริ่มมีอาการ กระวนกระวาย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาเร็ว(อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) ฉี่น้อย ความดันเลือดเปลี่ยนแปลง ตรวจเจอ pulse pressure แคบ พอๆกับหรือน้อยกว่า 20 มม.ปรอท (ค่าธรรมดา30-40มม.ปรอท) ภาวการณ์ช็อกที่เกิดขึ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง อย่างเร็วหากมิได้รับการดูแลและรักษาคนเจ็บจะมีลักษณะอาการชั่วช้าสารเลวลงรอบปากเขียว ผิวสีม่วงๆตัวเย็นชืด เช็คชีพจรและ/หรือวัดความดันไม่ได้ (Profound shock) ภาวะทราบสติแปรไป แล้วก็จะเสียชีวิตภายใน 12-24ชั่วโมงข้างหลังเริ่มมีสภาวะช็อกแม้ว่าผู้เจ็บป่วยได้รับการดูแลและรักษาอาการช็อก อย่างทันท่วงทีและก็ถูกก่อนที่จะเข้าสู่ระยะ profound shock โดยมากก็จะฟื้นได้อย่างเร็ว ระยะที่ 3 (ระยะฟื้นตัว) ในรายที่มีสภาวะช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านวิกฤติตอนระยะที่ 2 ไปแล้ว อาการก็จะอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่มีสภาวะช็อกร้ายแรง เมื่อได้รับการดูแลรักษาอย่างแม่นยำรวมทั้งทันท่วงทีก็จะฟื้นเข้าสู่ภาวะปกติ โดยอาการที่มีความหมายว่านั้นเป็นผู้เจ็บป่วยจะเริ่มต้องการทานอาหาร แล้วอาการต่างๆก็จะคืนสู่ภาวะปกติ ชีพจรเต้นช้าลง ความดันเลือดกลับมาสู่ธรรมดา เยี่ยวออกมากขึ้น
- ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้เลือดออก เนื่องจากโรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่มียุงลายเป็นยานพาหนะนำโรคโดยเหตุนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรคไข้เลือดออกนั้น บางทีก็อาจจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี 1.การเช็ดกยุงลายกัด เนื่องจากว่าเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ายุงตัวไหนมีเชื้อหรือไม่มีเชื้อด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อถูกยุงลายกัด ก็เลยมีความเป็นไปได้เสมอว่าพวกเราบางทีก็อาจจะได้รับเชื้อไวรัสเดงกีที่ก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะเมื่อเราถูกยุงลายกัดในพื้นที่ที่การระบายของโรคไข้เลือดออก หรือ อยู่ในพื้นที่ที่มีความมากมายของยุงลายสูง 2.แหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ในเมื่อยุงลายเป็นพาหนะนำโรคไข้เลือดออกแล้วนั้น จึงพอๆกับว่าถ้ายุงลายมีมากมายก็จะก่อให้กำเนิดการเสี่ยงในการเกิดโรคไข้เลือดออกมากตามมา รวมทั้งหากยุงลายมีปริมาณน้องลง ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคไข้เลือดออกก็คงจะต่ำลงตามไปด้วย โดยเหตุนั้นการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย จึงน่าจะเป็นการลดการเสี่ยงสำหรับเพื่อการกำเนิดโรคไข้เลือดออกได้ แล้วก็หากชุมชนสามารถช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ก็จะทำให้ชุมชมนั้น ปราศจากจากโรคไข้เลือดออกได้
