หัวข้อ: โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: penpaka2tory ที่ มีนาคม 28, 2018, 04:49:32 pm (https://www.img.in.th/images/8885a02e97b9d617061e5f2dbe72cfcf.jpg)
โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) โรคออทิสติกเป็นยังไง “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกนานาประการ และมีการเปลี่ยนแปลงการเรียกชื่อเป็นระยะ อย่างเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และก็แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder) จนในปัจจุบันจึงมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชฉบับปัจจุบัน DSM-5 ของชมรมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พุทธศักราช2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความแตกต่างจากปกติของความก้าวหน้าเด็กต้นแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างจากปกติของสมอง ทำให้มีความบกพร่องของพัฒนาการหลายด้านเป็นกลุ่มอาการความเปลี่ยนไปจากปกติ 3 ด้านหลักเป็น
คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งแสดงว่า Self คือ แยกตัวอยู่คนเดียวในโลกของตน เปรียบได้เสมือนดั่งมีกำแพงใส หรือกระจกส่อง กั้นบุคคลกลุ่มนี้ออกจากสังคมรอบกาย ประวัติความเป็นมา ปี พุทธศักราช2486 มีการรายงานคนป่วยเป็นครั้งแรก โดยแพทย์ลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐฯ รายงานคนเจ็บเด็กปริมาณ 11 คน ที่มีลักษณะแปลกๆยกตัวอย่างเช่น บอกเลียนเสียง กล่าวช้า ติดต่อสื่อสารไม่เข้าใจ ทำอีกครั้งๆเกลียดชังการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจคนอื่นๆ เล่นไม่เป็น รวมทั้งได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กกลุ่มนี้ต่างจากเด็กที่บกพร่องทางปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะอาการเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism” ปี พุทธศักราช2487 หมอฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย เล่าถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมลำบาก หมกมุ่นอยู่กับแนวทางการทำอะไรซ้ำๆประหลาดๆแต่กลับพูดเก่งมากมาย และดูเหมือนจะเฉลียวฉลาดด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะแบบนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พ.ศ.2524 Lorna Wing เอามาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ คล้ายกับของแคนเนอร์มาก นักค้นคว้ารุ่นลูกจึงสรุปว่า แพทย์ 2 คนนี้กล่าวถึงเรื่องเดียวกัน แต่ในรายละเอียดที่แตกต่าง ซึ่งในขณะนี้จัดอยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน คือ “Autism Spectrum Disorder” จากการเล่าเรียนช่วงแรกพบอัตราความชุกของโรคออทิสติกโดยประมาณ 4-5 รายต่อ 10000 ราย แม้กระนั้นแถลงการณ์ในช่วงหลังพบอัตราความชุกเยอะขึ้นเรื่อยๆในประเทศต่างๆทั้งโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่มากขึ้นเรื่อยๆนี้ ส่วนใดส่วนหนึ่งมาจากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับออทิสติกที่มากเพิ่มขึ้น การใช้เครื่องมือสำหรับในการวิเคราะห์ที่ต่างกัน รวมทั้งจำนวนคนป่วยที่อาจมีเพิ่มมากขึ้น โรคออทิสติกเจอในผู้ชายมากกว่าเพศหญิงอัตราส่วนราว 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงมากขึ้นในกรุ๊ปเด็กที่มีลักษณะน้อยรวมทั้งในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนเพศชายต่อเพศหญิงลดลงในกรุ๊ปที่มีสภาวะปัญญาอ่อนรุนแรงร่วมด้วย สิ่งที่ทำให้เกิดโรคออทิสติก มีความมานะบากบั่นในการศึกษาวิจัยถึงต้นเหตุของออทิสติก แต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุของความไม่ปกติที่เด่นชัดได้ ในตอนนี้มีหลักฐานส่งเสริมชัดเจนว่าเป็นผลมาจากการทำงานของสมองที่ผิดปกติ มากยิ่งกว่าเป็นผลจากสภาพแวดล้อม ในอดีตเคยเชื่อว่าออทิสติก มีสาเหตุจากการอุปการะในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (บิดามารดาที่บรรลุเป้าหมายในเรื่องงาน จนกระทั่งความเกี่ยวเนื่องระหว่างบิดามารดากับลูกมีความเหินห่างเย็นชา ซึ่งมีการเทียบว่า เป็นบิดามารดาตู้แช่เย็น) แม้กระนั้นจากหลักฐานข้อมูลในขณะนี้ยืนยันได้กระจ่างแจ้งว่า