หัวข้อ: โรคเอดส์ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: Saiswatka ที่ มีนาคม 24, 2018, 09:23:36 am (https://uppic.cc/d/aKg)
โรคเอดส์ (Acquired immunodeficiency syndrome. AIDS)
ในปัจจุบันทั่วทั้งโลกเจอสายพันธุ์เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง มากยิ่งกว่า 10 สายพันธุ์ ที่มีการกลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์เดิม กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆทั่วโลก โดยพบได้บ่อยที่สุดที่ทวีปแอฟริกามีมากยิ่งกว่า 10 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่พบได้บ่อยที่สุดในโลก คือสายพันธุ์ซี มากถึง 40% พบในทวีปแอฟริกา ประเทศอินเดีย จีน และประเทศพม่า ส่วนในประเทศไทยพบเชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์เป็น สายพันธุ์เอ-อี (A/E) หรืออี (E) พบได้บ่อยกว่า 95% แพร่ระบาดระหว่างผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่แพร่ระบาดกันในกรุ๊ปรักร่วมเพศ และผ่านการใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้น จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า ตั้งแต่เจอการระบาดของโรคเอดส์ครั้งแรกจนถึงปี พุทธศักราช2558 มีผู้ติดเชื้อไปแล้วกว่า 70 ล้านคนทั่วทั้งโลก รวมทั้งเสียชีวิตไปแล้วกว่า 35 ล้านคน ในตอนที่รายงานของโครงการโรคภูมิคุมกันบกพร่องแห่งยูเอ็น (UNAIDS) พบว่า เหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง/โรคภูมิคุมกันบกพร่อง ในปี 2559 มีผู้ติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องทั่วทั้งโลกสะสม 36.7 ล้านคน เป็นผู้ติดโรครายใหม่ 1.8 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง 1 ล้านคน ในส่วนของประเทศไทยนั้น โดยจากแถลงการณ์ในปีล่าสุดของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (ปี 2557) พบว่าตั้งแต่ปี 2527-2557 ตลอด 30 ปีให้หลังมีผู้เจ็บป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของอีกทั้งภาครัฐแล้วก็เอกชนทั้งหมดทั้งปวง 388,621 ราย รวมทั้งมีคนป่วยเสียชีวิต 100,617 ราย โดยในปีต่อมา (ปี 2558) มีการคาดราวๆจำนวนผู้ป่วยเอดส์และติดโรคเอชไอวีในประเทศไทยเป็นจำนวนทั้งปวงราวๆ 1,500,000 คน
เนื่องด้วยผู้ติดเชื้อโรคเอชไอวีจะมีการเปลี่ยนของร่างกายแตกต่างกันไป ก็แล้วแต่จำนวนของเชื้อและระดับภูมิคุ้มกัน (จำนวน CD4) ของร่างกาย โดยเหตุนั้นโรคเอดส์ จึงสามารถแบ่งได้ 3 ระยะร่วมกันดังต่อไปนี้
ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการ แต่ว่าเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะแบ่งตัวเจริญขึ้นไปเรื่อยๆแล้วก็ทำลาย CD4 จนมีปริมาณต่ำลง โดยเฉลี่ยราวปีละ 50-75 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร จากระดับธรรมดา (คือ 600-1,000 เซลล์) เมื่อลดลดน้อยลงมากมายๆก็จะเกิดลักษณะการเจ็บเจ็บป่วย ดังนี้อัตราการลดลงของ CD4 จะเร็วช้าสังกัดความรุนแรงของเชื้อเอชไอวี รวมทั้งสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิต้านทานของคนไข้ ระยะนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางรายอาจสั้นเพียงแค่ 2-3 เดือน แม้กระนั้นบางรายอาจเป็นเวลานานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป
มีลักษณะบางส่วน ระยะนี้หากตรวจ CD4 จะมีเยอะๆกว่า 500 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร คนป่วยอาจมีอาการ ดังนี้ * ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตน้อย * โรคเชื้อราที่เล็บ * แผลแอฟทัส * ผิวหนังอักเสบประเภทเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก * ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) ซึ่งมีต้นเหตุจากเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ข้างๆของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก * โรคโซริอาสิส (สะเก็ดเงิน) ที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบ มีลักษณะปานกลาง ช่วงนี้หากตรวจ CD4 จะมีปริมาณระหว่าง 200-500 เซลล์/ลบ.มม. คนไข้อาจมีอาการทางผิวหนังแล้วก็เยื่อบุช่องปากแบบข้อ ก. หรือไม่ก็ได้ อาการที่บางทีอาจพบได้มีดังนี้ * เริมที่ริมฝีปาก หรืออวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งกำเริบบ่อยครั้ง และก็เป็นแผลเรื้อรัง * งูสวัด ที่มีอาการกำเริบเสิบสานขั้นต่ำ 2 ครั้ง หรือขึ้นพร้อมกันมากกว่า 2 แห่ง * โรคเชื้อราในช่องปาก หรือช่องคลอด * ท้องเสียบ่อยมาก หรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน * ไข้เกิน 37.8 องศาเซลเซียส แบบเป็นๆหายๆหรือต่อเนื่องกันทุกวี่ทุกวันนานเกิน 1 เดือน * ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 แห่งในบริเวณไม่ต่อเนื่องกัน (อาทิเช่น คอ จั๊กกะแร้ ขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน * น้ำหนักลดเกินปริมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่เคยทราบต้นสายปลายเหตุ * ปวดกล้ามและข้อ * ภูมิแพ้เรื้อรัง * ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ซึ่งเป็นซ้ำบ่อยมาก
ช่วงนี้คนเจ็บอาจมีอาการดังนี้ * เหงื่อออกมากกลางคืน * ไข้ หนาวสั่น หรือไข้สูงเรื้อรังติดต่อกันยาวนานหลายสัปดาห์หรือเป็นนานเป็นเดือนๆ * ไอเรื้อรัง หรือหายใจหอบอิดโรยจากวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบ * ท้องร่วงเรื้อรัง จากเชื้อราหรือโปรตัวซัว * น้ำหนักลด รูปร่างผ่ายผอม และอ่อนเพลีย * ปวดศีรษะร้ายแรง ชัก สับสน ซึม หรือสลบจากการติดเชื้อในสมอง * ปวดท้อง คลื่นไส้ อ้วก * กลืนทุกข์ยากลำบาก หรือเจ็บเวลากลืน เนื่องจากหลอดอาหารอักเสบจากเชื้อรา * สายตามัวดูไม่ชัด หรือเห็นเงาใยแมงมุมลอยไปมาจากจอตาอักเสบ * ตกขาวบ่อยครั้ง * มีผื่นคันตามผิวหนัง (papulopruritic eruption) * ซีดเผือด * มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกมาจากสภาวะเกล็ดเลือดต่ำ * งงเต็ก ความจำไม่ดี หลงๆลืมๆง่าย ไม่มีสมาธิ ความประพฤติปฏิบัติผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากว่าความไม่ปกติของสมอง * อาการโรคโรคมะเร็งที่เกิดสอดแทรก ตัวอย่างเช่น โรคมะเร็งของฝาผนังเส้นเลือดที่เรียกว่า Kaposi's sarcoma (KS) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง โรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก ฯลฯ ในเด็ก ที่ติดโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง ระยะเริ่มต้นอาจมีอาการน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เมื่อโรคลุกลามเยอะขึ้นก็อาจมีอาการเดินลำบากหรือความก้าวหน้าทางสมองช้ากว่าปกติ และก็เมื่อเป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องเต็มขั้น เว้นเสียแต่มีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแบบเดียวกับคนแก่แล้ว ยังอาจพบว่าแม้เป็นโรคที่พบทั่วๆไปในเด็ก (อย่างเช่น หูชั้นกึ่งกลางอักเสบ ปอดอักเสบ ทอนซิลอักเสบ) ก็มักจะมีลักษณะอาการรุนแรงมากยิ่งกว่าธรรมดา
การวินิจฉัยโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง ขั้นต้นสุดคือ แนวทางในการซักเรื่องราวของผู้เจ็บป่วยรวมทั้งการตรวจร่างกาย ซึ่งมัก จะมีประวัติการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีมาก่อนแล้ว ซึ่งแพทย์สามารถรู้จากการตรวจเลือดว่า มีผลบวกต่อเอชไอวีหรือไม่ นอกเหนือจากนั้นการตรวจร่างกายชอบพบอาการแสดงที่บ่งชี้ว่า คนป่วยอยู่ในระยะของการเป็นโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้ว ตรวจหาสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง โดยวิธีอีไลซ่า (ELISA) จะตรวจพบสารภูมิคุ้มกันหลังติดเชื้อ 3-12 อาทิตย์ (ส่วนมากราว 8 อาทิตย์ บางรายอาจนานถึง 6 เดือน) แนวทางนี้เป็นการตรวจยืนยันด้วยการตรวจกรองขั้นต้น ถ้าเกิดเจอเลือดบวก ต้องกระทำการตรวจรับรองด้วยวิธีอีไลซ่าที่ผลิตโดยอีกบริษัทหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับวิธีตรวจครั้งแรก หรือทำตรวจด้วยวิธี particle agglutination test (PA) ถ้าได้ผลบวกก็สามารถวิเคราะห์ว่ามีการติดโรคเอชไอวี แม้กระนั้นหากให้ผลลบก็จำต้องตรวจรับรองโดยแนวทางเวสเทิร์นบลอต (Western blot) อีกรอบ ซึ่งได้ผลบวก 100% หลังติดโรค 2 อาทิตย์ การเจาะเลือดเพื่อนับปริมาณเม็ดเลือดขาวจำพวก ทีลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวก (CD 4-positive T cell) จะพบว่าจำนวนลดน้อยลงมาก เพราะเชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในเซลล์ชนิดนี้ แล้วก็จะทำลายเซลล์ประเภทนี้ไปเรื่อยๆส่วนใหญ่ถ้าเกิดมีปริมาณของคราวลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวกต่ำลงต่ำยิ่งกว่า 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตรในคนแก่ (ค่าธรรมดา 600 - 1,200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิ เมตร) ระดับของ CD4+ T cell ที่ใช้สำหรับการวินิจฉัย หากเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 12 เดือนจะมี CD4+น้อยกว่า 30% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมดทั้งปวง เด็กอายุ12 - 35 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 25% และก็เด็กอายุ 36 - 59 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 20% โรคที่มีต้นเหตุมากจากติดเชื้อโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องแล้วก็โรคภูมิคุมกันบกพร่องในตอนนี้ ยังไม่อาจจะรักษาให้หายได้ แต่สามารถควบคุมโรครวมทั้งทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานอย่างคนปกติได้ โดยกระบวนการรักษาผู้ติดโรค ไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องแล้วก็คนเจ็บเอดส์ ได้แก่ การใช้ยายับยั้งการเพิ่มปริมาณของเชื้อไวรัสหรือยาต้านทานเชื้อไวรัส ซึ่งจะต้องรับประทานไปตลอดชีวิต เรียกว่า Antiretroviral therapy ซึ่งเราสามารถติดตามผลการรักษาได้จากการเจาะเลือดดูจำนวนเม็ดเลือดขาว CD 4 positive T cell ว่า อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ แล้วก็นับจำนวนเชื้อไวรัสในเลือดได้โดยตรง (Viral load) เดี๋ยวนี้ยาต้านเชื้อไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องมีหลากหลายประเภทได้แก่ ยาที่มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์รีเวิสทรานสคริปเตส (Nucleoside analogues Reverse transcriptase inhibitors) อาทิเช่น ยาชื่อ Zidovudine (AZT), Didanosine (ddI), Zalcitabine (ddC), Stavudine (d4T), Lamivudine (3TC) ยาที่มีฤทธิ์ยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีรีเวิสทรานสคริปเตสที่ไม่ใช่นิวคลีโอไซด์ (Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors) อาทิเช่น ยาชื่อ Delavirdine, Loviride, Nevirapine ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (Protease inhibitors) ตัวอย่างเช่น ยาชื่อ Nelfinavir, Indinavir, Ritonavir, Saquinavir อนึ่ง วิธีการให้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสในปัจจุบันคือ ต้องให้ยาอย่างน้อย 3 ชนิดโดยใช้ยาในกรุ๊ป Nucleoside analogue 2 ตัว ร่วมกับยาในกรุ๊ป Non-nucleoside หรือ Protease inhibitor อีก 1 ตัวรวมเป็น 3 ตัว โดยจำต้องใช้ยาทุกวี่ทุกวันและก็ตรงตรงเวลาที่ระบุโดยเข้มงวด โดยหมอจะพินิจให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้ เมื่อมีลักษณะแสดงของโรคอีกทั้งในระยะต้นเริ่มแล้วก็พักหลัง การให้ยาต้านไวรัสในคนป่วยที่เป็นระยะเดิม (primary HIV infection) สามารถชะลอการดำเนินโรคเข้าสู่ระยะที่ร้ายแรงได้ เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ตรวจเลือดพบว่ามีค่า CD4 ต่ำลงมากยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่มีค่า CD4 อยู่ที่ 200-350 เซลล์/ลบ.มม. อาจไตร่ตรองให้ยาต้านทานไวรัสเป็นรายๆไป อาทิเช่น ในรายที่จำนวนเชื้อไวรัสสูง มีอัตราการลดน้อยลงของ CD4 อย่างเร็ว ความพร้อมเพรียงของคนป่วย ฯลฯ สำหรับการให้ยาควรจะติดตามดูผลกระทบ ซึ่งอาจมีอันตรายต่อคนไข้ หรือทำให้คนเจ็บไม่ยอมกินยาอย่างต่อเนื่อง การใช้ยารักษาโรคติดโรคที่เกิดจากมีภูมิต้านทานขัดขวางโรคบกพร่องหรือเชื้อฉกโอ กาส ขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยติดโรคจำพวกใด อย่างเช่น ติดโรควัณโรคก็ให้ยารักษาวัณโรค ติดโรคราก็ให้ยารักษาเชื้อรา หรือถ้าเป็นโรคโรคมะเร็งก็รักษาโรคมะเร็ง เป็นต้น
จากการเรียนในประเทศต่างๆเท่าที่ผ่านมาไม่พบว่ามีการติดต่อโดยวิธีตั้งแต่นี้ต่อไป * การหายใจ ไอ จามรดกัน * การกินของกิน และกินน้ำด้วยกัน * การว่ายน้ำในสระ หรือเล่นกีฬาร่วมกัน * การใช้ห้องอาบน้ำร่วมกัน * การอยู่ข้างในห้องเรียน ห้องทำงาน ยานพาหนะ หรือการอยู่สนิทสนมกับผู้ติดโรค * การสัมผัส กอด * การใช้ครัว ภาชนะเครื่องครัว จาน แก้ว หรือผ้าที่มีไว้เช็ดตัวด้วยกัน * การใช้โทรศัพท์ด้วยกัน * การเช็ดกยุงหรือแมลงกัด
- ไปพบแพทย์และก็ตรวจเลือดเป็นระยะๆตามที่แพทย์แนะนำ รวมทั้งรับประทานยาต่อต้านเชื้อไวรัสเมื่อมีค่า CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. การกินยาต้านทานเชื้อไวรัสอย่างต่อเนื่องมักจะช่วยทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีรวมทั้งยาวนาน ส่วนใหญ่มักจะยาวนานกว่า 10 ปีขึ้นไป - ดำเนินการ เรียนหนังสือ คบค้าสมาคมกับคนอื่นรวมทั้งปฏิบัติงานกิจวัตรได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจว่าจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกันหรือหายใจรดผู้อื่น - ถ้าเกิดมีความไม่สาบายใจกังวลดวงใจ ควรเล่าความในใจให้ญาติสนิทสหายฟัง หรือขอความเห็นชี้แนะจากหมอ พยาบาล นักจิตวิทยา หรืออาสาสมัครในองค์กรพัฒนาเอกชน - ทำความเข้าใจธรรมชาติของโรค การดูแลและรักษา การดูแลตนเอง จนถึงมีความรู้และความเข้าใจโรคนี้อย่างดีเยี่ยม ก็จะไม่มีความรู้สึกท้อแท้หมดหวัง แล้วก็มีกำลังใจแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นอาวุธอันทรงพลังในการทำนุบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงต่อไป - ช่วยเหลือสุขภาพตนเองด้วยการออกกำลังกายบ่อยๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย (ไม่จำเป็นที่จะต้องทานอาหารเสริมราคาสูง) งดแอลกอฮอล์ บุหรี่ ยาเสพติด นอนพักให้เพียงพอ - สร้างเสริมสุขภาพที่เกี่ยวข้องทางจิตด้วยการฟังเพลง ขับร้อง เล่นกีฬา อยู่สนิทสนมธรรมชาติ ฝึกฝนสมาธิ รุ่งโรจน์สติ สวดมนต์ไหว้พระหรือภาวนาตามลัทธิศาสนาที่เชื่อถือ - เลี่ยงการกระทำที่บางทีก็อาจจะกระจายเชื้อให้คนอื่นโดย
- หลบหลีกการตั้งครรภ์ โดยการคุมกำเนิด เพราะเหตุว่าเด็กอาจมีจังหวะรับเชื้อจากแม่ได้ - คุณแม่ที่มีการติดเชื้อโรค ไม่ควรเลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง - เมื่อมีโรคติดเชื้อชุบมือเปิบสอดแทรก ควรจะคุ้มครองป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆแพร่ให้คนอื่น อาทิเช่น
|