- แนวทางการรักษาโรคไข้เลือดออก การวิเคราะห์โรคไข้เลือดออก แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้จากอาการทางคลินิก โดยยิ่งไปกว่านั้นอาการไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดง บางทีอาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดง หรือจุดแดงจ้ำเขียว โดยไม่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ หรือเจ็บคอ ร่วมกับการมีประวัติโรคไข้เลือดออกของคนที่อาศัยอยู่รอบๆเดียวกัน หรือมีการระบาดของโรคในช่วงนั้นๆรวมทั้งการทดสอบทูร์นิเคต์ได้ผลบวก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์โรคนี้ได้ นอกเหนือจากนั้น การส่งไปตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) จะตรวจเจอเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวค่อนข้างต่ำรวมทั้งความเข้มข้นของเลือดสูง เพียงเท่านี้ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เป็นส่วนมากแล้ว แม้กระนั้นในบางราย ถ้าหากอาการ ผลของการตรวจร่างกาย และก็ผลเลือดในเบื้องต้นยังไม่สามารถที่จะวินิจฉัยโรคได้ ในขณะนี้ก็มีวิธีการส่งเลือดไปตรวจหาภูมิคุ้มกันขัดขวางต่อเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งจะช่วยให้การวินิจฉัยโรคนี้ได้อย่างเที่ยงตรงเพิ่มมากขึ้น
(https://www.img.in.th/images/72db7d0d4c4429bbb268f3787b9f8f1c.jpg) เพราะว่ายังไม่มีการพัฒนายาฆ่าเชื้อเชื้อไวรัสเดงกี่การดูแลรักษาโรคนี้ ก็เลยเป็นการรักษาตามอาการเป็นหลัก พูดอีกนัยหนึ่ง มีการใช้ยาลดไข้ เช็ดตัว แล้วก็การปกป้องภาวะช็อก ยาลดไข้ที่ใช้มีเพียงชนิดเดียวเป็นยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ปริมาณยาที่ใช้ในคนแก่เป็น พาราเซตามอลชนิดเม็ดละ500มิลลิกรัมกินทีละ1-2เม็ด ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่สมควรรับประทานเกินวันละ 8 เม็ด (4 กรัม) ส่วนขนาดยาที่ใช้ในเด็กเป็น พาราเซตามอลชนิดน้ำ 10-15มก.ต่อ น้ำหนักตัว 1 กิโลต่อครั้ง ทุก 4 - 6 ชั่วโมง โดยไม่ควรรับประทาน เกินวันละ5ครั้ง หรือ2.6กรัม ผลิตภัณฑ์พาราเซตามอลแบบเป็นน้ำสำหรับเด็กมีจัดจำหน่ายในหลายความแรงอาทิเช่น 120 มก.ต่อ 1 ช้อนชา (1 ช้อนชา เท่ากับ 5 มล.), 250 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา, รวมทั้ง 60 มิลลิกรัมต่อ 0.6 มล. ส่วนใหญ่เป็นยาน้ำเชื่อมที่จำต้องรินใส่ช้อนเพื่อป้อนเด็ก ในกรณีเด็กทารก การป้อนยาทำได้ค่อนข้างยากก็เลยมีผลิตภัณฑ์ยาที่ทำขายโดยบรรจุในขวดพร้อมหลอดหยด เวลาใช้ก็ก็แค่ใช้หลอดหยดดูดยาออกจากขวดและนำไปป้อนเด็กได้เลย ด้วยสาเหตุอันเกิดจากที่สินค้าพาราเซตามอลรูปแบบน้ำสำหรับเด็กมีหลายความแรง จำเป็นจะต้องอ่านฉลากและวิธีการใช้ให้ดีก่อนนำไปป้อนเด็ก พูดอีกนัยหนึ่ง หากเด็กหนัก 10 กก. รวมทั้งมียาน้ำความแรง 120 มก.ต่อ 1 ช้อนชา ก็ควรจะป้อนยาเด็กทีละ 1 ช้อนชาหรือ 5 มล. แล้วก็ป้อนซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมงแม้กระนั้นไม่สมควรป้อนยาเกินวันละ 5 ครั้ง ถ้าหากว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ในทันที ยาพาราเซตามอลนี้เป็นยารับประทาน ตามอาการ ดังนั้นถ้าหากว่าไม่มีไข้ก็สามารถหยุดยาได้ทันทีส่วนยา แอสไพรินรวมทั้งไอบูโปรเฟนเป็นยาลดไข้เช่นเดียวกัน แต่ว่ายาทั้งสองประเภทนี้ ห้ามประยุกต์ใช้ในโรคไข้เลือดออก เนื่องมาจากจะยิ่งช่วยเหลือการเกิดภาวะ เลือดออกแตกต่างจากปกติจนถึงบางทีอาจเกิดอันตรายต่อคนป่วยได้ ในส่วนการป้องกันสภาวะช็อกนั้น ปฏิบัติได้โดยการชดเชยน้ำ ให้ร่างกายเพื่อไม่ให้ปริมาตรเลือดลดลดน้อยลงจนถึงทำให้ความดันโลหิตตก