(https://www.img.in.th/images/e97182058de718fd3ece011b0198f8bf.md.jpg)โรคภูมิแพ้ (Allergy)- โรคภูมิแพ้ เป็นยังไง โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่เกิดจาการตอบสนองของร่างกายมากผิดปกติต่อสิ่งเร้าบางประเภท ก็เลยทำให้มีการเกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้นั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นกับคนที่มีลักษณะอาการไวเปลี่ยนไปจากปกติต่อสิ่งที่สามารถก่อกำเนิดภูมิแพ้ ซึ่งธรรมชาติสารเหล่านี้บางทีอาจไม่นำไปสู่ภูมิแพ้กับคนธรรมดาทั่วไป โดยโรคภูมิแพ้เกิดได้ทุกเพศทุกวัย เด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี มักพบว่าเป็นบ่อยครั้งกว่าช่วงอายุอื่นๆเหตุเพราะเป็นช่วงขณะที่โรคแสดงออกภายหลังได้รับ “ตัวกระตุ้น” มานานพอเพียง เช่นไรก็บางบุคคลอาจเริ่มต้นเป็นโรคภูมิแพ้ตอนเป็นผู้ใหญ่และก็ได้ โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่มักพบทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย จากการสำรวจในประเทศ ไทยพบว่ามีอุบัติการณ์มากขึ้น 3 - 4 เท่าภายในช่วงระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา จากรายงานการเกิดภาวการณ์ภูมิแพ้ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จำนวนราวๆ 10-15 ล้านคน แล้วก็มีทิศทางเพิ่มขึ้นอีก 3-4 เท่าด้านใน 5 ปี ข้างหน้า
ยิ่งไปกว่านี้ จำพวกของโรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้เป็น 4 โรค เป็น
- โรคหืด (Asthma)
- โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) หรือ โรคแพ้อากาศ
- โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic conjunctivitis)
- โรคผื่นภูมิแพ้ (Atopic eczema)
- สิ่งที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ เกิดจากการที่ร่างกายผลิตภูมิคุ้มกันเพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมที่รับเข้ามา ด้วยการขับสารตัวกลางออกมาต่อต้านสิ่งปลอมปนพวกนั้น กล่าวคือ จะสร้างโปรตีนอีกชนิดหนึ่งขึ้นมา (ทางหมอเรียกว่า อิมมูนโนโกบูลิน-อี) ซึ่งมีคุณสมบัติถูกใจจับกับเซลล์พิเศษ 2 ประเภทเป็นมาสต์เซลล์ แล้วก็เม็ดเลือดขาวจำพวกเบโซฟิล รวมทั้งสารตัวกลางนั้นก็ทำให้เกิดการอักเสบรวมทั้งอาการแพ้แก่ร่างกายด้วย การเกิดโรคภูมิแพ้เป็นเหตุมาจากภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำงานมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ต่อบางอย่างที่อาจปลอดภัยต่อคนทั่วไป แต่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวบุคคลที่แพ้แค่นั้น สารที่ร่างกายรับเข้ามาและก็ทำให้มีการเกิดอาการแพ้ในลักษณะต่างๆเรียกว่า “สารก่อภูมิแพ้” โดยร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้ด้วยการแสดงอาการแพ้ในรูปแบบที่ต่างกัน ตามชนิดของโรคภูมิแพ้จำพวกต่างๆโดยสารภูมิคุ้มกันซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ในเลือด มีหน้าที่รอคุ้มครอง และก็ขจัดเชื้อโรคแล้วก็สิ่งเจือปนที่เข้าสู่ร่างกาย ทำปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้บางประเภทที่คนป่วยแพ้ ดังเช่นว่า ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้อาหารโดยมาก มักแพ้อาหารพวกไข่ นม ถั่ว ปลารวมทั้งอาหารทะเล การแพ้ของกินจะเกิดขึ้นกับคนที่มีร่างกายแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ในของกินชนิดนั้นแค่นั้น คนที่ไม่ได้เจ็บไข้จะไม่ปรากฏอาการแพ้ สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยจากภูมิแพ้จมูกหรือภูมิแพ้อากาศ มักมาจากไรฝุ่นละออง เชื้อรา ต้นหญ้า ละอองเกสร ขนสัตว์ ที่ฟุ้งกระจายอยู่กลางอากาศและก็เข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจ สารก่อภูมิแพ้ที่ไปสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังมีหลายแบบ ตัวอย่างเช่น สารเคมีจากสินค้าทำความสะอาด ถุงมือยาง ยาย้อมสีผม โลหะ เงิน หรือแม้กระทั้งผงฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่ลอยปะปนอยู่ในอากาศ ส่วนภูมิแพ้ตา มักมีต้นเหตุที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ประเภทไรฝุ่น ควัน สารเคมี ละอองเกสร ขนหรือสะเก็ดผิวหนังของสัตว์ที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศรวมทั้งกระแสลม ไปสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุดวงตา นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการระคายรวมทั้งมีลักษณะแพ้ที่แสดงออกทางดวงตาในหลายรูปแบบเป็นต้น
แบบอย่าง กลไกการเกิดภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากฝุ่นผงรวมทั้งควัน มักเกี่ยวพันกับระบบภูมิต้านทาน โดยสิ่งที่พวกเราแพ้ในฝุ่นคือโปรตีนนั่นเอง ซึ่งคล้ายคลึงกับกลไกการแพ้อาหารในบางคน อย่างเช่น แพ้กุ้ง เพราะโปรตีนบางสิ่งบางอย่างในเนื้อหรือเปลือกกุ้ง ดังนี้ ในครั้งแรกที่รับฝุ่นดังที่กล่าวมาแล้วเข้าไป ร่างกายจะยังไม่แพ้ แต่ระบบภูมิคุ้มกันจะทำความเข้าใจว่าโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบของฝุ่นผงดังกว่างนั้นเป็นสิ่งแปลกปลอก แล้วก็ต่อจากนั้นจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนจำพวกดังที่กล่าวมาข้างต้น (lgE) เมื่อได้รับฝุ่นละอองประเภทเดียวกันในคราวต่อมา โปรตีนในฝุ่นละอองจะเข้าไปจับกับ (lgE) ซึ่งอยู่บนเม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวนี้แตกออกและปล่อยสารชนิดหนึ่งเรียกว่าฮีสตามีน (Histamine) ออกมา นำมาซึ่งการทำให้เยื่อบุจมูก เยื่อบุตา คอ มีการอักเสบ บวม แล้วก็สร้างมูกออกมามากยิ่งกว่าธรรมดา ส่งผลให้เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล รวมทั้งคันจมูกตามมา
ดังนี้ ต้นสายปลายเหตุที่เกิดโรคภูมิแพ้เหตุเพราะระบบภูมิคุ้มกันมีปฏิกิริยาที่ไวเกินไปในการสนองตอบสิ่งเจือปนแบบไม่ดีเหมือนปกติถึงแม้ว่าสิ่งแปลกปลอมนั้นปลอดภัยต่อสภาพทางด้านร่างกาย แต่ว่าเป็นความหลงผิดของร่างกายที่คิดว่าสิ่งเจือปนบางอย่างทำให้เป็นอันตรายจึงมีปฏิกิริยาสนองตอบ โดยการผลิตภูเขามิต้านทางขึ้นเพื่อกำจัดและทำลายสิ่งปลอมปนนั้น และก็แทนที่สารภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นจะเป็นเครื่องคุ้มครองปกป้องร่างกาย กลายเป็นแรงกระตุ้นให้ร่างกายเจ็บปวดเอง จึงนำมาซึ่งอาการแพ้นั่นเอง
- อาการของโรคภูมิแพ้ พวกเราสามารถแบ่งลักษณะโรคภูมิแพ้ตามระบบอวัยวะที่แสดงอาการได้ 6 อย่าง คือ
