หัวข้อ: โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: watamon ที่ เมษายน 02, 2018, 09:44:06 am (https://www.img.in.th/images/8885a02e97b9d617061e5f2dbe72cfcf.jpg)
โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) โรคออทิสติกเป็นอย่างไร “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกมากมาย รวมทั้งมีการเปลี่ยนการเรียกชื่อเป็นระยะ อาทิเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และก็แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder) กระทั่งในขณะนี้ก็เลยมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวิเคราะห์โรคทางจิตเวชฉบับปัจจุบัน DSM-5 ของชมรมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความเปลี่ยนไปจากปกติของความก้าวหน้าเด็กแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง ทำให้มีความผิดพลาดของวิวัฒนาการหลายด้าน คือ กรุ๊ปอาการความแปลก 3 ด้านหลักเป็น
คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งหมายความว่า Self คือ แยกตัวอยู่ตามลำพังในโลกของตน เปรียบเสมือนมีกำแพงใส หรือกระจกส่อง กันบุคคลเหล่านี้ออกจากสังคมรอบข้าง ประวัติความเป็นมา ปี พ.ศ.2486 มีการรายงานคนป่วยเป็นครั้งแรก โดยนายแพทย์ลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานผู้เจ็บป่วยเด็กปริมาณ 11 คน ที่มีลักษณะอาการแปลกๆอย่างเช่น บอกเลียนเสียง บอกช้า ติดต่อไม่รู้เรื่อง ทำซ้ำๆเกลียดความเคลื่อนไหว ไม่สนใจคนอื่นๆ เล่นไม่เป็น แล้วก็ได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กพวกนี้แตกต่างจากเด็กที่ขาดตกบกพร่องทางสติปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะอาการเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism” ปี พ.ศ.2487 หมอฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย เล่าถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมทุกข์ยากลำบาก หมกมุ่นอยู่กับวิธีการทำอะไรบ่อยๆประหลาดๆแต่กลับพูดเก่งมากมาย และก็ดูเหมือนจะฉลาดเฉลียวด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พุทธศักราช2524 Lorna Wing เอามาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ คล้ายคลึงกับของแคนเนอร์มากมาย นักค้นคว้ารุ่นหลังจึงสรุปว่า หมอ 2 คนนี้เอ่ยถึงเรื่องเดียวกัน แต่ว่าในเนื้อหาที่แตกต่าง ซึ่งในตอนนี้จัดอยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน คือ “Autism Spectrum Disorder” จากการเรียนรู้ระยะเริ่มต้นพบอัตราความชุกของโรคออทิสติกประมาณ 4-5 รายต่อ 10000 ราย แต่ว่ารายงานในช่วงหลังพบอัตราความชุกเยอะขึ้นเรื่อยๆในประเทศต่างๆทั้งโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่เพิ่มมากขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งส่วนใดมาจากความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องออทิสติกที่เยอะขึ้น การใช้งานเครื่องมือในการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน รวมถึงปริมาณคนป่วยที่อาจมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ โรคออทิสติกพบในผู้ชายมากกว่าเพศหญิงอัตราส่วนโดยประมาณ 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงขึ้นในกรุ๊ปเด็กที่มีอาการน้อยและในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนผู้ชายต่อเพศหญิงต่ำลงในกลุ่มที่มีสภาวะปัญญาอ่อนร้ายแรงร่วมด้วย สิ่งที่ทำให้เกิดโรคออทิสติก มีความมานะบากบั่นในการศึกษาถึงสิ่งที่ทำให้เกิดออทิสติก แต่ก็ยังไม่รู้สาเหตุของความไม่ดีเหมือนปกติที่แน่ชัดได้ ในปัจจุบันมีหลักฐานช่วยเหลือแจ้งชัดว่าเกิดจากแนวทางการทำงานของสมองที่ไม่ปกติ มากยิ่งกว่าสำเร็จจากสภาพแวดล้อม ในสมัยก่อนเคยมั่นใจว่าออทิสติก เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการเลี้ยงดูในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (บิดามารดาที่บรรลุเป้าหมายในเรื่องงาน จนความเชื่อมโยงระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความห่างเหินเย็นชา ซึ่งมีการเปรียบว่า เป็นพ่อแม่ตู้แช่เย็น) แต่จากหลักฐานข้อมูลในปัจจุบันรับรองได้แจ่มชัดว่า