แพทย์จะใคร่ครวญให้สารน้ำตามความร้ายแรงของอาการ โดยบางทีอาจให้ คนเจ็บดื่มเพียงแต่สารละลายเกลือแร่ โออาร์เอส หรือผู้ป่วยบางราย อาจได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำ ในกรณีที่คนเจ็บเกิดภาวะเลือด ออกไม่ดีเหมือนปกติจนกระทั่งเกิดภาวะเสียเลือดบางทีอาจจะต้องได้รับเลือดเพิ่มอีก อย่างไรก็แล้วแต่ ต้องเฝ้าระวังภาวะช็อกตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ด้วยเหตุว่าภาวะนี้มีความอันตรายต่อชีวิตของคนป่วยเป็นอย่างยิ่ง - การติดต่อของโรคไข้เลือดออก การติดต่อของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออก มักติดต่อจากคนไปสู่คน ซึ่งมียุงลายตัวเมีย (Aedes aegypt) เป็นตัวพาหะที่สำคัญ โดยยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของคนไข้ที่มีเชื้อไวรัสเดงกี แล้วหลังจากนั้นเชื้อจะเข้าไปฟักตัวและก็เพิ่มจำนวนในตัวยุงลาย ทำให้มีเชื้อไวรัสอยู่ในตัวของยุงตลอดระยะเวลาอายุขัยของมันโดยประมาณ 1 - 2 เดือน แล้วถ่ายทอดเชื้อไปสู่ผู้ที่ถูกกัดได้ในรัศมี 100 เมตร ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ในบริเวณบ้าน มักออกกัดตอนกลางวัน มีแหล่งเพาะพันธุ์หมายถึงน้ำนิ่งที่ขังอยู่ในภาชนะเก็บน้ำต่างๆอาทิ โอ่งน้ำ แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน ถ้วยชาม กระป๋อง หม้อ ยางรถยนต์ หรือกระถาง เป็นต้น โรคไข้เลือดออก พบโดยมากในช่วงฤดูฝน เพราะในช่วงฤดูนี้เด็กๆมักจะอยู่กับบ้านมากยิ่งกว่าฤดูอื่นๆทั้งยังยุงลายยังมีการแพร่พันธุ์มากในช่วงฤดูฝน ซึ่งในเมืองใหญ่ๆที่มีพลเมืองหนาแน่น รวมทั้งมีปัญหาด้านกายภาพเกี่ยวกับขยะ อย่าง จังหวัดกรุงเทพมหานคร บางทีอาจพบโรคไข้เลือดออกนี้ได้ตลอดทั้งปี
รู้ได้เช่นไรว่าเราป่วยเลือดออก ข้อคิดเห็นบางประการที่บางครั้งอาจจะช่วยให้สงสัยว่าอาจจะจับไข้เลือดออก ยกตัวอย่างเช่น เป็นไข้สูง อ่อนเพลียเป็นเกิน 2 วัน ถ้าหากมีปวดหัวมากมายหรืออาเจียนมากร่วมด้วย หลังเป็นไข้ 2 ถึง 7 วัน แล้วไข้ต่ำลงเอง เมื่อไข้ลดแล้วมีลักษณะกลุ่มนี้อย่างใดอย่างหนึ่งบางทีอาจจะเป็นไข้เลือดออกได้ ปวดศีรษะมากมาย อ่อนล้ามาก อ้วกมาก รับประทานอาหารไม่ได้ เจ็บท้อง มีจ้ำเลือดเล็กๆบริเวณแขน ขา หรือลำตัว มีเลือดออกตามอวัยวะดังเช่น เลือดกำเดา ถ่ายเป็นเลือด รอบเดือนมาก่อนกำคราวด ฯลฯ - การกระทำตนเมื่อเป็นไข้เลือดออก ในระยะ 2 - 3 วันแรกของการจับไข้ถ้าหากยังกินอาหารรวมทั้งกินน้ำได้ ไม่คลื่นไส้ ไม่ปวดท้อง ไม่มีจ้ำเลือดขึ้นและก็ยังไม่มีอาการเลือดออกหรือภาวการณ์ช็อกเกิดขึ้น ควรปฏิบัติดังนี้ ให้คนไข้พักผ่อนมากๆถ้าเป็นไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเสมอๆรวมทั้งให้ยาลดไข้พาราเซตามอล ผู้ใหญ่กิน 1-2 เม็ด เด็กโต ½ - 1 เม็ด เด็กเล็กใช้แบบเป็นน้ำเชื่อม 1- 2 ช้อนชา ถ้าหากยังจับไข้กินซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ห้ามให้ยาแอสไพริน โดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจก่อให้มีเลือดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ถ้าเกิดเป็นคนไข้เด็กรวมทั้งเคยชัก ควรจะให้รับประทานยากันชักไว้ก่อน ทานอาหารอ่อนๆได้แก่ ข้าวต้ม โจ๊ก และกินน้ำมากมายๆเฝ้าพินิจอาการผู้เจ็บป่วยอย่างใกล้ชิด หมั่นกินน้ำ หรือเกลือแร โออาร์เอส ให้มากมายๆเพื่อคุ้มครองการช็อกจากการขาดน้ำ รวมทั้งถ้าเกิดมีลักษณะดังนี้ควรไปพบหมอโดยเร็ว ซึมลงอย่างเร็ว อ่อนเพลียอย่างมาก มีจ้ำเลือดตามร่างกายมาก อาเจียนมากมาย ทานอาหารแล้วก็กินน้ำมิได้ มีเลือดออกตามร่างกายได้แก่ เลือดกำเดา อ้วกเป็นเลือดอุจจาระเป็นเลือด หรือเลือดออก ช่องคลอด ปวดท้องมาก