- อาการแพ้ทางตา เรียกว่า เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic conjunctivitis) คนเจ็บจะมีลักษณะคันรวมทั้งเคืองตา ตาแดง ร้องไห้ หนังตาบวม แสบตา
- อาการแพ้ทางจมูก เรียกว่า โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic rhinitis) หรือโรคแพ้อากาศ ผู้ป่วยจะมีลักษณะจาม คันจมูก น้ำมูกไหลออกมาทางจมูก หรือไหลลงคอ คัดจมูก คันเพดานปากหรือคอ
- อาการแพ้ทางหลอด เรียกว่า โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืด (asthma) คนไข้จะมีลักษณะ ไอ หอบอ่อนแรง หายใจขัด แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด หายใจไม่สะดวกหรือหายใจเร็ว โดยยิ่งไปกว่านั้นเวลาตอนค่ำ ช่วงเวลาเช้ามืด หรือขณะออกกำลังกาย หรือขณะเจ็บป่วยหวัด
- อาการแพ้ทางผิวหนัง เรียกว่า โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (atopic dermatitis) คนเจ็บจะมีอาการคัน มีผดผื่นเรียกตัว ผื่นมักแห้ง แดง มีสะเก็ดบางๆหรือมีน้ำเหลืองแห้งกรังปกคลุมอยู่ ในเด็กตัวเล็กๆ มักเป็นที่แก้ม, ก้น, หัวเข่าแล้วก็ศอก ในเด็กโตมักเป็นที่ข้อพับของแขนและขา ในรายที่เป็นเรื้อรัง ผิวหนังรอบๆที่เป็นจะครึ้มตัวขึ้นรวมทั้งมีสีคล้ำขึ้น นอกจากผิวหนังอาจเกิดการอักเสบจากการสัมผัสกับสารบางประเภทที่แพ้ได้ อาทิเช่น ผงซักฟอก เครื่องแต่งตัว ผิวหนังอาจมีการอักเสบเป็นตุ่มนูนคัน หรือใหญ่เป็นปื้นนูนแดง และก็คันมากที่เรียกว่า ผื่นคัน ซึ่งชอบมีต้นเหตุจากการแพ้อาหาร โดยยิ่งไปกว่านั้นอาหารทะเล หรือ แพ้แมลงกัดต่อย หรือแพ้ยา
- อาการแพ้ ทางเดินอาหาร เรียกว่า โรคแพ้อาหาร (food allergy) คนเจ็บจะมีลักษณะอาการ คลื่นไส้ คลื่นไส้ ท้องเสีย ปากบวม ปวดท้อง อาการท้องอืด อาจมีอาการของระบบฟุตบาทหายใจ (ดังเช่น อาการหอบหืด, แพ้อากาศ) แล้วก็ผิวหนัง (ได้แก่ ผื่นคัน, ลมพิษ) ร่วมด้วย อาหารที่เป็นต้นเหตุได้บ่อย ได้แก่ นมวัว ไข่ ถั่ว อาหารทะเล ผักและก็ผลไม้บางจำพวก ผงชูรส ยากันบูด สารแต่งกลิ่นรวมทั้งสี
- อาการช็อกจากภูมิแพ้ อาการภูมิแพ้จำพวกนี้จัดว่าน่าสะพรึงกลัวแล้วก็รุนแรงที่สุด มักเกิดขึ้นจากการแพ้สารหรือยาที่ฉีดมากกว่า แต่อาจแพ้สารหรือยาที่กินเข้าไป หรือยาที่นำมาทาผิวหนังก็ได้ ซึ่งพบน้อยกว่า การดูแลและรักษาไม่ได้ทำยาก หากพบแพทย์ทันการ แต่ถ้าหากเป็นรุนแรงมาก หรือรักษาไม่ทันบางทีอาจถึงแก่กรรมได้
- สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำไปสู่โรคภูมิแพ้ ทางพันธุกรรม ถ้าบิดาหรือแม่เป็นโรคนี้ เปอร์เซ็นต์ที่ลูกจะเป็น 30% แต่ว่าถ้าเกิดทั้งพ่อรวมทั้งแม่เป็น ลูกมีสิทธิ์เป็นถึง 50% โดยมีการศึกษาวิจัยและก็มีหลักฐานหลายแบบที่ทำให้เชื่อว่า โรคนี้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ด้วยเหตุว่าถ้าหากอีกทั้งบิดาและก็แม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ปริมาณร้อยละ 30 ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เพียงคนเดียว ลูกมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ได้ปริมาณร้อยละ 25 แม้กระนั้นถ้าหากบิดามารดาไม่มีผู้ใดเป็นเลย ลูกมีโอกาสเป็นจำนวนร้อยละ 12.5 เอาง่ายๆก็คือ หากบิดาและก็แม่เป็นภูมิแพ้ ลูกได้โอกาสเป็นภูมิแพ้สูงขึ้นมากยิ่งกว่าเด็กอื่นถึง 2-4 เท่าเลยทีเดียว สัมผัสสารก่อภูมิแพ้ คือ สารที่ทำให้คนป่วยเกิดอาการของโรคภูมิแพ้ซึ่งอาจเป็นสารที่ร่างกายได้รับโดยการ ฉีด รับประทาน หายใจ สัมผัส หรือ ถูกกัดต่อยบนผิวหนังก็ได้ มีทั้งสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน (ตัวอย่างเช่น ไรฝุ่นผง แมลงสาบ เศษผิวหนังรวมทั้งขนของสัตว์เลี้ยง เชื้อรา ควันบุหรี่) และสารก่อภูมิแพ้นอกบ้าน (ตัวอย่างเช่น ฝุ่นผงในสถานที่ทำงาน เกสรดอกไม้ ควันต่างๆ) นอกจากนั้น อุณหภูมิของอากาศก็เป็นอีกหนึ่งที่มาของอาการภูมิแพ้ อากาศหนาวเย็นจะมีผลให้มีลักษณะแพ้ง่ายขึ้น ซึ่งสารก่อภูมิแพ้พวกนี้จะเข้าไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ก่อเป็นภูมิแพ้ขึ้นได้
- กรรมวิธีรักษาโรคภูมิแพ้ การวิเคราะห์โรค
(https://www.img.in.th/images/44b9e3fafe7dd97353e0720670b83c01.jpg)
ซักประวัติ โดยอาศัยลักษณะเฉพาะของอาการ เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้และแพทย์จะถามหาโรคภูมิแพ้อื่นๆ(atopic diseases) รวมทั้งลักษณะโรคเหล่านั้น ที่คนไข้บางทีอาจเป็นด้วย อย่างเช่น โรคหอบหืด โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ นอกเหนือจากนั้นจะถามเรื่อง อาชีพ สัตว์เลี้ยง และสิ่งแวดล้อม ของคนเจ็บในขณะที่บ้านแล้วก็สถานที่ทำงานรวมทั้งสารที่คนป่วยมีความรู้สึกว่าตนแพ้ ประวัติครอบครัวก็มีส่วนช่วยสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรค โดยคนป่วยโรคภูมิแพ้อาจมีบิดา แม่ หรือญาติโกโหติกา เป็นโรคนี้ได้
ตรวจร่างกาย หมอจะตรวจร่างกายข้างนอกว่ามีอาการแสดงใดบ้างที่บ่งชี้ถึงโรคภูมิแพ้ ดังเช่นว่า ตรวจตา จมูก ลำคอ ช่วงอก และก็ผิวหนังทั่วๆไป ในบางรายอาจต้องตรวจการดำเนินการของปอดด้วยเครื่องเป่าลม หรือบางทีอาจจะต้องเอกซเรย์เพื่อดูลักษณะการทำงานของปอดร่วมด้วย
การหา IgE ที่ผิวหนัง โดยการทดลองภูมิแพ้ทางผิวหนัง (allergy skin test) จะช่วยทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้เจ็บป่วยแพ้ ทำให้คนเจ็บหลีกเลี่ยงได้ถูก และก็ให้ข้อมูลในเรื่องที่จะต้องรักษาคนไข้ด้วยแนวทาง immunotherapy การตรวจวิธีการแบบนี้เป็นวิธีที่มีความไวรวมทั้งความจำเพาะสูงสุด สำหรับในการตรวจวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ มี 2 วิธีเป็น
- Skin prick test ใช้น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ หยดลงบนผิวหนังที่แขน แล้วใช้เข็มสะกิดกึ่งกลางหยดน้ำยา เพื่อเปิดผิวหนังชั้นบนออก ถ้าหากผู้เจ็บป่วยมี IgE ที่เฉพาะเจาะจงต่อสารก่อภูมิแพ้นั้น ก็จะเกิดปฏิกิริยา allergic inflammation ขึ้นโดยเกิดรอยนูน (wheal) แล้วก็ผื่นแดง (flare) อ่านผลประโยชน์ในเวลา 20 นาที หลังการทดลอง
- Intradermal test ใช้น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ จำนวน 0.02 มล.ฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง ให้กำเนิดรอยนูนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 มัธยมม.อ่านผลในเวลา 20 นาที หลังฉีดโดยวัดขนาดของรอยนูนที่ขยายใหญ่ขึ้น