แบบการชุบเลี้ยงไม่ใช่มูลเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แต่ว่าถ้าอุปการะอย่างเหมาะควรก็จะสามารถช่วยทำให้เด็กปรับปรุงดีขึ้นได้มาก แต่ในปัจจุบันนักค้นคว้า/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุด้านพันธุกรรมสูงมากมาย มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง เป็นต้นว่า ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q และก็ 16p เป็นต้น รวมทั้งจากการศึกษาเล่าเรียนในฝาแฝด พบว่าคู่แฝดราวกับ ซึ่งมีรหัสพันธุกรรมเช่นเดียวกัน ได้โอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงขึ้นมากยิ่งกว่าคู่แฝดไม่ราวกับอย่างเห็นได้ชัด และก็การศึกษาเล่าเรียนทางด้านกายตอนรวมทั้งสารสื่อประสาทในสมองของผู้ป่วยออทิสติก จากทั้งทางภาพถ่ายรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมถึงชิ้นเนื้อ เจอความแตกต่างจากปกติหลายประเภทในคนป่วยออทิสติกแม้กระนั้นยังไม่เจอแบบที่จำเพาะ ในทางกายตอนพบว่าสมองของผู้เจ็บป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วไป รวมทั้งนิดหน่อยของสมองมีขนาดเปลี่ยนไปจากปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานพบความไม่ดีเหมือนปกติของเนื้อสมอง อาทิเช่น brain stem, cerebellum, limbic system และ บางตำแหน่งของ cerebral cortex นอกนั้นการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ในผู้เจ็บป่วยออทิสติก เจอความแตกต่างจากปกติจำนวนร้อยละ 10-83 เป็นความเปลี่ยนไปจากปกติของคลื่นกระแสไฟฟ้าสมองแบบไม่เฉพาะเจาะจง (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงขึ้นมากยิ่งกว่าของคนทั่วๆไปคือ พบร้อยละ 5-38 ยิ่งไปกว่านี้ยังมีการเล่าเรียนเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลากหลายประเภทโดยเฉพาะอย่างยิ่ง serotonin ที่พบว่าสูงมากขึ้นในคนป่วยบางราย แต่ก็ยังมิได้บทสรุปที่กระจ่างถึงความเกี่ยวพันของความเปลี่ยนไปจากปกติเหล่านี้กับการเกิดออทิสติก ในปัจจุบันนี้สรุปได้ว่า สาเหตุส่วนมากของออทิสติกมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์แบบหลายสาเหตุ (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวเนื่องหลายตำแหน่งรวมทั้งมีภูเขามิไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคที่มีต้นเหตุมากจากการสัมผัสสภาพแวดล้อมต่างๆ อาการของโรคออทิสติก การที่จะรู้ดีว่าเด็กคนไหนกันแน่เป็นไหมเป็นออทิสติกนั้น เริ่มต้นจะดูได้จากความประพฤติปฏิบัติในวัยเด็ก ซึ่งมองเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก พ่อแม่บางครั้งก็อาจจะมองเห็นตั้งแต่ความสัมพันธ์ด้านสังคมกับคนอื่นๆ ด้านการสื่อความหมาย มีความประพฤติที่ทำอะไรบ่อยๆ พฤติกรรมจะเริ่มแสดงแจ่มชัดมากเพิ่มขึ้นเมื่อเด็กอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30 เดือน โดยมีลักษณะปรากฏกระจ่างในเรื่องความชักช้าด้านการพูดและก็การใช้ภาษา ด้านความเกี่ยวข้องกับสังคมพินิจได้จากการที่เด็กจะไม่จ้องตา ไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทางและก็ท่าทีเสมือนไม่สนใจ จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับผู้ใดกัน และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสมได้เมื่ออยู่ในสังคม สามารถแยกเป็นด้าน ดังเช่น
แม้เด็กออทิสติกที่มีระดับปัญญาปกติ ก็ยังมีความผิดพลาดในด้านการเข้าสังคม ดังเช่น ไม่เคยทราบแนวทางการเริ่มหรือจบทบเจรจา พ่อแม่บางคนอาจมองเห็นความผิดแปลกในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก และเมื่อเด็กไปสู่วัยศึกษา อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุว่าสถานการณ์ทางด้านสังคมที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พูดอีกนัยหนึ่ง เด็กจะไม่สามารถเข้าใจหรือรับทราบว่าผู้อื่นกำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไรเข้ากับเพื่อนได้ยาก มักถูกเด็กอื่นคิดว่าแปลกหรือเป็นตัวตลกโปกฮา