- การปกป้องตัวเองจากโรคไข้เลือดออก หากว่าในตอนนี้กำลังมีการพัฒนาวัคซีนปกป้องการตำหนิดเชื้อไวรัสเดงกี่ แต่ก็ยังไม่มียาซึ่งสามารถทำลายเชื้อไวรัสเดงกี่ได้ ด้วยเหตุนี้คำตอบที่ดีเยี่ยมที่สุดของโรคไข้เลือดออกในตอนนี้ คือ การคุ้มครองไม่ให้เป็นโรคโดยการควบคุมยุงลายให้มีปริมาณลดลงซึ่งทำเป็นโดยการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและการกำจัดยุงลายทั้งลูกน้ำและตัวสมบูรณ์เต็มวัย และก็ปกป้องไม่ให้ยุงลายกัด ดังนี้การคุ้มครองป้องกันทำเป็น 3 ลักษณะ คือ
การคุ้มครองป้องกันทางด้านกายภาพ ยกตัวอย่างเช่น ปิดภาชนะเก็บน้ำด้วยฝาปิด ได้แก่ มีผาปิดปากตุ่ม ตุ่มน้ำ ถังเก็บน้ำ หรือถ้าไม่มีฝาปิด ก็วางคว่ำลงถ้ายังไม่ได้อยากต้องการใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นที่ออกไข่ของยุงลาย เปลี่ยนแปลงน้ำในแจกันดอกไม้สดเสมอๆอย่างต่ำทุกๆ7 วัน ปล่อยปลารับประทานลูกน้ำลงในภาชนะเก็บน้ำ ตัวอย่างเช่น โอ่ง ตุ่ม ภาชนะละ 2-4 ตัว รวมถึงอ่างบัวรวมทั้งตู้ปลาก็ควรจะมีปลากินลูกน้ำเพื่อคอยควบคุมจำนวนลูกน้ำยุงลายเหมือนกัน ใส่เกลือลงน้ำในจานที่เอาไว้สำหรับรองขาตู้กับข้าว เพื่อควบคุมแล้วก็กำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยใส่เกลือ 2 ช้อนชา ต่อปริมาตร 250 มล. พบว่าสามารถควบคุมลูกน้ำได้ยาวนานกว่า 7 วัน การปกป้องทางเคมี อย่างเช่น เพิ่มเติมทรายทีมีฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่องค์การอนามัยโลกชี้แนะให้ใช้แล้วก็ยืนยันความปลอดภัย เหมาะสมกับภาชนะที่ไม่สามารถที่จะใส่ปลากินลูกน้ำได้ การพ่นสารเคมีหรือยากันยุงเพื่อกำจัดยุงตัวสมบูรณ์เต็มวัย มีข้อดีคือ สมรรถนะสูง แต่ว่าข้อด้อยคือ มีราคาแพง แล้วก็เป็นพิษต่อคนรวมทั้งสัตว์เลี้ยง จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้ชำนาญในการฉีดพ่นและฉีดเฉพาะเมื่อต้องแค่นั้น เพื่อป้องกันความเป็นพิษต่อคนแล้วก็สัตว์เลี้ยง ควรที่จะเลือกฉีดในเวลาที่มีคนอยู่ต่ำที่สุดและฉีดพ่นลงในแหล่งที่คาดว่าเป็นแหล่งเกาะพักของ เช่น ท่อสำหรับเพื่อระบายน้ำ เป็นต้น การใช้สารเคมีเพื่อกำจัดยุงในบ้านเรือน ที่ใช้กันมี 2 ชนิดเป็นยาจุดกันยุง และก็สเปรย์ฉีดไล่ยุง ขึ้นรถออกฤทธิ์อาจเป็นยาในกรุ๊ปผู้จองเวรทรอยด์ (Pyrethroids), ดีท (DEET, diethyltoluamide) เป็นต้น คราวก่อนมียาฆ่ายุงด้วย มีชื่อว่า สารฆ่าแมลงดีดีที แม้กระนั้นสารนี้ถูกยกเลิกการใช้ไปแล้วเนื่องมาจากเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตแล้วก็หลงเหลือในสิ่งแวดล้อมเป็นระยะเวลานานมาก แต่ สารเคมีไม่ว่าจากยาจุดกันยุงหรือสเปรย์ฉีดไล่ยุง ก็มีความเป็นพิษต่อคนแล้วก็สัตว์ ด้วยเหตุนี้เพื่อลดความเป็นพิษดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วควรจุดยากันยุงในรอบๆที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ล้างมือทุกหนภายหลังจากสัมผัส