(https://www.img.in.th/images/05efba05531fbf840d0c6aa859e6f51a.jpg)โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) คืออะไร โรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (Myasthenia gravis) โรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกแล้วก็ภาษาละติน แปลว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามอ่อนเพลีย ชนิดหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) ชนิดเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่นำมาซึ่งการทำให้กล้ามลาย (กล้ามเนื้อที่อยู่สำหรับเพื่อการควบคุมของสมอง ซึ่งคือ กล้ามภายนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้สำหรับในการเคลื่อนต่างๆดังเช่นว่า กล้ามเนื้อ แขน ขา ดวงตา ใบหน้า ช่องปาก กล่องเสียง และก็กล้ามกระดูกซี่โครงที่ใช้เพื่อการหายใจ เกิดการเมื่อยล้าจนถึงไม่สามารถดำเนินการหดตัวได้ตามธรรมดา หรืออีกแง่หนึ่งเป็นโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิต้านทานของร่างกายทำงานไม่ดีเหมือนปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามเนื้อของตัวเองก่อให้เกิดอาการกล้ามอ่อนล้า เหตุเพราะไม่อาจจะรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัวได้ โดยคนไข้จะมีลักษณะหนังตาตก ยิ้มได้ลดลง หายใจไม่สะดวก มีปัญหาการพูด การบด การกลืน รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามอ่อนล้าเกิดขึ้นได้ในคนไข้ทุกเพศทุกวัย ตอนนี้ อีกทั้งการดูแลและรักษาทำได้เพียงแค่เพื่อบรรเทาอาการเพียงแค่นั้น
ทั้งนี้ โรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง MG ไม่ใช่โรคใหม่ แม้กระนั้นเป็นโรคที่มีการบันทึกว่าพบคนเจ็บ มาตั้งแต่ 300 ปีกลาย รวมทั้งโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง MG เป็นโรคพบได้ไม่บ่อยนัก ประมาณ 10 ราย ต่อสามัญชน 100,000 คน พบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงคนชรา โดยพบในผู้หญิงมากกว่าในผู้ชายประมาณ 3:2 เท่า ดังนี้พบโรคนี้ในเด็กได้ประมาณ 10%ของผู้ที่เจ็บป่วยที่มีสาเหตุมาจากโรคชนิดนี้ทั้งปวง ในคนแก่สตรี มักพบโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แต่ในคนแก่เพศชาย พบมากโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
- ที่มาของโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (MG) สำหรับในการเคลื่อนไหวกล้ามแต่ละมัด สมองต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท แล้วก็จะมีการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่บริเวณรอยต่อระหว่างเส้นประสาทรวมทั้งกล้ามสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณบริเวณกล้ามเนื้อแต่ละผูกเพื่อให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว คนป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) เมื่อปลายประสาทมีการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่สามารถที่จะส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามได้ เนื่องมาจากร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมากีดกันรวมทั้งทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามไป ซึ่งเมื่อการเช็ดกทำลายขึ้นแล้วนั้น ถึงแม้เซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้เกิดกระแสไฟฟ้าส่งมายังเซลล์กล้ามเช่นไรก็ตาม เซลล์กล้ามเนื้อก็ไม่ทำงานเนื่องจากว่าถูกทำลายไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ส่วนสิ่งที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อยนั้น มักมีต้นเหตุจากปัญหาด้านการแพ้ภูไม่ตนเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาที่มาของอาการกล้ามอ่อนเพลีย ดังต่อไปนี้ สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) และก็การส่งสัญญาณประสาท ปกติระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งปลอมปนที่เข้ามาภายในร่างกาย แม้กระนั้นในคนป่วยกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือกีดกั้นแนวทางการทำงานของสารสื่อประสาทแอซิติเตียนลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามแต่ละมัด ทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจจะหดตัวได้ ดังนี้ อวัยวะที่แพทย์เชื่อว่าเป็นตัวก่อให้เกิดการผลิตสารภูมิต้านทานเปลี่ยนไปจากปกติตัวนี้หมายถึงต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส คือต่อมที่มีบทบาทเกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) คือต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนด้านหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ไปกีดกันหลักการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิติลโคลีน (Acetylcholine) ก็เลยส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรงดังที่กล่าวถึงมาแล้ว ซึ่งปกติแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่และจะค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ผู้ป่วยกล้ามอ่อนแรงจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่เปลี่ยนไปจากปกติ หรือผู้เจ็บป่วยบางรายมีสภาวะกล้ามอ่อนเพลียที่เป็นผลมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งเจอประมาณร้อยละ 10 ในคนป่วยชรา
- อาการโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามอ่อนล้า (MG) เป็นจะมีลักษณะอาการเมื่อยล้า เพลีย กล้ามเนื้ออ่อนล้า และก็จะอ่อนล้าเพิ่มมากขึ้นเมื่อออกแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระนั้นอาการจะเมื่อกล้ามเนื้อพักการออกแรง
นอกจากนี้ อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นกับว่า โรคกำเนิดกับกล้ามส่วนไหนของร่างกาย ทั้งนี้ ราว 85% ของผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามอ่อนล้าในทุกมัดของกล้ามลายส่วนอาการที่พบได้มากที่สุดของโรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG)เป็นอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของกล้ามเนื้อที่ช่วยยกกลีบตาและกล้ามเนื้อตา นำมาซึ่งการก่อให้เกิดหนังตาตกรวมทั้งเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งยัง 2 ข้างก็ได้ และพบบ่อยอาการผิดปกติอื่นๆของกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆได้อีกเช่น
ใบหน้า ถ้าเกิดกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกบนบริเวณใบหน้าได้รับผลกระทบ จะมีผลให้การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางถูกจำกัด เช่น ยิ้มได้ลดลง หรือแปลงเป็นยิ้มแยกเขี้ยวเนื่องจากว่าไม่สามารถที่จะควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้
การหายใจ คนป่วยกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงปริมาณหนึ่งมีลักษณะอาการหายใจลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือภายหลังการบริหารร่างกาย
การพูด การบดและก็การกลืน เกิดขึ้นจากกล้ามรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นอ่อนเพลีย เป็นเหตุให้เกิดอาการแตกต่างจากปกติ ตัวอย่างเช่น พูดค่อยแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก เคี้ยวไม่ได้ กลืนทุกข์ยากลำบาก ไอ สำลักของกิน บางกรณีอาจเป็นต้นเหตุไปสู่การต่อว่าดเชื้อที่ปอด
ลำคอ แขนรวมทั้งขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการเหน็ดเหนื่อยของกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากยิ่งกว่าที่ขา ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ดังเช่น เดินเตาะแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อบริเวณคออ่อนกำลัง ทำให้ตั้งศีรษะหรือชูคอตรากตรำ นำมาซึ่งการก่อให้เกิดปัญหาในการทำกิจกรรมต่างๆ
- ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อเกิดโรคกล้ามอ่อนเพลีย (MG) ในปัจจุบันยังไม่สามารถที่จะอธิบายสาเหตุของความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามได้อย่างแจ่มแจ้ง แม้กระนั้น พบว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) มักมีความเกี่ยวพันกับโรคของต่อมไทมัส โดย ประมาณ 85%พบเกิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสก้าวหน้าเกินปกติ (Thymus hyperplasia) และก็ราว 10-15% เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)
ยิ่งกว่านั้น มีแถลงการณ์ว่า พบโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) กำเนิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดจำพวกเซลล์ตัวเล็ก รวมทั้งโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์รับประทาน อีกทั้งคนเจ็บบางทีอาจพบความไม่ปกติแล้วก็โรคที่มีสาเหตุมาจากภูมิคุ้มกันตนเองจำพวกอื่นๆร่วมด้วยได้ เป็นต้นว่า โรคตาจากต่อมไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามเนื้อเมื่อยล้า (MG)จะสามารถดีขึ้นได้เองแล้วอาจกลับเป็นซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิต้านทานตัวเองประเภทอื่นๆ
- วิธีการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า (MG)
(https://www.img.in.th/images/e1926023a618782c9fd29640c93d8ee2.jpg)
การวินิจฉัย MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญเป็น fatigue รวมทั้งfluctuation ของกล้ามบริเวณตาแขนขาและก็การพูดแล้วก็กลืนอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง แล้วก็อาการร้ายแรงตอนที่แตกต่างโดยมีอาการมากมายเวลาบ่ายๆครั้งคราวผู้ป่วยมาเจอหมอตอนที่ไม่มีอาการ แพทย์ก็ตรวจไม่พบความแตกต่างจากปกติ ก็เลยไม่สามารถที่จะให้การวินิจฉัยโรคได้ และก็อาจวิเคราะห์ผิดพลาดว่าเป็น anxiety แม้กระนั้นการให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้อย่างไม่ยากเย็นในผู้เจ็บป่วยโดยมากเพราะมีลักษณะจำ เพาะทางสถานพยาบาลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การตรวจเสริมเติมเพื่อให้ได้การวิเคราะห์ที่แน่นอนและก็ในรายที่อาการไม่ชัดแจ้งเช่น
- การตรวจ ระบบประสาท ดังเช่นว่าการให้คนป่วยได้ทำกิจกรรมสม่ำเสมอที่ทำ ให้ผู้ป่วยมีลักษณะอาการ
อ่อนล้าได้อาทิเช่นการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าผู้ป่วยมีสภาวะหนังตาตก มากขึ้นไหม โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตาทั้งยัง 2 ข้างการให้คนไข้เดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งคนเจ็บจะมีลักษณะอาการเหน็ดเหนื่อยขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและก็อาการเหน็ดเหนื่อยดียิ่งขึ้นเมื่อพักสักประเดี๋ยวการให้คนเจ็บพูดหรืออ่านออกเสียงดังๆผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้วดีขึ้น
- Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่อุปกรณ์อาทิเช่น นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่เปลือกตาของคนไข้นาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าดีขึ้นไหมคนป่วย MG จะได้ผลบวก
- Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มิลลิกรัม ฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อ แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 รวมทั้ง 30 นาทีโดยประเมินอาการภาวะหนังตาตกอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงหรือเสียงแหบให้ผลบวกราวปริมาณร้อยละ90 เป็นผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการอย่างชัดเจน คนไข้อาจกำเนิดลักษณะของการปวดท้องอย่างหนัก หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีปรับปรุงแก้ไขเป็นฉีดยา atropine 0.6 มก.ทางหลอดเลือดดำ ซึ่งหมอบางคนชี้แนะ ให้ฉีดยาatropineก่อนจะทำการทดสอบ
- การพิสูจน์เลือด หมอจะตรวจนับปริมาณของแอนติบอดี้ ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อเมื่อยล้านั้นจะมีปริมาณของแอนติบอดี้ที่ไปยับยั้งลักษณะการทำงานของกล้ามเนื้อมากแตกต่างจากปกติ โดยมากจะตรวจพบแอนติบอดี้ชนิด Anti-MuSK
- การตรวจการชักจูงประสาท (Nerve Conduction Test) ทำได้ 2 แนวทางเป็นRepetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดลองด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทบ่อยๆเพื่อมองรูปแบบการทำงานของผูกกล้าม โดยการต่อว่าดขั้วไฟฟ้าที่ผิวหนังบริเวณที่เจออาการอ่อนกำลัง และก็ส่งกระแสไฟฟ้าปริมาณเล็กน้อยเข้าไปเพื่อตรวจดูความรู้ความเข้าใจของเส้นประสาทสำหรับการส่งสัญญาณไปที่มัดกล้ามเนื้อ และก็การตรวจด้วยกระแสไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดไฟฟ้าจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อเพื่อมองรูปแบบการทำงานของเส้นใยกล้ามเพียงเส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)
การรักษา เป้าหมายในการรักษาคนป่วย MG ของหมอเป็นการที่คนป่วยหายจากอาการโดยไม่ต้องกินยาซึ่งมีกลไกสำหรับในการรักษา 2 ประการเป็น เพิ่มการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การรักษาจะแบ่งคนเจ็บเป็น 2 กรุ๊ปซึ่งมีแนวทางการรักษาแตกต่างกัน
- คนเจ็บที่มีภาวะกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยที่รอบๆกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรจะเริ่มด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors ได้แก่ pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มก. ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหาร แล้วมองการโต้ตอบว่าอาการหนังตาตกลืมตาลำบากดียิ่งขึ้นมากน้อยแค่ไหน มีผลเข้าแทรกจากยาไหม ถ้าเกิดอาการยังไม่ดีขึ้นควรจะเพิ่มยา prednisoloneขนาดประมาณ 15-30มก.ต่อวันและก็ร่วมกับการปรับปริมาณยา mestinon ตามอาการ ซึ่งโดยมากผู้เจ็บป่วยจะใช้ยาขนาดไม่สูงโดยประมาณ 180-240มก.