เด็กออทิสติดบางบุคคลเริ่มบอกคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในระยะแรกจะเป็นการกล่าวทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่หรูหราเชาวน์ธรรมดาหรือใกล้เคียงปกติจะมีความเจริญทางภาษาที่ออกจะดี รวมทั้งสามารถใช้ประโยคสำหรับการติดต่อได้เมื่ออายุประมาณ 5 ปี เมื่อถึงวัยเรียนความบกพร่องด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยยิ่งไปกว่านั้นการสนทนาโต้ตอบ อาจพูดจาวกวน พูดเฉพาะในเรื่องที่ตนพึงพอใจ รวมทั้งมีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ออกกาลเทศะ
เด็กออทิสติกแบบ high functioning ที่เป็นเด็กโตให้ความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัดกี่ โดยสิ่งที่สนใจนั้นบางทีอาจเกิดเรื่องที่เด็กธรรมดาพึงพอใจ แต่เด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับหัวข้อนั้นเป็นอย่างมาก อาทิเช่น จดจำเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ และก็สนทนาเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่เป็นประจำ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่พอใจอาจเป็นความทราบทางด้านวิชาการบางสาขา ตัวอย่างเช่น คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ และก็วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งวิชาความรู้เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในสถานที่เรียน ก็เลยช่วยทำให้เด็กออทิสติกเข้าร่วมสังคมในโรงเรียนเจริญขึ้น นอกนั้นเด็กออทิสติกบางครั้งก็อาจจะดื้อรั้นมากมายแล้วก็มีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่ไม่ได้พอใจเป็นพิเศษ กระทั่งบางทีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กซนสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาการของออทิสติกไม่ชัดเจน ในเด็กที่มีพัฒนาการช้าอย่างมากบางทีอาจเจอความประพฤติปฏิบัติรังควานตัวเอง เช่น โขกศีรษะหรือกัดตนเอง ฯลฯ ในด้านปัญญา เด็กออทิสติกบางคนมีความรู้และมีความเข้าใจพิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุ๊ป high functioning อาจสามารถจำตัวหนังสือแล้วก็นับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกลุ่มสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia) แนวทางการรักษาโรคออทิสติก สำหรับในการตรวจวิเคราะห์ว่าเด็กเป็นออทิสติกหรือไม่ ไม่มีเครื่องตวงที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่อาจมีการตรวจประกอบการวินิจฉัยจากพฤติกรรม โดยมาตรฐานการวินิจฉัยโรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแต่ว่า DSM-III (พุทธศักราช 2523) แล้วก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็น DSM-IIIR (พุทธศักราช 2530) ในขณะนี้ใช้เกณฑ์การวิเคราะห์ตาม DSM-IV (พ.ศ. 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) เป็นความเปลี่ยนไปจากปกติในด้านความก้าวหน้าหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวิเคราะห์ PDD เป็น 5 ชนิด อย่างเช่น autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และpervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในปัจจุบันได้รวมออทิสติกเป็นกรุ๊ปโรคที่มีความมากมายหลายของลักษณะทางคลินิก (autistic spectrum disorder ASD) และก็มีคำที่เรียกกลุ่มออทิสติกที่มีความผิดพลาดน้อยกว่า high-functioning autism (https://www.img.in.th/images/17d5b4fc37d5d539fe8ba0b2b819be5b.jpg) โดยแพทย์จะมองอาการพื้นฐานว่ามีปัญหาด้านความเจริญหรือเปล่า ซึ่งลักษณะของเด็กที่มีพัฒนาการช้าจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism) สามารถวิเคราะห์ได้โดยการสังเกตการกระทำ ซึ่ง มีอาการครบ 6 ข้อ โดยมีลักษณะอาการจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ และก็มีลักษณะอาการ จากข้อ (2) แล้วก็ข้อ (3) ขั้นต่ำข้อละ 2 อาการ ดังนี้
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่ โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่
การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่เคยทราบสาเหตุการเกิดโรคที่แจ่มแจ้งแน่นอนแม้กระนั้นส่งผลการศึกษาวิจัยจำนวนมากระบุว่า เกี่ยวข้องกับต้นสายปลายเหตุด้านกรรมพันธุ์ รวมทั้งข้อผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อ ด้วยเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัต
|