รูปแบบการเลี้ยงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แม้กระนั้นถ้าอุปการะอย่างเหมาะควรก็จะช่วยให้เด็กปรับปรุงได้มาก แต่ในปัจจุบันนักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับสาเหตุด้านพันธุกรรมสูงมาก มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง ดังเช่น ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q รวมทั้ง 16p ฯลฯ และก็จากการเรียนในแฝด พบว่าแฝดราวกับ ซึ่งมีรหัสกรรมพันธุ์เช่นเดียวกัน มีโอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงยิ่งกว่าแฝดไม่ราวกับอย่างชัดเจน แล้วก็การเรียนรู้ทางด้านกายส่วนและสารสื่อประสาทในสมองของคนไข้ออทิสติก จากทั้งยังทางรูปถ่ายรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมถึงชิ้นเนื้อ เจอความแตกต่างจากปกติหลายอย่างในผู้เจ็บป่วยออทิสติกแต่ว่ายังไม่พบต้นแบบที่จำเพาะ ในทางกายตอนพบว่าสมองของผู้เจ็บป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วๆไป รวมทั้งเล็กน้อยของสมองมีขนาดไม่ดีเหมือนปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานพบความผิดแปลกของเนื้อสมอง ยกตัวอย่างเช่น brain stem, cerebellum, limbic system และ บางตำแหน่งของ cerebral cortex นอกเหนือจากนี้การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ในผู้เจ็บป่วยออทิสติก เจอความไม่ดีเหมือนปกติปริมาณร้อยละ 10-83 เป็นความไม่ดีเหมือนปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองแบบไม่เฉพาะ (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงขึ้นมากยิ่งกว่าของคนทั่วๆไปคือ เจอปริมาณร้อยละ 5-38 นอกเหนือจากนั้นยังมีการเล่าเรียนเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลายประเภทโดยเฉพาะ serotonin ที่พบว่าสูงขึ้นในคนป่วยบางราย แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนถึงความเชื่อมโยงของความแตกต่างจากปกติกลุ่มนี้กับการเกิดออทิสติก ในทุกวันนี้สรุปได้ว่า ปัจจัยจำนวนมากของออทิสติกมีเหตุที่เกิดจากกรรมพันธุ์แบบหลายปัจจัย (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวข้องหลายตำแหน่งรวมทั้งมีภูมิไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคที่มีต้นเหตุเนื่องมาจากการสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่างๆ อาการของโรคออทิสติก การที่จะรู้ว่าเด็กคนใดเป็นหรือไม่เป็นออทิสติกนั้น เริ่มแรกจะดูได้จากพฤติกรรมในวัยเด็ก ซึ่งสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก บิดามารดาบางทีอาจจะสังเกตเห็นตั้งแต่ปฏิสัมพันธ์ทางด้านสังคมกับคนอื่นๆ ด้านการสื่อความหมาย มีความประพฤติที่ทำอะไรซ้ำๆ การกระทำจะเริ่มแสดงกระจ่างแจ้งเยอะขึ้นเรื่อยๆเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30 เดือน โดยมีลักษณะปรากฏเด่นในเรื่องความล่าช้าด้านการพูดและก็การใช้ภาษา ด้านความสัมพันธ์กับสังคมพิจารณาได้จากการที่เด็กจะไม่จ้องตา ไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทางแล้วก็ท่าทางราวกับไม่สนใจ จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับคนใด และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสมได้เมื่ออยู่ในสังคม สามารถแยกเป็นด้าน ยกตัวอย่างเช่น
ถึงแม้เด็กออทิสติกที่หรูหราสติปัญญาปกติ ก็ยังมีความผิดพลาดในด้านการเข้าสังคม ดังเช่นว่า ไม่เคยทราบแนวทางการเริ่มหรือจบทบพูดคุย พ่อแม่บางบุคคลบางทีอาจสังเกตเห็นความไม่ปกติในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก รวมทั้งเมื่อเด็กเข้าสู่วัยศึกษา อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุว่าสถานการณ์ทางด้านสังคมที่ซับซ้อนมากเพิ่มขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง เด็กจะไม่สามารถที่จะเข้าใจหรือรับรู้ว่าผู้อื่นกำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไรเข้ากับเพื่อนฝูงได้ยาก มักถูกเด็กอื่นคิดว่าแปลกหรือเป็นตัวตลก
เด็กออทิสติดบางบุคคลเริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในระยะแรกจะเป็นการบอกทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่มีระดับปัญญาปกติหรือใกล้เคียงธรรมดาจะมีวิวัฒนาการทางภาษาที่ออกจะดี และก็สามารถใช้ประโยคในการติดต่อได้เมื่ออายุราวๆ 5 ปี เมื่อถึงวัยศึกษาความผิดพลาดด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุยโต้ตอบ บางทีอาจพูดจาวกไปวนมา พูดเฉพาะในเรื่องที่ตนพึงพอใจ และมีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ถูกกาลเทศะ
เด็กออทิสติกแบบ high functioning ที่เป็นเด็กโตมีความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัด โดยสิ่งที่พอใจนั้นอาจเป็นเรื่องที่เด็กทั่วๆไปพึงพอใจ แต่เด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับเรื่องนั้นอย่างยิ่ง เช่น จดจำเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ รวมทั้งสนทนาเกี่ยวกับประเด็นนั้นอยู่เป็นประจำ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่สนใจอาจเป็นความรู้ทางวิชาการบางสาขา เป็นต้นว่า เลขคณิต คอมพิวเตอร์ แล้วก็วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งวิชาความรู้พวกนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในโรงเรียน ก็เลยช่วยทำให้เด็กออทิสติกร่วมสังคมในโรงเรียนเจริญขึ้น ยิ่งไปกว่านี้เด็กออทิสติกบางครั้งอาจจะแก่นแก้วมากมายรวมทั้งมีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งบางโอกาสได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นเด็กดื้อสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออาการของออทิสติกไม่ชัดเจน ในเด็กที่มีความก้าวหน้าช้าเป็นอย่างมากอาจเจอพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง อย่างเช่น โขกหัวหรือกัดตัวเอง ฯลฯ ในด้านสติปัญญา เด็กออทิสติกบางบุคคลมีความรู้พิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยยิ่งไปกว่านั้นกรุ๊ป high functioning บางทีอาจสามารถจำตัวเขียนและนับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกรุ๊ปสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia) แนวทางการรักษาโรคออทิสติก สำหรับในการตรวจวินิจฉัยว่าเด็กเป็นออทิสติกไหม ไม่มีเครื่องวัดที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ว่าอาจมีการตรวจประกอบกิจการวิเคราะห์จากความประพฤติ โดยมาตรฐานการวินิจฉัยโรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแม้กระนั้น DSM-III (พุทธศักราช 2523) และได้ถูกปรับกลายเป็น DSM-IIIR (พ.ศ. 2530) ในขณะนี้ใช้กฏเกณฑ์การวินิจฉัยตาม DSM-IV (พ.ศ. 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) หมายความว่าความเปลี่ยนไปจากปกติในด้านพัฒนาการหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวิเคราะห์ PDD เป็น 5 ชนิด เป็นต้นว่า autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และpervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในตอนนี้ได้รวมออทิสติกเป็นกลุ่มโรคที่มีความมากมายหลากหลายของลักษณะทางสถานพยาบาล (autistic spectrum disorder ASD) รวมทั้งมีคำที่เรียกกรุ๊ปออทิสติกที่มีความบกพร่องน้อยกว่า high-functioning autism (https://www.img.in.th/images/17d5b4fc37d5d539fe8ba0b2b819be5b.jpg) โดยหมอจะดูอาการพื้นฐานว่ามีปัญหาด้านความเจริญหรือเปล่า ซึ่งอาการของเด็กที่มีความก้าวหน้าช้าจะมีลักษณะดังนี้ โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism) สามารถวิเคราะห์ได้โดยการสังเกตความประพฤติปฏิบัติ ซึ่ง มีลักษณะครบ 6 ข้อ โดยมีอาการจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ และมีลักษณะอาการ จากข้อ (2) และก็ข้อ (3) อย่างต่ำข้อละ 2 อาการ ดังนี้
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่ โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่
การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่เด่นชัดแน่ๆแต่มีผลการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยหลายชิ้นระบุว่า เกี่ยวเนื่องกับปัจจัยด้านกรรมพันธุ์ และก็ข้อผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อ เพราะไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด กระบวนการดูแลช่วยเหลือคนป่วยออทิสติก เ
|