ส่วนยาฉีดไล่ยุงจะมีความเป็นพิษมากกว่า ดังนั้นห้ามฉีดลงบนผิวหนัง รวมทั้งควรปฏิบัติตามการใช้ที่กำหนดข้างกระป๋องอย่างเคร่งครัด การกระทำตัว เช่น นอนในมุ้ง หรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดเพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้ถูกยุงกัด โดยจะต้องปฏิบัติเช่นกันช่วงเวลากลางวันและค่ำคืน ถ้าเกิดไม่สามารถที่จะนอนในมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวดได้ ควรที่จะใช้ยากันยุงประเภททาผิวซึ่งมีสารสำคัญที่สกัดจากธรรมชาติ ดังเช่นว่า น้ำมันตะไคร้หอม (oil of citronella), น้ำมันยูคาลิปตัส (oil of eucalyptus) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงขึ้นยิ่งกว่ามาทาหรือหยดใส่ผิวหนังใช้เป็นยากันยุง แม้กระนั้นความสามารถจะต่ำยิ่งกว่า DEET
- สมุนไพรจำพวกไหนที่ช่วยรักษาคุ้มครองปกป้องโรคไข้เลือดออกได้ โดยจากการศึกษาข้อมูล พบว่า สามารำใช้ใบมะละกอสดมาคันน้ำพร้อมกันกับการรักษาแผนปัจจุบัน จะก่อให้เกล็ดเลือดของคนเจ็บโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นได้ข้างใน 24 – 48 ชม. ช่วยลดอัตราการตายลงได้ มีงานค้นคว้ารอบรับในหลายประเทศ มีการทดลองในหญิงรับใช้แล้วได้ผล อย่างเช่น อินเดีย ประเทศปากีสถาน มาเลเซีย นอกเหนือจากนี้ยังมีการจดสิทธิบัตรน้ำใบมะละกอในต่างประเทศด้วย มิได้ใช้เฉพาะคนเจ็บเกล็ดเลือดต่ำจากไข้เลือดออกเพียงอย่างเดียว แต่ว่าใช้ในกรณีอื่นด้วย กรรมวิธีรักษาโรคไข้เลือดออกด้วยใบมะละกอสดหมายถึงใช้ใบมะละกอสดชนิดใดก็ได้ราวๆ 50 กรัม จากต้นมะละกอ ต่อจากนั้นล้างให้สะอาด รวมทั้งทำการบทให้ถี่ถ้วน ไม่ต้องเพิ่มเติมน้ำ กรองเอากากออก ดื่มน้ำใบมะละกอสดแยกกาก วันละ ครั้งแก้ว หรือ 30 ซีซี ติดต่อกัน 3 วัน โดยแนวทางลักษณะนี้มีการศึกษาค้นคว้ามาแล้วว่าปลอดภัย
สมุนไพรที่สามารถไล่ยุงได้ ตะไคร้หอม ช่วยสำหรับในการไล่ยุงเนื่องจากว่ากลิ่นฉุนๆของมันไม่เป็นมิตรกับยุงร้าย ในปัจจุบันมีการทำออกมาในรูปของสารสกัดชนิดต่างๆไว้สำหรับปกป้องยุงโดยเฉพาะ แม้กระนั้นถ้าเกิดอยากให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีสุดๆควรที่จะใช้ตะไคร้หอมไล่ยุงชนิดที่สกัดน้ำมันเพียวๆจากต้นตะไคร้หอมจะดีที่สุด เว้นแต่กลิ่นจะช่วยเฉดหัวไล่ยุงแล้ว ยังช่วยไล่แมลงอื่นๆได้อีกด้วยล่ะ เปลือกส้ม ยังมีคุณประโยชน์เป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อีกด้วย แนวทางการไล่ยุงด้วยเปลือกส้มนั้น เพียงแต่ใช้เปลือกส้มที่แกะออกมาจากผลส้มแล้วมาผึ่งไว้จนกว่าจะแห้ง จากนั้นนำมาเผาไฟ ควันที่เกิดขึ้นและน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในเปลือกส้มมีสรรพคุณเป็นอย่างดีสำหรับเพื่อการไล่ยุง มะกรูด ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มากมายไปด้วยผลดี และยังสามารถเอามาเป็นสมุนไพรไล่ยุงได้อย่างดีเยี่ยม กรรมวิธีคือ นำผิวมะกรูดสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆมาตำกับน้ำเท่าตัวจนแหลกละเอียด หลังจากนั้นให้กรองเอาเฉพาะน้ำ สามารถเอามาทาผิวหรือใส่กระบอกที่มีไว้ฉีดเพื่อฉีดตามจุดต่างๆของบ้านได้ โหระพา กลิ่นหอมแรงของโหระพายังเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลที่ช่วยสำหรับการไล่ยุงรวมทั้งแมลง