ต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) โดยมากจะสนองตอบดีต่อยา mestinonและก็ prednisoloneเมื่ออาการจนปกติระยะเวลาหนึ่งประมาณ 3-6 เดือนค่อยๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆราว 5มก.ทุกๆเดือนจนถึงหยุดยาพร้อมๆกับ mestinon การลดผลเข้าแทรกของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในคนป่วย MG ได้ผลดีสิ่งเดียวกันแม้กระนั้นในวันที่คนป่วยไม่ได้ยาprednisolone อาจมีลักษณะโรคMG ได้ถ้าหากเกิดกรณีดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วอาจจะต้องให้ยาprednisolone5มิลลิกรัม 1 เม็ดในวันดังกล่าวมาแล้วข้างต้นคนป่วยบางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็ต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ถัดไป
- ผู้ป่วยที่มีสภาวะกล้ามอ่อนล้ารอบๆอื่นๆ(Generalized MG) การรักษาประกอบด้วยยาmestinon,ยากดภูมิคุ้มกันและก็การผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการปฏิบัติดังต่อไปนี้
o คนเจ็บทุกคนจะต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่มต้น 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหารแล้วประมวลผลการโต้ตอบว่าดีไหม โดยการประเมินช่วงยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 และก็ 2 ข้างหลังรับประทานยารวมทั้งประเมินตอนก่อนกินยาเม็ดถัดไปเพื่อได้รู้ว่าขนาดของยาและก็ความถี่ของการกินยาสมควรไหมเป็นลำดับสิ่งที่ประเมินเป็นลักษณะของผู้ป่วย ดังเช่นว่า อาการลืมตาทุกข์ยากลำบาก อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง บอกแล้วเสียงแหบควรจะปรับขนาดยาและก็ความถี่ทุก2-4อาทิตย์ ปริมาณยาโดยมากประมาณ 6-8 เม็ดต่อวัน ขนาดยาสูงสุดไม่ควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o การผ่าตัด thymectomy คนป่วยgeneralized MG ที่มีอายุน้อยกว่า 45ปีทุกรายควรแนะนำ ให้ผ่าตัด thymectomy ร้อยละ 90 ของคนป่วยได้ผลดีราวๆปริมาณร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon ข้างหลังผ่าตัดได้ปริมาณร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงแค่ปริมาณร้อยละ 10 เท่านั้นที่ไม่เป็นผล ขณะที่ผ่าตัดควรจะทำ ในระยะแรกของการดูแลและรักษา
o การให้ยากดภูมิต้านทาน ที่ใช้บ่อย เป็นต้นว่า prednisolone และ azathioprine (immuran)การให้ยาดังที่กล่าวมาแล้วมีข้อชี้ชัดในกรณี
การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่ได้ผล ช่วงเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่เป็นผลคือราวๆ 1 ปี
ผู้ป่วยที่มิได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
คนป่วยทีมีสภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่รุนแรง
- การติดต่อของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
- การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)
- กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
- ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
- กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
- มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
- เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
- มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
- กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
- รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
- การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)
ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ
- สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)
พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
- รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
- นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
- สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มี Srinagarind MedJ 1994;9:8-13. http://www.disthai.com/[/b]
- Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
- Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
- ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.
- Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
- Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
- ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
- Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperativeSemin Neurol 2004;24:75- 81.
- Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.