ล้อแม็ก แม็ก แม็กล้อ แม็กซ์แต่งรถ ล้อแม็กคุณภาพ รวมล้อแม็กลายใหม่ๆ

Sitemap SMB => สินค้าอื่นๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: watamon ที่ มีนาคม 28, 2018, 02:39:24 pm



หัวข้อ: โรคพาร์กินสัน- อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: watamon ที่ มีนาคม 28, 2018, 02:39:24 pm
(https://www.img.in.th/images/bca58ebbfb44f748ad6f1bdd9627b6a8.jpg)
โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)

  • โรคพาร์กินสัน [/color]คืออะไร ทุกท่านคงเคยพบเห็นผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นคนในครอบครัว หรืออื่นๆที่พบเห็นทั่วไป มีอาการ แขนและมือสั่นข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจ ๒ ข้าง ซึ่งมักสั่นในท่าพักที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร มีอาการเคลื่อนไหวเชื่องช้า และมีอาการทรงตัวผิดปกติ  โดยปกติร่างกายคนเราเมื่อเข้าสู่วัยชราก็เป็นธรรมดาที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ โรคที่เกิดได้แก่ "โรคพาร์กินสัน" ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางที่จะส่งผลให้เกิดอาการสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า

    โรคพาร์กินสันมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคสันนิบาต หรือโรคสั่นสันนิบาต (Parkinson’s disease) หรือโรคที่คนไทยสมัยโบราณรู้จักกันในชื่อ “โรคสันนิบาตลูกนก” เป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์สมองในบางตำแหน่งเกิดมีการตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงทำให้สารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีการตายและลดจำนวนลง จึงทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดอาการสั่น แขนขาเกร็ง เคลื่อนไหวร่างกายช้า และสูญเสียการทรงตัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้  ชื่อโรคพาร์กินสัน ได้มาจากชื่อของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ นายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน ซึ่งเป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายถึงลักษณะอาการของโรคนี้ในปี พ.ศ.๒๓๖๐ โรคพาร์กินสันมักพบในผู้ป่วยสูงอายุ โดยมากจะพบตั้งแต่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย
    ในอดีตคนไทยน้อยคนที่จะรู้จักโรคนี้ ในยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐เป็นต้นมา) คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าเดิมมาก คือ ผู้ชายอายุเฉลี่ยถึง ๖๗.๔ ปี ส่วนผู้หญิงอายุเฉลี่ย ๗๑.๗ ปี (อดีตคนไทยเราอายุเฉลี่ยเพียง ๔๕ ปี) ดังนั้นโรคในผู้สูงอายุจึงพบบ่อยขึ้นมากในคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาทอย่างโรค  โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)
    เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก จึงได้มีการจัดตั้ง “วันโรคพาร์กินสัน” ขึ้น ซึ่งตรงกับวันที่ 11 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ “เจมส์ พาร์กินสัน” (James Parkinson; เป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายลักษณะของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในปี พ.ศ.2360 ในบทความที่ชื่อว่า “Shaking Palsy”) และมีการใช้ดอกทิวลิปสีแดงเป็นสัญลักษณ์