ทำให้มันไม่สามารถที่จะทนทานกับกลิ่นฉุนของโหระพาได้ สะระแหน่ นับว่าเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอมหวน แต่ว่ากลิ่นหอมๆของมันไม่ค่อยถูกกันกับยุงนัก ขั้นตอนการไล่ยุงเพียงนำใบสะระแหน่มาบดขยี้ให้กลิ่นออกมา แล้วต่อจากนั้นนำไปวางตามจุดต่างๆที่มียุงจำนวนมากหรือสามารถนำใบสะระแหน่มาบดแล้วทาลงบนผิวหนังจะทำให้ผิวหนังสดชื่นและก็ยังช่วยกันยุงได้อีกด้วย เอกสารอ้างอิง- กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการประเมินผลตามตัวชิ้วัดงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกระดับจังหวัด ปี 2553. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: 2543.1-12.
- (ภกญ.วิภารักษ์ บุญมาก).”โรคไข้เลือดออก”ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- สิวิกา แสงธาราทิพย์ ศิริชัย พรรณธนะ(2543).โรคไข้เลือดออก.(พิมพ์ครั้งที่2).พิมพ์ที่บริษัท เรดิเอชั่น จำกัด สำนักงานควบคุมโรคไข้เลือดออก กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข http://www.disthai.com/[/b]
- สำนักพัฒนาวิชาการแพทย์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการวินิจฉัยและรักษาไข้เลือดออกในระดับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด; 2548.8-33.
- แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคไข้เลือดออกเดงกี กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวจสาธารณสุข.(2544).กระทรวจสาธารณสุข
- Sunthornsaj N, Fun LW, Evangelista LF, et al. MIMS Thailand. 105th ed. Bangkok: TIMS Thailand Ltd; 2006.118-33.
- นพ.สมชาญ เจียรนัยศิลป์.ไข้เลือดออก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่267.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2544
- คู่มือวิชาการโรคติดเชื้อเดงกีและโรคไข้เลือดออกเดงกีด้านการแพทย์และสาธารณสุข.สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลงกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข.2558
- กันยา ห่านณรงค์.โรคไข้เลือดออก.จดหมายข่าว R&D NEWSLETTER.ปีที่23.ฉบับที่1 ประจำเดือนมกราคม-มีนาคม2559.หน้า 14-16
- รักษา”ไข้เลือดออก”แนวใหม่ใช้ใบมะละกอคั้นน้ำกินเพิ่มเกล็ดเลือด.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.dailinews.co.th*politics/232509
- World Health Organization Regional Office for South-East Asia. Guidelines for treatment of Dengue Fever/Dengue Hemorrhagic Fever in Small Hospitals,1999:28. Available from: http://www.searo.who.int/linkfiles/dengue_guideline-dengue.pdf Accessed May 10, 2012.
- (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.”ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever/DHF)” หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.
- สถานการณ์โรคไข้เลือดออก พ.ศ.2554.กลุ่มโรคไข้เลือดออก สำนักงานโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
- Lacy CF, Armstrong LL, Go
ฐานข้อมูลผิดพลาด |
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
|
|