- สารก่อภูมิแพ้ที่เอามาทดสอบ มักเป็นสารก่อภูมิแพ้ ที่พบได้ทั่วไป ดังเช่น ฝุ่นบ้าน ตัวไรในฝุ่น แมลงต่างๆที่อาศัยในบ้าน เช่น แมลงสาบ แล้วก็จะมี positive (histamine) รวมทั้ง negative control (carrier substance) ร่วมสำหรับเพื่อการทดสอบด้วย เพื่อแน่ใจว่าคนเจ็บมิได้แพ้สารที่ใช้ละลายในสารก่อภูมิแพ้ที่นำมาทดสอบ และผิวหนังตอบสนองได้ดิบได้ดีต่อ histamine โดยทั่วไปจะทดลองโดยแนวทาง skin prick test ก่อนโดยถือว่าเป็น screening test หากผล skin prick test ได้ผลลบ จึงทดสอบโดยวิธี intradermal test ถัดไป ถ้าเกิด skin prick test ให้ผลบวกชัดเจน ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกระทำทดลองโดยวิธีintradermal test อีก เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิด systemic reaction การทดสอบโดยตรวจหา IgE ที่ผิวหนังนี้ ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือตระเตรียมสำหรับ resuscitation ด้วยเสมอ เผื่อในกรณีกำเนิด anaphylactic reaction
- การหาจำนวน IgE ในเลือด ซึ่งหาได้ทั้งยัง total IgE คือเป็นระดับของ IgE รวมทั้งสิ้น ไม่เฉพาะเจาะจงต่อสารก่อภูมิแพ้จำพวกใด ซึ่งหาได้โดยแนวทาง Paper Radio – Immunosorbent Test (PRIST) รวมทั้งหา specific LgE คือหาระดับ IgE ที่เฉพาะต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละประเภท ซึ่งหาโดยแนวทาง Radio Allergosorbent test (RAST) การหา total IgE ไม่ช่วยมากเท่าไรนักสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรค ส่วนการหา specific IgE เป็นที่ชื่นชอบในต่างถิ่น เพราะเหตุว่าไม่มีโอกาสเสี่ยงต่อ systemic reaction คนป่วยไม่มีความจำเป็นที่ต้องงดยา ไม่ต้องใช้เวลาของคนเจ็บนานสำหรับในการทดสอบ ไม่เหมือนวิธีการทำ skin test ทำให้สะดวกเพียงแต่เจาะเลือด 1 ครั้ง หาสารที่คนป่วยแพ้ได้หลายแบบ แม้กระนั้นในประเทศไม่นิยมใช้ เนื่องมาจากราคาแพงแพง
- X-ray sinus เพื่อมองว่าคนเจ็บโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มีโรคไซนัสอักเสบร่วมด้วยหรือเปล่า ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบมาก และควรจะทำทุกราย จากการเรียนรู้ plain film sinus ในคนไข้โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ที่ รพ.ศิริราช ปริมาณ 356 ราย พบว่ามีพยาธิภาวะเกิดขึ้นที่ sinus ถึงปริมาณร้อยละ 40
การรักษาโรคภูแพ้ อาจแบ่งได้ 3 วิธี คือ- การใช้ยาสำหรับการรักษา ตอนนี้มียารักษาลักษณะของโรคภูมิแพ้หลายสิบจำพวก แม้กระนั้นพอเพียงจะจำแนกประเภทได้ 4 ประเภท เป็น
ยาแก้แพ้ (แอนติฮิสตะมีน) ที่คนจำนวนมากรู้จักกันดี คือ คลอร์เฟนิรามีน (ยาแก้แพ้เม็ดสีเหลือง ที่จริงแล้วมีหลายสีสุดแท้แต่บริษัทผลิต) ปัจจุบันมียาแก้แพ้ผลิตออกมากว่า 30 ประเภท ราคาตั้งแต่เม็ดละไม่กี่เงินจนกระทั่ง 7-8 บาท เชื่อว่าสมรรถนะไม่ได้มีความแตกต่างกัน ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้จำนวนมากรับประทานแล้วง่วง คอแห้งผาก อย่างไรก็ดี เดี๋ยวนี้มียาแบบใหม่ๆที่รับประทานแล้วไม่ง่วงงุนรวมทั้งมีฤทธิ์แก้แพ้ได้นาน โดยรับประทานเพียงแค่วันละ 1-2 ครั้งก็พอเพียง แต่ว่าข้อตำหนิคือ ราคายังแพงอยู่ ยานี้ใช้รักษาอาการคันจมูก จาม ลดน้ำมูก รวมทั้งรักษาลมพิษผื่นคัน