  • สาเหตุของโรคพาร์กินสัน สาเหตุของการเกิดพาร์กินสันในผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบชัดเจน มีส่วนน้อยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โรคนี้ยังไม่มีวิธีสำหรับป้องกัน และมียารักษาอาการต่างๆ แต่ยังไม่มียาที่จะรักษาให้โรคหายขาดได้ ประมาณ 5% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทราบตำแหน่งบนโครโมโซม (Chromosome) ชัดเจน และสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะปรากฏอาการของโรคพาร์กินสันก่อนอายุ 45 ปี ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยที่ไม่ได้มีสาเหตุจากพันธุกรรมเป็นหลัก ที่จะปรากฏอาการเมื่ออายุมากกว่า 60 ปีไปแล้ว  สำหรับสาเหตุการเกิดโรคที่เหลือไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สัญนิษฐานได้ว่าเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
  • ความชราภาพของสมอง มีผลทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน (เกิดจากกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำที่อยู่บริเวณก้านสมอง โดยทำหน้าที่สำคัญในการสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหว) มีจำนวนลดลง โดยมากพบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและหญิง และจัดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุจำเพาะแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด
  • ยากล่อมประสาทหลัก หรือยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดหรือต้านการสร้างสารโดปามีน โดยมากพบในผู้ป่วยโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับยากลุ่มนี้เพื่อป้องกันการคลุ้มคลั่ง รวมถึงอาการอื่น ๆ ทางประสาท แต่ปัจจุบันยากลุ่มนี้ลดความนิยมในการใช้ลง แต่ปลอดภัยสูงกว่าและไม่มีผลต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน
  • ยาลดความดันโลหิตสูง ในอดีตมียาลดความดันโลหิตที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้สมองลดการสร้างสารโดปามีน แต่ในระยะหลัง ๆ ยาควบคุมความดันโลหิตส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์นอกระบบประสาทส่วนกลาง แต่มีผลทำให้ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย จึงไม่ส่งต่อสมองที่จะทำให้เกิดโรคพาร์กินสันต่อไป
  • หลอดเลือดในสมองอุดตัน ทำให้เซลล์สมองที่สร้างโดปามีนมีจำนวนน้อย หรือหมดไป
  • สารพิษทำลายสมอง ได้แก่ สารแมงกานีสในโรงงานถ่านไฟฉาย พิษจากสารคาร์บอนมอนนอกไซด์
  • สมองขาดออกซิเจน ในกรณีที่จมน้ำ ถูกบีบคอ เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจจากเสมหะหรืออาหาร เป็นต้น
  • ศีรษะถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ หรือโรคเมาหมัดในนักมวย
  • การอักเสบของสมอง
  • โรคทางพันธุกรรม เช่น โรควิลสัน ซึ่งเกิดจากการที่มีอาการของโรคตับพิการร่วมกับโรคสมอง สาเหตุมาจากธาตุทองแดงไปเกาะในตับและสมองมากจนเป็นอันตรายขึ้นมา
  • ยากลุ่มต้านแคลเซียมที่ใช้ในโรคหัวใจ โรคสมอง ยาแก้เวียนศีรษะ และยาแก้อาเจียนบางชนิด
  • อาการของโรคพาร์กินสัน ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอาจมีอาการและอาการแสดงของโรคมากน้อยแตกต่างกันได้มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วย ระยะเวลาการเป็นโรค และภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา โรคพาร์กินสันนั้นนอกจากจะมีอาการเด่น ๔ อย่าง ดังกล่าวแล้วอาจเกิดมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกดังในรายละเอียด ดังนี้
  • อาการสั่น ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ป่วยจะมีอาการสั่น เป็นอาการเริ่มต้นของโรค อาการสั่นนี้จะมีลักษณะเฉพาะ คือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือยื่นมือทำอะไรอาการสั่นจะลดลงหรือหายไป (ผิดจากอาการสั่นอีกแบบที่พบบ่อยในผู้สูงอายุทั่วๆไปที่จะสั่นมากเวลาทำงาน เมื่ออยู่เฉยๆ ไม่สั่น) อาการสั่นในโรคพาร์กินสันนี้ ถ้านับอัตราเร็วจะพบว่า สั่นประมาณ ๔-๘ ครั้งต่อวินาที และอาจสั่นของนิ้วหัวแม่มือ-นิ้วมืออื่นๆ คล้ายแบบปั้นลูกกลอน อาการสั่นของโรคอาจเริ่มเกิดขึ้นที่มือ แขน ขา คาง ศีรษะ หรือลำตัวก็ได้ ระยะแรกของโรคอาจเกิดข้างเดียวก่อนและต่อมาจึงมีอาการทั้งสองข้างก็ได้
  • อาการเกร็ง จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยเฉพาะแขน ขา และลำตัว โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้เคลื่อนไหว หรือทำงานหนักแต่อย่างใด กล้ามเนื้อของร่างกาย จะมีความดึงตัวสูงและเกร็งแข็งอยู่ตลอดเวลา จนผู้ป่วยบางรายต้องกินยาแก้ปวดเมื่อย หรือหายามาทา บรรเทาตามร่างกายส่วนต่างๆ หรือหาหมอนวดมาบีบคลายเส้นเป็นประจำ
  • อาการเคลื่อนไหวช้า ผู้ป่วยในระยะแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวแบบเดิม เดินช้า และงุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นๆ ของการเคลื่อนไหวในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบว่า อาจหกล้มบ่อยๆ จนบางรายกระดูกต้นขาหัก สะโพกหัก หลังเดาะ แขนหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ในรายที่เป็นมากอาจเดินเองไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้าหรือคนคอยพยุง
  • ท่าเดินผิดปกติ ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีลักษณะท่าเดินจำเพาะตัวที่ผิดจากโรคอื่น คือ จะเดินก้าวสั้น ๆ แบบซอยเท้าในช่วงแรกๆ และต่อมาจะก้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเร็วมากและหยุดทันทีทันใดไม่ได้จะล้มหน้าคว่ำเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเดินหลังค่อม ตัวงอโค้งและแขนไม่แกว่งตามเท้าที่ก้าวออกไป มือจะชิดแนบตัวเดินแข็งทื่อแบบหุ่นยนต์
  • การแสดงสีหน้า ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีใบหน้าแบบเฉยเมย ไม่มีอารมณ์เหมือนคนใส่หน้ากาก ไม่ยิ้มหัวเราะ หน้าตาทื่อเวลาพูดก็จะมีมุมปากขยับเพียงเล็กน้อย เหมือนคนไม่มีอารมณ์
  • เสียงพูด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพูดเสียงเครือๆ และเบามากฟังไม่ชัดเจน และยิ่งพูดนานไปๆ เสียงจะค่อยๆ หายไปในลำคอ บางรายที่เป็นไม่มากเสียงพูดจะค่อนข้างเรียบ รัวและอยู่ในระดับเดียวกันตลอด ไม่มีพูดเสียงหนักเบาแต่อย่างใด
  • การเขียนของผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะทำได้ลำบากและตัวเขียนจะค่อยๆ เขียนเล็กลงๆ จนอ่านไม่ออก
  • การกลอกตา ในผู้ป่วยโรคนี้ จะทำได้ลำบาก ช้า และไม่คล่องแคล่วในการมองซ้ายหรือขวาบนหรือล่าง ลูกตาจะเคลื่อนไหวแบบกระตุกไม่เรียบ
  • น้ำลายไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยอันหนึ่ง คือ มีน้ำลายมาสอยอยู่ที่มุมปากสองข้าง และไหลเยิ้มลงมาที่บริเวณคาง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะแบบมีน้ำลายมากอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น   คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

  • ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโรคพาร์กินสัน
  • อายุ หากแก่มากขึ้นก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่แก่ 60 ปีขึ้นไป
  • พันธุกรรม โดยพบว่าคนป่วยราว 15-20% จะมีประวัติคนภายในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (ถ้ามีญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มจังหวะเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคนี้ 3 เท่า และแม้มี 2 คนก็จะเพิ่มการเสี่ยงเป็น 10 เท่าตามลำดับ)
  • เป็นผู้ที่สัมผัสกับยากำจัดศัตรูพืชหรือยาฆ่าวัชพืช กินน้ำจากบ่อและอาศัยอยู่ในเขตทุรกันดาร เพราะว่ามีรายงานว่าเจอโรคนี้ได้มากในชาวนาชาวไร่ที่กินน้ำจากบ่อ
  • เป็นผู้ที่หรูหราฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ อย่างเช่น ในหญิงที่ตัดรังไข่รวมทั้งมดลูก หญิงวัยทองก่อนที่จะครบกำหนด ซึ่งคนกลุ่มนี้จะได้โอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แต่ถ้าเกิดได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนตอบแทนก็บางครั้งก็อาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้
  • เคยประสบอุบัติเหตุที่กระทบทางสมอง
  • นอกจากนั้นยังมีแถลงการณ์ว่า ผู้ที่ขาดกรดโฟลิกจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันเหมือนกัน
  • กรรมวิธีการรักษาโรคพาร์กินสัน โดยทั่วไปหากคนเจ็บปรากฏอาการกระจ่าง สามารถวิเคราะห์ได้จากลักษณะอาการและการตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างประณีต ระยะเริ่มต้นเริ่ม บางทีอาจวิเคราะห์ยาก ควรต้องวินิจฉัยแยกโรคก่อนเสมอคนที่สงสัยว่าจะมีอาการป่วยด้วยโรคพาร์คินสัน ควรได้รับการตรวจวิเคราะห์จากอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทแพทย์

การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงจะต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมทั้งแยกอาการ หรือภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เนื่องด้วยการดูแลและรักษาจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะบางสิ่งบางอย่างคล้ายกันก็ตาม
การวิเคราะห์โรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้ป่วย และก็ความเปลี่ยนไปจากปกติที่หมอตรวจพบเป็นหลัก รวมทั้งลักษณะของการมีอาการที่ค่อยเป็นค่อยไป อายุที่เริ่มเป็น และประวัติในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องทดลองใดที่ตรวจแล้วบอกได้ว่าคนไข้กำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะของโรคพาร์กินสันแล้วก็มีลักษณะเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลและรักษาที่ผิดแผกแตกต่างออกไปเท่านั้น ได้แก่ การตรวจค้นระดับพิษในกระแสเลือด การตรวจหาระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวิเคราะห์ โรค Normal pressure hydrocephalus เป็นต้น
ในสมัยก่อนแพทย์เข้าใจว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดปกติที่ไขสันหลัง แม้กระนั้นในปัจจุบันเป็นที่รู้กันแน่ๆแล้วว่า พยาธิภาวะของโรคนี้เกิดที่บริเวณตัวสมองเองในส่วนลึกๆบริเวณก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีปริมาณเซลล์น้อยลง หรือบกพร่องในหน้าที่สำหรับเพื่อการปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) ก็เลยก่อให้เกิดอาการเคลื่อนช้า เกร็งรวมทั้งสั่นเกิดขึ้นเป็นลำดับ ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันการดูแลและรักษาโรคนี้จึงหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งบางทีอาจทำได้โดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 วิธี คือ

  • รักษาด้วยยา ซึ่งแม้ว่ายาจะไม่สามารถที่จะทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นหรือกลับมาแตกหน่อทดแทนเซลล์เดิมได้ แต่ก็จะทำให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีปริมาณเพียงพอกับสิ่งที่มีความต้องการของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในตอนนี้เป็นยากลุ่ม LEVODOPA และก็ยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นกับการวินิจฉัยจากแพทย์ ตามความเหมาะสม)
  • ทำกายภาพบำบัด จุดมุ่งหมายของการดูแลและรักษาก็คือ ให้ผู้ป่วยคืนสู่ภาวะชีวิตที่ใกล้เคียงคนธรรมดาที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นสุขทั้งกายและจิตใจ ซึ่งมีหลักวิธีปฏิบัติง่ายๆคือ

ก) ฝึกหัดการเดินให้ค่อยๆก้าวขาแต่ว่าพอดี โดยการเอาส้นตีนลงเต็มฝ่าเท้า รวมทั้งแกว่งแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับการทรงตัวดี ยิ่งไปกว่านี้ควรหมั่นจัดท่าทางในท่าทางต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรจะเป็นแบบส้นเตี้ย และก็พื้นต้องไม่ทำมาจากยาง หรือวัสดุที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเกินไป เวลาจะขึ้นเตียงต้องเบาๆเอนตัวนอนลงเอียงข้างโดยใช้ศอกจนถึงก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกหัดการพูด โดยพี่น้องจะต้องให้ความเข้าอกรู้เรื่องเบาๆฝึกฝนคนป่วย รวมทั้งควรจะทำในสถานที่ที่เงียบสงบ

