หัวข้อ: โรคหัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: watamon ที่ เมษายน 02, 2018, 01:12:58 pm (https://www.img.in.th/images/ce85b9c910d9d20a1e25d3af246093dc.jpg)
โรคหัด (Measles) โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้ออกผื่นที่เกิดขึ้นมาจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสที่พบมากในเด็กตัวเล็กๆ แต่ว่าก็สามารถพบได้ในทุกวัย ซึ่งโรคฝึกหัดนี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อโรคระบบทางเท้าหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกนี้มีประวัติที่ไปที่มาดังต่อไปนี้ โรคหัด หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ แปลว่า จุด (spots) ที่อธิบายอาการนำของโรคนี้ที่ผู้ป่วยจะมีอาการไข้รวมทั้งผื่น นอกจากที่กล่าวมานี้อาการสำคัญอื่นๆที่เป็นจุดแข็งของโรคฝึกหัด ตัวอย่างเช่น ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดมีชื่อเสียงมานานกว่า 2000 ปี พบหลักฐานการร่ายงานคราวแรกโดยหมอและก็นักปรัชญาชาวอิหร่านชื่อ Rhazed แล้วก็ใน ค.ศ.1954 Panum และก็คณะ ได้รายงานการระบาดของโรคฝึกที่หมู่เกาะฟาโรห์และก็ให้ข้อสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวราว 2 อาทิตย์ รวมทั้งข้างหลังติดเชื้อคนเจ็บจะมีภูมิต้านทานตลอดชีพ โรคหัดถือได้ว่าเป็นโรคที่มีความหมายมากมายโรคหนึ่ง เนื่องจากว่าอาจจะส่งผลให้กำเนิดโรคแทรกส่งผลให้เสียชีวิตได้ และแต่ในปัจจุบันโรคนี้มีวัคซีนป้องกันที่มีคุณภาพสูงเกือบจะ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคหัดตั้งแต่ ปี พุทธศักราช2527) โรคหัดเป็นโรคที่พบกำเนิดได้ตลอดทั้งปี แม้กระนั้นมีอุบัติการณ์สูงในช่วงม.ค.ถึงเดือน และโอกาสสำหรับในการกำเนิดโรคในเพศหญิงและผู้ชายมีใกล้เคียงกัน จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีคนเสียชีวิตด้วยโรคฝึกจากทั่วทั้งโลก 134,200 ราย สำหรับสถานการณ์โรคฝึกฝนในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนคนเจ็บโรคฝึกรวมทั้งสิ้น 5,207 คน และก็ 2,646 คน ในแต่ละปีตามลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นตอนอายุที่พบผู้เจ็บป่วยโรคนี้เยอะที่สุด คิดเป็นร้อยละ 37.03 และก็ 25.85 ของแต่ละปี ต้นเหตุของโรคฝึก โรคหัดมีต้นเหตุจากการต่อว่าดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus รวมทั้ง Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร หุ้มโอบล้อมโดย envelope เป็น glycol-protien ที่มีโปรตีนสำคัญ 3 ชนิด อาทิเช่น H protein ปฏิบัติหน้าที่ให้ผนังเชื้อไวรัสเกาะติดกับฝาผนังเซลล์ของมนุษย์ F protein มีความสำคัญสำหรับในการแพร่เชื้อไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความจำเป็นเกี่ยวข้องกัน viral maturation เนื่องจากว่าเป็นไวรัสที่มี envelope หุ้มก็เลยถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦เซลเซียส) แสงสว่าง สภาพการณ์ที่เป็นกรดและสารที่ละลายไขมันได้แก่อีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อกลางอากาศรวมทั้งบนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนแค่นั้น อาการของโรคฝึกหัด ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มมีไข้สูง 39◦ซ.-40.5◦ซ. ร่วมกับมีไอ น้ำมูก และก็ตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายอาจเจอตาไม่สู้แสงสว่าง (photophobia) เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต ไม่อยากอาหารรวมทั้งท้องร่วงร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะเกิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นแล้วก็พบ Koplik spots เป็นลักษณะเจาะจงที่สำคัญ เห็นเป็นจุดขาวคละเคล้าเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ โดยมากเจอบริเวณกระพุ้งแก้มตรงกันข้ามกับฟันกรามล่างซี่แรก (first molar) พบได้มาก 1 วันก่อนมีผื่นขึ้นและก็ปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ ไข้จะเบาๆสูงมากขึ้นจนกระทั่งสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก หลังหู ใบหน้าและก็ไล่ลงมาที่คอ หน้าอก แขน ท้อง จนกระทั่งมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกระจุกรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้ดูชัดกว่าผื่นรอบๆช่วงล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการพบผื่นที่ฝ่ามือหรือฝ่าตีนถึงปริมาณร้อยละ 25-50 และอาจสโมสรกับความร้ายแรงของโรค เมื่อผื่นกำเนิดไล่มาถึงเท้าไข้จะลดน้อยลง อาการอื่นๆจะ ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันแล้วค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้าและกลายเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งได้ผลจากการมีเลือดออกในเส้นเลือดฝอยแล้วหลังจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆจำนวนมากมักพิจารณาไม่เจอเนื่องจากว่าหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ บางทีอาจพบการดำเนินโรคที่ป่วยแบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกต่อมาอุณหภูมิกลับกลายปกติไม่มีไข้ประมาณ 24 ชั่วโมงแล้วจึงเริ่มมีไข้สูงอีกครั้งและมีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะคงอยู่อีกโดยประมาณ 2-3 คราวหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป ในกรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลายเป็นซ้ำใหม่ควรจะตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นเพราะการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจเจอนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกหัดที่พบบ่อยมีดังนี้ ภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกฝน เจอได้ปริมาณร้อยละ 30 ของคนเจ็บโรคฝึกหัด พบได้มากในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีแล้วก็คนแก่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีและก็คนแก่ที่แก่กว่า 20 ปี กำเนิดได้หลายระบบของร่างกาย ปัจจัยจำนวนมากเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายและผลของการกดภูมิต้านทานจากการตำหนิดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังนี้
การวิเคราะห์ โรคหัดใช้การวินิจฉัยจากวิธีสำหรับซักประวัติความเป็นมาแล้วก็ตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยคนเจ็บจะมีไข้สูง น้ำมูก ไอ ตาแดง แล้วก็พบผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การพบ Koplik spots (จุดภายในปากช่วงกระพุ้งแก้ม) จะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยในการวินิจฉัย ในกรณีที่อาการและก็อาการแสดงไม่แน่ชัดอาจตรึกตรองส่งไปทำการตรวจทางห้องทดลองดังนี้เพิ่มเติมอีกเพื่อช่วยยืนยันการวิเคราะห์
แนวทาง ELISA IgM ใช้ตัวอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงแต่ครั้งเดียวตอน 4-30 วันหน้าเจอผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มล.ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง คอยกระทั่งเลือดแข็ง ดูดเฉพาะ Serum (หามีอุปกรณ์พร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไม่มีเชื้อ ปิดจุกให้สนิทแล้วนำไปวิเคราะห์ถัดไป
ปิดฉลาก ชื่อ-ชื่อสกุล รวมทั้งวัน-เดือน-ปี ที่เก็บ วิธี PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บช่วง 1-5 วันแรกหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายภายในรอบๆ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วนำไปวิเคราะห์ถัดไป การดูแลรักษา เหตุเพราะการตำหนิดเชื้อไวรัส ฝึกฝนไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ จำเป็นจะต้องให้การรักษาตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในกรณีที่มีภาวการณ์ขาดน้ำหรือกินอาหารได้น้อย ให้ความชื้นแล้วก็ออกสิเจนในเรื่องที่หอบหายใจเร็ว ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย อย่างเช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบพิเคราะห์รักษาด้วยการใช้ยาต่อต้านจุลชีพที่สมควรฯลฯ ยิ่งไปกว่านี้พบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายและก็ความพิกลพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคหัดได้และก็ยังช่วยเสริมภูมิต้านทานโรคฝึกหัดได้อีกด้วย ด้วยเหตุดังกล่าวแพทย์จึงมักพินิจจะให้วิตามินเอแก่คนเจ็บที่มีข้อบ่งชีดังต่อไปนี้
ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคฝึกฝน
การติดต่อของโรคหัด โรคฝึกฝนเป็นโรคติดต่อที่แพร่สู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสฝึกจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายแล้วก็เสมหะของผู้เจ็บป่วย ติดต่อไปยังผู้อื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อคนป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจายออกไปในระยะไกลรวมทั้งแขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนธรรมดามาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกช่องปาก (ไม่จำเป็นที่จะต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดโรคหัดได้ หรือสัมผัสสารคัดเลือกข้างหลังของคนไข้โดยตรง ซึ่งเชื้ออาจติดอยู่กับมือของคนเจ็บ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆอย่างเช่น ถ้วยน้ำ จาน ชาม ผ้าที่มีไว้เช็ดหน้า ผ้าที่เอาไว้เช็ดตัว หนังสือ ของเล่น เมื่อคนปกติมาสัมผัสถูกมือคนเจ็บ หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่แปดเปื้อนเชื้อ เชื้อก็จะติดมาพร้อมกับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4 วันโดยช่วงที่เริ่มมีลักษณะไอและมีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีปริมาณเชื้อไวรัสถูกขับออกมาเยอะที่สุด ซึ่งภายในช่วงเวลา 7-14 วันหลังสัมผัสโรค เชื้อไวรัสหัดจะกระจายไปทั่วร่างกายทำให้มีการเกิดอาการของระบบทางเท้าหายใจ ไข้และก็ผื่นในคนเจ็บรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มิได้รับวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกหัดได้โอกาสมีอาการป่วยด้วยโรคฝึกฝนหากอยู่ใกล้คนที่เป็นโรค การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคฝึกฝน
แม้กระนั้นทั้งนี้ วิธีที่เยี่ยมที่สุดที่จะคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดได้หมายถึงฉีดวัคซีนป้องกัน ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดยาป้อง กันโรคฝึก 2 ครั้ง ทีแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน รวมทั้งครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าห้องเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองได้สามโรค คือ โรคหัด โรคคางทูม และโรคหัดเยอรมัน เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/หัด แล้วก็ R=rubella/รูเบลลา/ โรคหัดเยอรมัน) ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 จวบจนกระทั่งมีการลงบัญชีการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศประเทศสหรัฐอเมริการเมื่อปี คริสต์ศักราช1963 อีกทั้งวัคซีนจำพวกเชื้อตาย (killed vaccine) แล้วก็วัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) ภายหลังจากเริ่มใช้วัคซีน 2 ชนิดได้เพียง 4 ปี วัคซีนคุ้มครองโรคหัดจำพวกเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเนื่องจากว่าพบว่ากระตุ้นให้เกิด atypical measles ด้วยเหตุนั้นในช่วงต้นวัคซีนที่ใช้จึงเป็น monovalent live attenuated measles vaccine ที่สร้างขึ้นมาจากเชื้อสายประเภท Edmonston ประเภท B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักแล้วก็ chick embryo cell แต่เจอปัญหาใกล้กันที่รุนแรงเรื่องไข้ ผื่น ก็เลยมีการพัฒนาวัคซีนประเภทเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์ Edmonston จำพวกอื่นๆด้วยกรรมวิธีการผลิตชนิดเดียวกันแม้กระนั้นทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลกระทบก็เลยน้อยลง ต่อมาในปี คริสต์ศักราช1971 มีการจดทะเบียนวัคซีนรวมจำพวก trivalent live attenuated measles-mumps-rubella vaccine (MMR) และก็ใช้อย่างมากมายจนกระทั่งเดี๋ยวนี้สำหรับประเทศไทยเริ่มมีการใส่วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกหัดยามเช้าไปกลยุทธ์สร้างเสริมภูมิต้านทานโรคแห่งชาติหนแรกในปี พ.ศ.2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนแล้วก็ในปี พุทธศักราช 2539 จึงเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมศึกษาเล่าเรียนปีที่ 1 จนกว่าปี พุทธศักราช2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกหัดหรือวัคซีนรวมป้องกันโรคฝึก-คางทูม-โรคเหือด (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนแล้วก็เปลี่ยนแปลงวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมศึกษาเล่าเรียนปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมปกป้องโรคฝึกฝน – คางทูม – โรคเหือด (MMR) เช่นเดียวกัน สมุนไพรที่ใช้ป้องกัน/รักษา/บรรเทาอาการของโรคฝึกฝน ตามตำรายาไทยนั้นระบุว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาลักษณะของโรคหัดมีดังนี้
ยิ่งไปกว่านี้ในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พุทธศักราช2556 ดังเจาะจงไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษาแล้วก็บาเทาลักษณะของโรคฝึกฝนได้ โดยในอดีตกาล ที่จริงการใช้ยาเขียวในโรคไข้เป็นผื่นในแผนไทย มิได้มีเป้าประสงค์สำหรับการยั้งเชื้อไวรัส แต่ว่าต้องการกระแทกพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมามากที่สุด คนป่วยจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน หมายความว่าไม่เกิดผื่นด้านใน โดยเหตุนั้นจึงมีผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยที่กินยาเขียวแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีผื่นขึ้นมากขึ้นจากเดิม แพทย์แผนไทยก็เลยแนะนำให้ใช้ทั้งยังวิธีกินรวมทั้งทา โดยการกินจะช่วยกระทุ้งพิษข้างในให้ออกมาที่ผิวหนัง และก็การชโลมจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าหากจะเปรียบเทียบกับวิธีการหมอแผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปได้ที่ยาเขียวบางทีอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิคุ้มกัน หรือต้านออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่จับไข้เป็นผื่น ดังเช่น ฝึกฝน อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น รวมทั้งหายได้เร็ว ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นส่วนประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างจะไปทางสีเขียว ก็เลยทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว และก็ใบไม้ที่ใช้นี้จำนวนมาก มีสรรพคุณ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางชนิดมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวจำนวนมากมีคุณประโยชน์ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น เป็นการที่เลือดเป็นพิษและความร้อนสูงมากจนกระทั่งจำเป็นต้องระบายทางผิวหนัง สำเร็จให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม ตัวอย่างเช่นที่พบในไข้เป็นผื่น ฝึก อีสุกอีใส เป็นต้น เอกสารอ้างอิง
|