ยาแก้คัดจมูก มักเป็นยาทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว และก็ทำให้น้ำมูกลดน้อยลง คนไข้จึงรู้สึกสบายขึ้น มีอีกทั้งยารับประทานและก็ยาพ่น แต่ยาพ่นมีปัญหาเป็นเมื่อใช้แล้วในช่วงแรกจะได้ผลดี แต่ว่าถ้าหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆจะทำให้ดื้อยาและก็เป็นมากขึ้นได้ ควรต้องใช้ในระยะสั้นๆเท่านั้น
ยาขยายหลอดลม (ยาแก้โรคหืด) สำหรับคนที่แพ้กระทั่งมีอาการเป็นหืด มียากิน ยาฉีด แล้วก็ยาพ่นโดยทั่วไปยังนิยมใช้ยากิน ส่วนยาพ่น ในต่างชาติเป็นที่ยอมรับกันมากมาย ส่วนในประเทศไทยกำลังเป็นที่ยอมรับมากเพิ่มขึ้น ข้อดีก็คือ ส่งผลใกล้กันน้อย ไม่ดูดซับเข้ากระแสเลือดแล้วก็ออกฤทธิ์เร็ว แต่มีข้อเสียคือ ก่อนใช้ควรจะมีการทำให้ดูเป็นตัวอย่างการใช้อย่างแม่นยำ มิฉะนั้นจะไม่ได้ผล ส่วนยาฉีดจะใช้กรณีที่หอบมากมายรวมทั้งกินยา พ่นยาแล้วไม่ได้เรื่อง
ยาคุ้มครองภูมิแพ้ มีอีกทั้งยารับประทานแล้วก็ยาพ่น ยากินคุ้มครองปกป้องภูมิแพ้เห็นผลในเด็กมากยิ่งกว่าคนแก่ ส่วนยาพ่นบางจำพวกเป็นประโยชน์ในคนแก่ด้วย
- การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ตัวอย่างเช่น จัดห้องนอนรวมทั้งบ้านให้ไม่ยุ่งยากต่อการขจัดฝุ่นผงหรือมีฝุ่นผงน้อยที่สุด กรรมวิธีการสำคัญๆก็คือ อย่าให้บ้านรก มีเครื่องเรือนเท่าที่จำเป็น เฟอร์นิเจอร์ควรเป็นไม้ พลาสติก หรือหุ้มเบาะหนัง ไม่ควรบุนวม หุ้มห่อผ้า เพื่อจะได้ลดฝุ่นรวมทั้งทำความสะอาดง่าย พื้นควรจะเป็นพื้นธรรมดาหรือไม้ขัดเงา ไม่สมควรปูพรม การทำความสะอาดพื้น ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหรือเช็ด หรือใช้เครื่องดูดฝุ่น ไม่สมควรใช้ไม้ปัดกวาด แม้กระนั้นบางทีอาจให้คนอื่นปัดกวาดในตอนที่คุณไม่อยู่ก็ได้ ไม่สมควรนำสัตว์เลี้ยงเข้าในบ้าน แพ้ไรฝุ่นผง ควรจะหุ้มห่อที่พักผ่อนด้วยหนังหรือพลาสติก (ก่อนนอนปกคลุมด้วยผ้าที่มีไว้เพื่อปูที่นอนอีกชั้นสูงสุด) จะได้ใช้น้ำอุ่นถูทุกครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือนได้ ควรจะใช้หมอนจำพวกใยสังเคราะห์รวมทั้งซักน้ำร้อนทุกหนึ่งเดือนเป็นอย่างน้อย การผึ่งแดดมิได้ฆ่าไรฝุ่นผงแต่อย่างใด ไม่สมควรปลูกต้นไม้ดอกไม้ในห้องนอน เพราะว่าเป็นแหล่งเปียกแฉะอย่างหนึ่ง ควรกำจัดเพื่อลดปริมาณเชื้อรา หน้ากากเครื่องแอร์ที่เฉอะแฉะหรือผนังที่เปียกชื้น ควรที่จะใช้น้ำยาไลซอลเพื่อกำจัดเชื้อรา การหลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองต่างๆก็มีความจำเป็นเป็นควันจากบุหรี่ ควันไฟ และก็กลิ่นแรงทั้งหลาย
- แนวทางภูมิคุ้นกันบำบัด (Immuno therapy) หรือการฉีดวัคซีน แม้เพียรพยายามเลี่ยงสิ่งที่แพ้อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว และก็รับประทานยารักษาอาการที่แพ้ต่างๆแล้วอาการยังเป็นอยู่มาก หรือต้องใช้ยาหลายตัว หมออาจไตร่ตรองแนะนำให้ฉีดยาภูมิแพ้ จุดประสงค์ของการฉีดยาภูมิแพ้ ก็คือ อยากได้เปลี่ยนแปลงสภาพการโต้ตอบของร่างกายจากภูมิแพ้ให้แปลงเป็นมีภูมิต้านทานแพ้แทน แนวทางการฉีดวัคซีนภูมิแพ้มีว่าภายหลังทดสอบทางผิวหนังจนทราบดีแล้วว่าแพ้อะไรบ้าง แพทย์ก็จะนำสารสกัดที่แพ้มาฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนัง โดยเริ่มจากขนาดต่ำๆและก็ค่อยๆเพิ่มขนาดแล้วก็ปริมาณมากขึ้น โดยขั้นแรกฉีดทุกหนึ่งสัปดาห์จนกระทั่งขนาดสมควร ต่อไปจะฉีดห่างออกไปเรื่อยๆจากทุกหนึ่งสัปดาห์ในที่สุดเป็นทุกเดือนถึงเดือนครึ่ง เมื่ออาการแพ้ดีขึ้นมากและก็ลดขนาดยารับประทานต่างๆได้ หมายความว่าได้ผล ซึ่งมักจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 3 เดือนกว่าจะเห็นผล ถัดไปจะฉีดทุก 1-2 เดือนกระทั่งครบ 3-4 ปี (เฉลี่ยแล้วฉีดปีละ 6-12 ครั้งเพียงแค่นั้น) ท่านใดที่อาการแพ้หายไป และหยุดยาต่างๆได้ เมื่อครบกำหนด 3-4 ปี แพทย์จะพิเคราะห์หยุดฉีดยาท้ายที่สุด
- การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้
- ใส่หน้ากากคุ้มครองปกป้องฝุ่นระหว่างที่ทำงานกับฝุ่น
- ชำระล้าง เอาวัตถุที่ไม่จำเป็นออกมาจากห้องทำงานรวมทั้งห้องนอนให้มากมายครั้งสุด ในห้องนอนควรจะมีสิ่งประดับน้อยชิ้นที่สุดเพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้เป็นแหล่งเก็บฝุ่น
- ในกรณีแพ้ไรฝุ่น ควรจะทำความสะอาดเครื่องนอน (ที่พักผ่อน หมอน ผ้าห่ม) โดยซักด้วยน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15-20 นาที อย่างต่ำทุก 2 อาทิตย์
- ควรตัดหญ้า หรือ วัชพืชรอบๆบ้านเป็นประจำเพื่อลดปริมาณเกสรแล้วก็สารก่อภูมิแพ้ในวัชพืชและดอกไม้
- ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน อาทิเช่น สุนัข แมว นก
- กำจัดเศษอาหารรวมทั้งขยะต่างๆรวมทั้งปิดฝาท่อเพื่อระบายน้ำเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงสาบ
- ชำระล้างเครื่องปรับอากาศเป็นประจำแล้วก็ใช้แบบที่มีเครื่องร่อนอาการจำพวก HEPA filter (High Efficiency Particulate Air Filter)
- ระวังอย่าให้บ้าน ห้องน้ำ ชื้นแฉะ และไม่ควรจะปลูกต้นไม้ในบ้านเพาะทำให้เชื้อราเติบโต
- หลบหลีกบริเวณที่มีควันจากบุหรี่ ควันไฟ รวมทั้งรอบๆที่มีฝุ่นผงมากมาย
- ออกกำลังกายให้บ่อย แม้มีลักษณะอาการหอบเหน็ดเหนื่อยเวลาออกกำลังกาย ควรสูดยา คุ้มครองป้องกันอาการหอบก่อน
- ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น ไม่สมควรซื้อยามาใช้เอง เนื่องจากว่าบางประเภทถ้าหากใช้สม่ำเสมอนานอาจมีอันตรายได้
- การติดต่อของโรคภูมิแพ้ ด้วยเหตุว่าโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ไม่ปกติที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้ของภูมิต้านทานในร่างกายของบางบุคคลแค่นั้น จึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนรวมทั้งจากสัตว์สู่คน (แต่มีการสืบทอดทางกรรมพันธุ์ได้)
- การคุ้มครองตัวเองจากโรคภูมิแพ้ เป็นการลดการเสี่ยงสำหรับในการกำเนิดโรค คือการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์รวมทั้งถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมบ่อย แล้วก็หมั่นตรวจเช็คสุขภาพประจำปี รวมทั้งเนื่องมาจากโรคภูมิแพ้เป็นโรคไม่ติดต่อ รวมทั้งจะกำเนิดกับผู้ที่ร่างกายแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้แค่นั้น โดยเหตุนั้น การป้องกันส่วนมากจึงเป็นแนวทางการสำหรับคนไข้ เพื่อไม่ให้อาการแพ้นั้นกำเริบรุนแรง อาทิเช่น เลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ถ้ามีอาการป่วยเป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว ควรเลี่ยงการสัมผัสหรือเผชิญกับสิ่งที่มีสารที่ตนแพ้ ดังเช่น ผู้เจ็บป่วยที่แพ้อาหารทะเล ควรจะเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำมาจากสัตว์สมุทรทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหารดัดแปลง อาหารสด หรืออาหารแห้ง ผู้ที่แพ้ฝุ่นละอองควรเลี่ยงการเดินทางบนท้องถนนที่มีฝุ่นควัน ไม่ลดกระจกลงขณะขึ้นรถอยู่บนรถยนต์ หลีกเลี่ยงการเดินผ่านเขตรอบๆที่มีการก่อสร้าง รวมทั้งดูแลความสะอาดในบ้านรวมทั้งห้องนอน ให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก แสงแดดเข้าถึง เพื่อป้องกันการสะสมฝุ่นรวมทั้งไรฝุ่นที่จะนำไปสู่อาการแพ้ได้ เขียนบันทึก ลงบันทึกประจำวันว่าทำกิจกรรมอะไรหรือกินอะไรแล้วมีลักษณะยังไง เป็นการเรียนอาการแพ้ รวมถึงให้ทราบสิ่งที่แพ้รวมทั้งสิ่งที่ไม่แพ้ เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่แพทย์แพทย์ รวมทั้งการวางแผนรักษาอย่างเหมาะควรต่อไป กินยา ยาจะช่วยคุ้มครองรวมทั้งทุเลาอาการแพ้ โดยผู้เจ็บป่วยภูมิแพ้จะต้องกินยาจากที่หมอกำหนด ไม่หยุดใช้ยาโดยพลการ เนื่องจากว่าอาจมีผลกระทบ มีลักษณะดื้อยา หรือมีลักษณะอาการแพ้ที่กำเริบขึ้น จัดแจงในภาวะฉุกเฉิน สำหรับคนเจ็บที่มีลักษณะอาการแพ้ร้ายแรง ควรจะแจ้งอาการป่วยของตนกับบุคคลสนิทสนม หรือในบางราย หมอจะให้ผู้เจ็บป่วยพกยาฉีดเอพิเนฟรินสำหรับฉีดรักษาด้วยตัวเองถ้าหากอาการไม่ดีขึ้น รวมทั้งจัดเตรียมเบอร์โทรเร่งด่วนที่จำเป็นเอาไว้ภายในคราวที่มีความเร่งด่วนเสมอ
นอกจากนี้ควรไปพบหมอเมื่อมีลักษณะอาการต่อไปนี้- น้ำมูลไหล คัดจมูก จาม คันจมูกเรื้อรัง
- ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
- ไอมากมายหรืออิดโรยเวลาเป็นหวัด ตอนบริหารร่างกาย หรือตอนค่ำ
- ผื่นคันเรื้อรังตามผิวหนังส่วนต่างๆของร่างกาย
- เป็นลมพิษบ่อยครั้ง
- สัมผัสสารอะไรบางอย่างแล้วผื่นขึ้น
- กินอาหารบางจำพวกแล้วมีผื่น น้ำมูกไหล หรือแน่นหน้าอก
- คันตา แสบตา น้ำตาไหลเรื้อรัง
- สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้อง/รักษาโรคอาการหอบหืด
- ถั่งเช่า มีคุณประโยชน์ลดการติดเชื้อและทุเลาอาการ อย่าง ไซนัสอักเสบ โรคหอบหืด ถั่งเช่ามีฤทธิ์ในการควบคุมสมดุลของ Allergen-reactive helper T cells Type I แล้วก็ II ผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้มักมีการปฏิบัติงานของ Type II มากเกินปกติ อันเป็นต้นเหตุของการเกิดโรค นอกเหนือจากนั้นมีฤทธิ์ลดการจับกุมตัวของสารก่อภูมิแพ้กับระบบภูมิต้านทานของร่างกาย การลดกลไกนี้ลงจะมีผลให้ร่างกายสนองตอบต่อสารก่อภูมิแพ้น้อยลง รวมทั้งยังช่วยลดวิธีการสร้างอิมมูโนมายากลอบูลิน ประเภท อี (IgE) +ที่มากเกินไป ซึ่งเป็นสารเคมีที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้และก็เป็นตัวกระตุ้นให้อาการเกิดขึ้นอีก
- กระเทียม สารอัลลิสินที่สกัดได้จากกระเทียมมีคุณสมบัติ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ช่วยทำให้คนเจ็บไม่เป็นหวัด ช่วยบำบัดอาการของโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
- ไพล เหง