  • การผ่าตัด ส่วนใหญ่จะได้ผลดีในคนไข้ที่มีอายุน้อย และก็มีลักษณะอาการไม่มากนัก หรือในคนที่มีลักษณะเข้าแทรกจากยาที่ใช้มาเป็นระยะเวลานานๆตัวอย่างเช่น อาการสั่นที่รุนแรง หรือมีการเคลื่อนแขน ขา มากเปลี่ยนไปจากปกติจากยา ปัจจุบันนี้มีการใช้แนวทางกระตุ้นไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังเอาไว้ในร่างกาย พบว่าเกิดผลดี แม้กระนั้นค่าใช้สอยสูงมาก ผู้เจ็บป่วยโรคพาร์กินสัน จึงควรได้รับการดูแลใส่ใจจากคนที่อยู่รอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมถึงจิตใจ ด้วยเหตุนั้นถ้าเกิดท่านมีคนสนิทที่เป็นโรคชนิดนี้ ควรต้องรีบนำมาพบหมอเพื่อรับการวิเคราะห์โรคอันจะส่งผลให้เกิดการดูแลรักษาที่ถูกแล้วก็สมควรต่อไป
  • การติดต่อของโรคพาร์กินสัน เนื่องมาจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากเซลล์สมองมีการตาย แล้วก็ทำให้สารสื่อประสาทที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีจำนวนลดน้อยลง จึงกระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่อาจจะติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แม้กระนั้นสามารถถ่ายทอดทางชนิดบาปไปสู่บุตรหลานได้)
  • การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน ผู้เจ็บป่วยและก็ญาติสามารถดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและก็สม่ำเสมอ ดังต่อไปนี้
  • ติดตามรักษากับหมอเสมอๆ
  • กินยาควบคุมอาการดังที่หมอเสนอแนะให้ใช้
  • กินอาหารชนิดที่มีกากใยเพื่อช่วยลดอาการท้องผูก
  • หมั่นฝึกฝนออกกำลังกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำเป็น อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆรวมทั้งวิธีการทำกิจวัตรที่ทำทุกๆวัน บริหารร่างกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวแล้วก็ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลดเกร็งและก็ปรับการเลี้ยงตัวให้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น การเดิน วิ่งเหยาะๆรำไท้วางท่า หรือเต้นแอโรบิก    ฝึกหัดเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งไกวแขน เสมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตนเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน    ฝึกบอกโดยให้ผู้เจ็บป่วยเป็นฝ่ายพูดก่อน หายใจลึกๆแล้วออกเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งใจไว้
  • รอบๆทางเดินหรือในห้องน้ำควรมีราวเกาะและไม่วางของขวางทางเท้า
  • การแต่งตัว ควรใส่เสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย เช่น กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม
  • ญาติพี่น้อง ควรที่จะใส่ใจดูแลคนเจ็บอย่างใกล้ชิด ระแวดระวังการเกิดอุบัติเหตุ ตัวอย่างเช่น การเดินหกล้ม เป็นต้น

สิ่งจำเป็นก็คือ คนสนิทของผู้เจ็บป่วยรวมทั้งพี่น้อง ควรจะเรียนรู้และทำความเข้าใจผู้ป่วยพาร์กินสัน  แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบยาสูบ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในผู้หญิงวัยหมดระดู) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แม้กระนั้นก็ไม่ชี้แนะ เนื่องจากว่ามีโทษทำให้มีการเกิดโรคอื่นๆที่น่าสยองก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้มากกว่า

  • การคุ้มครองตนเองจากโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุว่าสาเหตุที่จริงจริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่เคยทราบเด่นชัด ด้วยเหตุดังกล่าวการคุ้มครองเต็มที่จึงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าบางการเรียนรู้พบว่า การกินอาหารมีสาระ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยจำกัดของกินกลุ่มไขมันรวมทั้งเนื้อแดง (เนื้อของสัตว์เลือดอุ่น) จำกัดอาหารในกรุ๊ปผลิตภัณฑ์จากนม กินผัก ผลไม้มากขึ้นให้มากๆเหตุเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อาจช่วยลดจังหวะกำเนิดอาการ หรือ ลดความรุนแรงจากอาการโรคนี้ลงได้บ้าง นักค้นคว้าแห่งแผนกแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรที่นาได้คิดวิธีทดสอบแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ แล้วก็ทำเสร็จภายในระยะเวลาเพียงแค่ ๑ นาที
(https://www.picz.in.th/images/2018/03/16/Si5HkZ.jpg)
แนวทางทดลองดังที่กล่าวมาข้างต้นมี 3 ขั้นตอนกล้วยๆเป็น

  • ให้คนไข้ยิ้มให้ดู
  • ให้ชูแขนขึ้นทั้งยัง 2 ข้างและให้ค้างเอาไว้
  • ท้ายที่สุดให้คนเจ็บบอกประโยคง่ายๆให้ฟังสักประโยค

