หัวข้อ: โรคหัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: Jeatnarong9898 ที่ เมษายน 02, 2018, 04:24:38 pm (https://www.img.in.th/images/ce85b9c910d9d20a1e25d3af246093dc.jpg)
โรคหัด (Measles) โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้ออกผื่นชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสที่มักพบในเด็กตัวเล็กๆ แต่ว่าก็สามารถพบได้ในทุกวัย ซึ่งโรคฝึกฝนนี้ยังนับเป็นโรคติดโรคระบบฟุตบาทหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคหัดนี้มีประวัติที่มาที่ไปดังต่อไปนี้ โรคหัด หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ แปลว่า จุด (spots) ที่ชี้แจงอาการนำของโรคนี้ที่คนเจ็บจะมีอาการไข้แล้วก็ผื่น นอกนั้นอาการสำคัญอื่นๆที่เป็นจุดแข็งของโรคหัด ยกตัวอย่างเช่น ไอ น้ำมูลไหล แล้วก็ตาแดง โรคหัดเป็นที่รู้จักมานานกว่า 2000 ปี เจอหลักฐานการร่ายงานทีแรกโดยแพทย์และก็นักปรัชญาชาวอิหร่านชื่อ Rhazed แล้วก็ใน คริสต์ศักราช1954 Panum แล้วก็แผนก ได้รายงานการระบาดของโรคฝึกหัดที่หมู่เกาะฟาโรห์แล้วก็ให้ผลสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อโรคที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวราว 2 อาทิตย์ และข้างหลังติดเชื้อโรคผู้เจ็บป่วยจะมีภูมิต้านทานตลอดชาติ โรคหัดถือว่าเป็นโรคที่มีความจำเป็นมากมายโรคหนึ่ง ด้วยเหตุว่าอาจจะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนส่งผลให้เสียชีวิตได้ แล้วก็แม้กระนั้นในขณะนี้โรคนี้มีวัคซีนปกป้องที่มีคุณภาพสูงเกือบจะ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกฝนตั้งแต่ ปี พ.ศ.2527) โรคฝึกฝนเป็นโรคที่เจอเกิดได้ตลอดทั้งปี แม้กระนั้นมีอุบัติการณ์สูงในช่วงม.ค.ถึงเดือน และก็ช่องทางในการเกิดโรคในหญิงรวมทั้งผู้ชายมีใกล้เคียงกัน จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีผู้ตายด้วยโรคหัดจากทั่วโลก 134,200 ราย สำหรับสถานการณ์โรคหัดในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีปริมาณคนไข้โรคฝึกรวมทั้งสิ้น 5,207 คน แล้วก็ 2,646 คน ในแต่ละปีเป็นลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นช่วงอายุที่เจอผู้ป่วยโรคนี้สูงที่สุด คิดเป็นร้อยละ 37.03 แล้วก็ 25.85 ของแต่ละปี ที่มาของโรคฝึกฝน โรคหัด[/b]มีสาเหตุจากการติดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และก็ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร ห่อหุ้มโอบล้อมโดย envelope เป็น glycol-protien ที่ประกอบด้วยโปรตีนสำคัญ 3 ประเภท ได้แก่ H protein ทำหน้าที่ให้ผนังไวรัสเกาะติดกับผนังเซลล์ของมนุษย์ F protein มีความหมายสำหรับในการแพร่เชื้อไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความหมายเกี่ยวข้องกัน viral maturation เนื่องมาจากเป็นไวรัสที่มี envelope ห่อหุ้มก็เลยถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦ซ.) แสงสว่าง สภาวะที่เป็นกรดและสารที่ละลายไขมันเช่นอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อในอากาศแล้วก็บนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงระยะเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนเพียงแค่นั้น ลักษณะโรคฝึกหัด ผู้เจ็บป่วยจะเริ่มเป็นไข้สูง 39◦เซลเซียส-40.5◦เซลเซียส ร่วมกับมีไอ น้ำมูก และก็ตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายอาจพบตาไม่สู้แสงสว่าง (photophobia) เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต เบื่อข้าวรวมทั้งท้องเดินร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะเกิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นและพบ Koplik spots เป็นลักษณะเฉพาะเจาะจงที่สำคัญ เห็นเป็นจุดขาวผสมเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ ส่วนใหญ่เจอบริเวณกระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามล่างซี่แรก (first molar) มักพบ 1 วันก่อนมีผื่นขึ้นและปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังต่อไปนี้เป็นไข้จะค่อยๆสูงขึ้นจนกระทั่งสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก ข้างหลังหู ใบหน้ารวมทั้งไล่ลงมาที่คอ อก แขน ท้อง จนกระทั่งมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกระจุกรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้มองชัดกว่าผื่นบริเวณช่วงล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการพบผื่นที่ฝ่ามือหรืออุ้งเท้าถึงปริมาณร้อยละ 25-50 และก็บางทีอาจชมรมกับความรุนแรงของโรค เมื่อผื่นเกิดไล่มาถึงเท้าไข้จะลดลง อาการอื่นๆจะ ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันและก็หลังจากนั้นจึงค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้าแล้วก็เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งเป็นผลจากการมีเลือดออกในเส้นเลือดฝอยแล้วหลังจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆส่วนใหญ่มักพินิจไม่พบเพราะว่าหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ บางทีอาจเจอการดำเนินโรคที่ป่วยแบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกต่อมาอุณหภูมิกลับเป็นปกติไม่มีไข้ราวๆ 24 ชั่วโมงแล้วจึงเริ่มมีไข้สูงอีกทีรวมทั้งมีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะคงอยู่อีกราว 2-3 คราวหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป ในกรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลับกลายซ้ำใหม่ควรตรวจค้นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นเพราะการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกฝนที่พบมากมีดังนี้ ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัด เจอได้ปริมาณร้อยละ 30 ของคนเจ็บโรคฝึกหัด พบบ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีและก็คนแก่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีและก็คนแก่ที่อายุมากกว่า 20 ปี กำเนิดได้หลายระบบของร่างกาย ต้นสายปลายเหตุโดยมากมีสาเหตุจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายและผลของการกดภูมิต้านทานจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังต่อไปนี้
การวินิจฉัย โรคฝึกใช้การวินิจฉัยจากแนวทางซักความเป็นมาแล้วก็ตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยผู้ป่วยจะจับไข้สูง น้ำมูก ไอ ตาแดง รวมทั้งพบผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การพบ Koplik spots (จุดภายในปากตอนกระพุ้งแก้ม) จะเป็นข้อสำคัญที่ช่วยสำหรับการวินิจฉัย ในเรื่องที่อาการแล้วก็อาการแสดงไม่ชัดแจ้งบางทีอาจไตร่ตรองส่งไปตรวจทางห้องปฏิบัติการดังต่อไปนี้เพิ่มเติมอีกเพื่อช่วยรับรองการวินิจฉัย
วิธี ELISA IgM ใช้ตัวอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงแต่ครั้งเดียวช่วง 4-30 คราวหน้าเจอผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มล.ทิ้งเอาไว้ที่อุณหภูมิปกติ รอคอยจนถึงเลือดแข็งตัว ดูดเฉพาะ Serum (หามีอุปกรณ์พร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไม่มีเชื้อ ปิดจุกให้สนิทและจากนั้นจึงนำไปวิเคราะห์ถัดไป
ปิดฉลาก ชื่อ-นามสกุล รวมทั้งวัน-เดือน-ปี ที่เก็บ วิธี PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บตอน 1-5 วันแรกข้างหลังเจอผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายด้านในรอบๆ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทและจากนั้นจึงนำไปวิเคราะห์ต่อไป การดูแลและรักษา เพราะว่าการต่อว่าดเชื้อไวรัส ฝึกไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ จำเป็นจะต้องให้การรักษาตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในเรื่องที่มีภาวการณ์ขาดน้ำหรือรับประทานอาหารได้น้อย ให้ความชื้นรวมทั้งออกสิเจนในเรื่องที่หอบหายใจเร็ว ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้นว่า ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบพินิจพิเคราะห์รักษาโดยใช้ยาต้านจุลินทรีย์ที่สมควรเป็นต้น นอกเหนือจากนี้พบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายและความพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกฝนได้แล้วก็ยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรคหัดได้อีกด้วย ด้วยเหตุนั้นแพทย์จึงมักตรึกตรองจะให้วิตามินเอแก่ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชีดังนี้
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อเกิดโรคฝึก
การติดต่อของโรคหัด โรคฝึกหัดเป็นโรคติดต่อที่แพร่ขยายสู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสฝึกหัดจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายแล้วก็เสมหะของคนไข้ ติดต่อไปยังผู้อื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจายออกไปในระยะไกลและก็แขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนปกติมาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกโพรงปาก (ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดโรคฝึกฝนได้ หรือสัมผัสสารคัดเลือกข้างหลังของคนป่วยโดยตรง ซึ่งเชื้อบางทีอาจติดอยู่ที่มือของคนป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆอาทิเช่น ถ้วยน้ำ จาน ชาม ผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดตัว หนังสือ ของเล่นเด็ก เมื่อคนปกติมาสัมผัสถูกมือผู้ป่วย หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่ปนเปื้อนเชื้อ เชื้อก็จะติดมากับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4 วันโดยช่วงที่เริ่มมีอาการไอรวมทั้งมีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีจำนวนเชื้อไวรัสถูกขับออกมามากที่สุด ซึ่งภายในช่วงเวลา 7-14 วันหน้าสัมผัสโรค เชื้อไวรัสฝึกฝนจะกระจายไปทั่วร่างกายส่งผลให้เกิดอาการของระบบฟุตบาทหายใจ ไข้และก็ผื่นในคนเจ็บรวมถึงความเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกฝนได้โอกาสมีอาการป่วยเป็นโรคหัดถ้าหากอยู่ใกล้คนที่เป็นโรค การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคฝึกฝน
แม้กระนั้นทั้งนี้ แนวทางที่ดีที่สุดที่จะคุ้มครองป้องกันโรคฝึกได้หมายถึงฉีดยาคุ้มครองป้องกัน เดี๋ยวนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดยาป้อง กันโรคฝึกฝน 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน และครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าห้องเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งสองครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม ปกป้องได้สามโรค คือ โรคฝึก โรคคางทูม และโรคเหือด เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/ฝึก รวมทั้ง R=rubella/รูเบลลา/ โรคเหือด) ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกเริ่มมีการปรับปรุงตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1960 ตราบจนกระทั่งมีการลงทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริการเมื่อปี ค.ศ.1963 วัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) แล้วก็วัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) ภายหลังจากเริ่มใช้วัคซีนทั้ง 2 ประเภทได้เพียงแค่ 4 ปี วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกหัดประเภทเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดเนื่องจากพบว่าก่อให้เกิด atypical measles โดยเหตุนั้นในช่วงต้นวัคซีนที่ใช้ก็เลยเป็น monovalent live attenuated measles vaccine ที่ผลิตขึ้นจากเชื้อสายประเภท Edmonston ประเภท B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักรวมทั้ง chick embryo cell แต่เจอปัญหาข้างๆที่รุนแรงเรื่องไข้ ผื่น ก็เลยมีการพัฒนาวัคซีนประเภทเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์ Edmonston จำพวกอื่นๆด้วยขั้นตอนการผลิตชนิดเดียวกันแต่ทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลข้างเคียงจึงต่ำลง ต่อมาในปี คริสต์ศักราช1971 มีการขึ้นทะเบียนวัคซีนรวมจำพวก trivalent live attenuated measles-mumps-rubella vaccine (MMR) และก็ใช้อย่างแพร่หลายจนกระทั่งเดี๋ยวนี้สำหรับเมืองไทยเริ่มมีการบรรจุวัคซีนป้องกันโรคหัดตอนเช้าไปแนวทางสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติทีแรกในปี พ.ศ.2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนและในปี พุทธศักราช 2539 ก็เลยเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนกว่าปี พ.ศ.2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคฝึกหรือวัคซีนรวมปกป้องโรคฝึกหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนและก็เปลี่ยนวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมเรียนปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมปกป้องโรคฝึกหัด – คางทูม – โรคเหือด (MMR) เหมือนกัน สมุนไพรที่ใช้คุ้มครอง/รักษา/ทุเลาลักษณะโรคฝึก ตามตำรายาไทยนั้นระบุว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการโรคหัดมีดังนี้
นอกจากนี้ในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พุทธศักราช2556 ดังกำหนดไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษาและก็บาเทาอาการของโรคฝึกหัดได้ โดยในสมัยโบราณ ที่แท้การใช้ยาเขียวในโรคไข้ออกผื่นในแผนไทย มิได้มีวัตถุประสงค์สำหรับในการยับยั้งเชื้อไวรัส แม้กระนั้นอยากกระแทกพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมามากที่สุด คนไข้จะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน คือไม่เกิดผื่นข้างใน ด้วยเหตุผลดังกล่าวก็เลยมีผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยที่กินยาเขียวแล้วจะรู้สึกว่ามีผื่นมากยิ่งกว่าเดิมขึ้นจากเดิม หมอแผนไทยจึงชี้แนะให้ใช้วิธีกินแล้วก็ทา โดยการกินจะช่วยกระแทกพิษภายในให้ออกมาที่ผิวหนัง รวมทั้งการทาจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าหากจะเปรียบเทียบกับวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปได้ที่ยาเขียวบางทีอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิต้านทาน หรือต้านทานออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่ป่วยเป็นผื่น ได้แก่ หัด อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น แล้วก็หายได้เร็ว ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นส่วนประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างไปทางสีเขียว จึงทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว และใบไม้ที่ใช้นี้จำนวนมาก มีคุณประโยชน์ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางจำพวกมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวจำนวนมากมีคุณประโยชน์ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น หมายถึงการที่เลือดเป็นพิษรวมทั้งความร้อนสูงมากมายกระทั่งต้องระบายทางผิวหนัง สำเร็จให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม อาทิเช่นที่เจอในไข้ออกผื่น ฝึกฝน อีสุกอีใส เป็นต้น เอกสารอ้างอิง
|