หัวข้อ: โรคหัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ ที่ เมษายน 02, 2018, 08:17:06 am (https://www.img.in.th/images/ce85b9c910d9d20a1e25d3af246093dc.jpg)
โรคหัด (Measles) โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้ออกผื่นที่เกิดจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสที่พบได้ทั่วไปในเด็กเล็ก แต่ว่าก็สามารถเจอได้ในทุกวัย ซึ่งโรคฝึกนี้ยังนับเป็นโรคติดโรคระบบทางเท้าหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกฝนนี้มีประวัติความเป็นมาดังนี้ โรคหัด หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ แสดงว่า จุด (spots) ที่อธิบายอาการนำของโรคนี้ที่คนป่วยจะมีอาการไข้รวมทั้งผื่น นอกจากนั้นอาการสำคัญอื่นๆที่เป็นคุณลักษณะเด่นของโรคฝึกฝน อาทิเช่น ไอ น้ำมูลไหล แล้วก็ตาแดง โรคหัดมีชื่อเสียงมานานกว่า 2000 ปี พบหลักฐานการร่ายงานครั้งแรกโดยแพทย์และก็นักปรัชญาชาวอิหร่านชื่อ Rhazed และก็ใน คริสต์ศักราช1954 Panum และคณะ ได้รายงานการระบาดของโรคฝึกฝนที่หมู่เกาะฟาโรห์รวมทั้งให้ข้อสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดโรคที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวประมาณ 2 อาทิตย์ และหลังติดเชื้อโรคคนป่วยจะมีภูมิต้านทานตลอดชีพ โรคหัดถือว่าเป็นโรคที่มีความจำเป็นมากโรคหนึ่ง เพราะอาจส่งผลให้กำเนิดโรคแทรกซ้อนส่งผลให้เสียชีวิตได้ รวมทั้งแต่ว่าในปัจจุบันโรคนี้มีวัคซีนปกป้องที่มีคุณภาพสูงเกือบ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนปกป้องโรคฝึกฝนตั้งแต่ ปี พุทธศักราช2527) โรคหัดเป็นโรคที่เจอเกิดได้ตลอดทั้งปี แม้กระนั้นมีอุบัติการณ์สูงในตอนม.ค.ถึงเดือน รวมทั้งจังหวะในการกำเนิดโรคในสตรีและก็ผู้ชายมีใกล้เคียงกัน จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีคนตายด้วยโรคหัดจากทั้งโลก 134,200 ราย สำหรับเหตุการณ์โรคฝึกในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนคนป่วยโรคฝึกรวมทั้งสิ้น 5,207 คน และก็ 2,646 คน ในแต่ละปีตามลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นตอนอายุที่พบผู้เจ็บป่วยโรคนี้มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 37.03 รวมทั้ง 25.85 ของแต่ละปี สิ่งที่ทำให้เกิดโรคหัด โรคหัดมีต้นเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร หุ้มล้อมรอบโดย envelope เป็น glycol-protien ที่มีโปรตีนสำคัญ 3 จำพวก ได้แก่ H protein ปฏิบัติภารกิจให้ฝาผนังไวรัสเกาะติดกับฝาผนังเซลล์ของมนุษย์ F protein มีความหมายสำหรับเพื่อการแพร่เชื้อไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความจำเป็นเกี่ยวข้องกัน viral maturation เพราะว่าเป็นไวรัสที่มี envelope ห่อก็เลยถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦เซลเซียส) แสงไฟ สภาพการณ์ที่เป็นกรดรวมทั้งสารที่ละลายไขมันอย่างเช่นอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อในอากาศแล้วก็บนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และก็เชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนแค่นั้น อาการโรคฝึก ผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้สูง 39◦ซ.-40.5◦ซ. ร่วมกับมีไอ น้ำมูก รวมทั้งตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายอาจเจอตาไม่สู้แสง (photophobia) เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต ไม่อยากกินอาหารรวมทั้งท้องเสียร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะกำเนิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นและก็เจอ Koplik spots เป็นลักษณะเจาะจงที่สำคัญ มองเห็นเป็นจุดขาวปนเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ โดยมากพบรอบๆกระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามล่างซี่แรก (first molar) พบได้มาก 24 ชั่วโมงก่อนมีผื่นขึ้นแล้วก็ปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ ไข้จะเบาๆสูงมากขึ้นจนถึงสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก หลังหู ใบหน้าและไล่ลงมาที่คอ ทรวงอก แขน ท้อง จนมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกระจุกรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้มองชัดกว่าผื่นบริเวณช่วงล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการเจอผื่นที่ฝ่ามือหรือฝ่าตีนถึงจำนวนร้อยละ 25-50 แล้วก็บางทีอาจสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค เมื่อผื่นกำเนิดไล่มาถึงเท้าไข้จะต่ำลง อาการอื่นๆจะดีขึ้น ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันและก็หลังจากนั้นจึงค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้ารวมทั้งกลายเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งเป็นผลจากการมีเลือดออกในหลอดเลือดฝอยแล้วต่อจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆจำนวนมากมักสังเกตไม่พบเพราะหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ อาจพบการดำเนินโรคที่ไม่สบายแบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกต่อมาอุณหภูมิกลายเป็นปกติไม่มีไข้โดยประมาณ 24 ชั่วโมงแล้วจึงเริ่มจับไข้สูงอีกรอบแล้วก็มีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะคงอยู่อีกราวๆ 2-3 วันหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป ในกรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลับเป็นซ้ำใหม่ควรจะตรวจค้นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดที่พบบ่อยมีดังนี้ ภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกหัด เจอได้จำนวนร้อยละ 30 ของผู้เจ็บป่วยโรคฝึก พบได้ทั่วไปในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีและผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีแล้วก็ผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 20 ปี เกิดได้หลายระบบของร่างกาย ต้นสายปลายเหตุส่วนมากมีเหตุที่เกิดจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายและก็ผลของการกดภูมิคุ้มกันจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังต่อไปนี้
การวิเคราะห์ โรคฝึกใช้การวิเคราะห์จากวิธีซักความเป็นมาและก็ตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยคนไข้จะจับไข้สูง น้ำมูก ไอ ตาแดง และเจอผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การเจอ Koplik spots (จุดด้านในปากช่วงกระพุ้งแก้ม) จะเป็นหัวใจหลักที่ช่วยในการวินิจฉัย ในกรณีที่อาการและอาการแสดงไม่กระจ่างบางทีอาจไตร่ตรองส่งไปตรวจทางห้องปฏิบัติการดังต่อไปนี้เสริมเติมเพื่อช่วยยืนยันการวิเคราะห์
แนวทาง ELISA IgM ใช้แบบอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงแต่ครั้งเดียวตอน 4-30 ครั้งหน้าเจอผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มิลลิลิตรทิ้งเอาไว้ที่อุณหภูมิปกติ รอคอยกระทั่งเลือดแข็งตัว ดูดเฉพาะ Serum (หามีวัสดุพร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไร้เชื้อ ปิดจุกให้สนิทแล้วค่อยนำไปวิเคราะห์ถัดไป
ปิดฉลาก ชื่อ-นามสกุล และก็วัน-เดือน-ปี ที่เก็บ วิธี PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บตอน 1-5 วันแรกข้างหลังเจอผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายด้านในบริเวณ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วก็ค่อยนำไปวินิจฉัยต่อไป การรักษา เนื่องจากว่าการตำหนิดเชื้อไวรัส ฝึกฝนไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ จะต้องให้การรักษาตามอาการ อาทิเช่น เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในกรณีที่มีภาวะขาดน้ำหรือทานอาหารได้น้อย ให้ความชื้นและออกซิเจนในเรื่องที่หอบหายใจเร็ว ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย ตัวอย่างเช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกึ่งกลางอักเสบพิเคราะห์รักษาด้วยการใช้ยาต้านจุลชีวินที่เหมาะสมเป็นต้น นอกเหนือจากนี้พบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายแล้วก็ความพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกหัดได้แล้วก็ยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรคหัดได้อีกด้วย ดังนั้นหมอก็เลยมักพินิจพิเคราะห์จะให้วิตามินเอแก่ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชีดังนี้
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อเกิดโรคฝึกฝน
การติดต่อของโรคหัด โรคหัดเป็นโรคติดต่อที่แพร่กระจายสู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสฝึกฝนจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายแล้วก็เสลดของคนไข้ ติดต่อไปยังผู้อื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อคนป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจายออกไปในระยะไกลแล้วก็แขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนปกติมาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกโพรงปาก (ไม่จำเป็นที่ต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดเชื้อโรคฝึกได้ หรือสัมผัสสารคัดเลือกข้างหลังของผู้เจ็บป่วยโดยตรง ซึ่งเชื้ออาจติดอยู่กับมือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆเป็นต้นว่า แก้วน้ำ จาน ถ้วยชาม ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดหน้า ผ้าสำหรับเช็ดตัว หนังสือ ของเล่น เมื่อคนปกติมาสัมผัสถูกมือคนเจ็บ หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่มัวหมองเชื้อ เชื้อก็จะติดมาพร้อมกับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4 วันโดยช่วงที่เริ่มมีลักษณะอาการไอแล้วก็มีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีปริมาณไวรัสถูกขับออกมามากที่สุด ซึ่งภายในเวลา 7-14 คราวหลังสัมผัสโรค เชื้อไวรัสหัดจะกระจัดกระจายไปทั่วร่างกายส่งผลให้เกิดลักษณะของระบบทางเดินหายใจ ไข้แล้วก็ผื่นในผู้ป่วยรวมทั้งความเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ไม่ได้รับวัคซีนปกป้องโรคหัดมีโอกาสมีอาการป่วยเป็นโรคฝึกหากอยู่ใกล้ผู้ที่เป็นโรค การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคฝึก
แต่ว่าทั้งนี้ วิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่จะคุ้มครองป้องกันโรคหัดได้เป็นฉีดวัคซีนคุ้มครองป้องกัน เดี๋ยวนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดยาป้อง กันโรคฝึก 2 ครั้ง หนแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน และก็ครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าชั้นเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองได้สามโรค คือ โรคฝึกหัด โรคคางทูม และโรคเหือด เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/ฝึกฝน และก็ R=rubella/รูเบลลา/ โรคเหือด) ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคหัดเริ่มมีการปรับปรุงตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 กระทั่งมีการลงทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศอเมริการเมื่อปี ค.ศ.1963 ทั้งยังวัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) และก็วัคซีนประเภทเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) หลังจากเริ่มใช้วัคซีน 2 ชนิดได้เพียง 4 ปี วัคซีนปกป้องโรคฝึกหัดประเภทเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเนื่องจากว่าพบว่าส่งผลให้เกิด atypical measles โดยเหตุนั้นในช่วงต้นวัคซีนที่ใช้ก็เลยเป็น monovalent live attenuated measles vaccine ที่สร้างจากเชื้อสายจำพวก Edmonston ชนิด B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักแล้วก็ chick embryo cell แต่ว่าพบปัญหาข้างๆที่รุนแรงเรื่องไข้ ผื่น จึงมีการปรับปรุงวัคซีนประเภทเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์ Edmonston จำพวกอื่นๆด้วยกรรมวิธีการผลิตประเภทเดียวกันแม้กระนั้นทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลข้างเคียงก็เลยลดน้อยลง ต่อมาในปี คริสต์ศักราช1971 มีการขึ้นบัญชีวัคซีนรวมจำพวก trivalent live attenuated measles-mumps-rubella vaccine (MMR) และใช้อย่างมากมายจนกระทั่งปัจจุบันนี้สำหรับเมืองไทยเริ่มมีการใส่วัคซีนป้องกันโรคฝึกหัดตอนเช้าไปแผนการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติหนแรกในปี พ.ศ.2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนและในปี พุทธศักราช 2539 จึงเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมศึกษาเล่าเรียนปีที่ 1 ตราบจนกระทั่งปี พ.ศ.2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดหรือวัคซีนรวมคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนแล้วก็เปลี่ยนวัคซีนปกป้องโรคหัดสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมเรียนปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมคุ้มครองปกป้องโรคฝึก – คางทูม – โรคเหือด (MMR) เช่นเดียวกัน สมุนไพรที่ใช้คุ้มครองป้องกัน/รักษา/ทุเลาอาการโรคหัด ตามตำรายาไทยนั้นกล่าวว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาลักษณะของโรคฝึกมีดังนี้
ยิ่งไปกว่านี้ในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พ.ศ.2556 ดังกำหนดไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษาและบาเทาอาการโรคฝึกได้ โดยในอดีตกาล ความจริงการใช้ยาเขียวในโรคไข้เกิดผื่นในแผนไทย มิได้มีเป้าประสงค์ในการยับยั้งเชื้อไวรัส แม้กระนั้นอยากกระทุ้งพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมามากที่สุด คนป่วยจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน หมายถึงไม่เกิดผื่นข้างใน โดยเหตุนั้นจึงมีคนไม่ใช่น้อยที่กินยาเขียวแล้วจะคิดว่ามีผื่นขึ้นมากขึ้นจากเดิม หมอแผนไทยก็เลยเสนอแนะให้ใช้ทั้งวิธีกินรวมทั้งทา โดยการกินจะช่วยกระแทกพิษข้างในให้ออกมาที่ผิวหนัง และการทาจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าเกิดจะเปรียบเทียบกับวิธีการหมอแผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปเหมาะยาเขียวอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิคุ้มกัน หรือต้านออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่เป็นไข้ออกผื่น เป็นต้นว่า ฝึกหัด อีสุกอีใส เพื่อกระแทกให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น รวมทั้งหายได้เร็ว ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นองค์ประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างไปทางสีเขียว จึงทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว แล้วก็ใบไม้ที่ใช้นี้จำนวนมาก มีสรรพคุณ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางชนิดมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวจำนวนมากมีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น เป็นการที่เลือดมีพิษและความร้อนสูงมากกระทั่งจำเป็นต้องระบายทางผิวหนัง ได้ผลสำเร็จให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม อย่างเช่นที่พบในไข้เป็นผื่น ฝึกฝน อีสุกอีใส เป็นต้น เอกสารอ้างอิง
|