นักค้นคว้าทดลอง ด้วยการให้คนที่เคยมีอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนธรรมดาคนอื่นๆรวมแล้ว ๑๐๐ คน แล้วให้อาสาสมัครสมมติตัวเป็นคนผ่านมาพบเหตุการณ์ที่มีคนเจ็บเกิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครลองทดสอบด้วยคำสั่งข้างต้นกับตัวละครอีกทั้ง ๓ ข้อ เวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลของการทดสอบให้ผู้ทำการวิจัยรู้ โดยผู้วิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งไม่เห็นท่าทีหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกคนเจ็บออกมาจากคนปกติได้อย่างแม่นยำถึงร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนล้า (facial weakness) ได้จำนวนร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามเนื้อแขนอ่อนกำลังได้ถึง ร้อยละ ๙๕ รวมทั้งแยก  ประสาทกลางสถานที่ทำงานไม่ดีเหมือนปกติทางคำพูดได้ร้อยละ ๘๘ ซึ่งถือได้ว่าถูกต้องมากด้านในเหตุการณ์ที่แพทย์ไม่อยู่ในจุดเกิดเหตุ

  • สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกรุ๊ปอัลคาลอยด์ ที่มีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยพบว่า สามารถยับยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมากมาย ซึ่งการยับยั้งเอนไซม์ acetyl cholinesterase เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของการเป็นยารักษาคนป่วยสมองเสื่อม (Senile dementia), คนไข้จำอะไรไม่ค่อยได้ (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีภาวะโรคสมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ ภาวการณ์กล้ามเสียสหการ (Ataxia) รวมทั้งโรคกล้ามอ่อนแรง (myasthenia gravis)

               ผลของการรักษาด้วยการใช้บอระเพ็ดในผู้ป่วยพาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการค้นพบในงานศึกษาเรียนรู้วิจัย โดยเห็นผลสำหรับเพื่อการรักษากระจ่างแจ้งในด้านภาวการณ์รู้คิด     การกระทำโดยรวมรวมทั้ง อาการทางประสาทดียิ่งขึ้นในสภาวะโรคสมองเสื่อมที่เจอในคนไข้พาร์กินสัน เหตุเพราะโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะเกิดความเสื่อมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา นำมาซึ่งความแตกต่างจากปกตินอกเหนือจากการขยับเขยื้อน ดังเช่นว่า การนอน ความแตกต่างจากปกติทางด้านอารมณ์และจิตใจ ภาวการณ์ย้ำคิดย้ำทำ อาการเศร้าใจ ตื่นตระหนก ฯลฯ
                แม้กระนั้นยังไม่มีข้อมูลในทางสถานพยาบาล หรือการศึกษาในคนเจ็บกรุ๊ปโรคดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วอย่างเป็นระบบ เสนอแนะหากสนใจใช้บอระเพ็ด ควรที่จะใช้ในทางเสริมการรักษาควบคู่กับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และก็ควรมีช่วงที่หยุดยาขยันง เช่น แนะนำใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
ยิ่งกว่านั้นข้อควรปฏิบัติตามเป็นห้ามใช้บอระเพ็ดในคนที่มีภาวการณ์โปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับผิดพลาด หรือผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง ผู้ที่มีทิศทางความดันเลือดต่ำเกินไป หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร
หมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นระยะเวลานาน ผลการค้นคว้าพบว่าเม็ดหมามุ่ยอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดปา (L-dopa)เจอ 3.1-6.1% และก็อาจเจอสูงถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารขึ้นต้นของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดขว้างในหมามุ่ยอินเดียมีจุดเด่นกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงสำหรับการออกฤทธิ์มากกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบในขนาดเทียบเท่ากับ Levodapa เดี่ยว
โดยมีการตั้งสมมติฐานว่าในสารสกัดเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าเหมือน Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่จำต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะทำให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ลดลง ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า และมีช่วงเวลาการออกฤทธิ์นานกว่า  Levodopa/Carbidopa
อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลในการค้นคว้าทางสถานพยาบาลและการเรียนในคนไข้โรคพาร์กินสัน ดังนั้นจำเป็นต้องรอให้มีการทำการค้นคว้าเพิ่มเติม แล้วก็มีผลการศึกษาวิจัยยืนยันว่าไม่มีอันตรายก่อนที่จะใช้
เอกสารอ้างอิง

  • นพ.อัครวุฒิ วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554
  • ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 641-645.
  • Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book). http://www.disthai.com/[/b]
  • โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540
  • พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) .หาหมอ.com
  • รศ.
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