หัวข้อ: โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: ณเดช2499 ที่ เมษายน 03, 2018, 08:08:15 am (https://www.img.in.th/images/8885a02e97b9d617061e5f2dbe72cfcf.jpg)
โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) โรคออทิสติกเป็นอย่างไร “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกนานัปการ แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงการเรียกชื่อเป็นระยะ ดังเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และแอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder) กระทั่งในขณะนี้จึงมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวิเคราะห์โรคทางจิตใจเวชฉบับล่าสุด DSM-5 ของสัมพันธ์จิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พุทธศักราช2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความไม่ปกติของวิวัฒนาการเด็กแบบอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นโรคที่เกิดจากความไม่ดีเหมือนปกติของสมอง ทำให้มีความผิดพลาดของวิวัฒนาการหลายด้านหมายถึงกลุ่มอาการความแตกต่างจากปกติ 3 ด้านหลักคือ
คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งมีความหมายว่า Self คือ แยกตัวอยู่ตามลำพังในโลกของตัวเอง เปรียบได้เสมือนดั่งมีกำแพงใส หรือกระจกส่อง กั้นบุคคลพวกนี้ออกมาจากสังคมรอบตัว ประวัติความเป็นมา ปี พ.ศ.2486 มีการรายงานผู้เจ็บป่วยเป็นครั้งแรก โดยนายแพทย์ลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐฯ รายงานคนป่วยเด็กจำนวน 11 คน ที่มีอาการแปลกๆอย่างเช่น บอกเลียนเสียง กล่าวช้า ติดต่อไม่รู้เรื่อง ทำซ้ำๆเกลียดการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจคนอื่น เล่นไม่เป็น และก็ได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กกลุ่มนี้ต่างจากเด็กที่ขาดตกบกพร่องทางสติปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism” ปี พ.ศ.2487 นายแพทย์ฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย บรรยายถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมลำบาก หมกมุ่นอยู่กับแนวทางการทำอะไรซ้ำๆแปลกๆแต่กลับคุยเก่งมาก และดูเหมือนจะฉลาดมากจริงๆด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะอาการเช่นนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พุทธศักราช2524 Lorna Wing นำมาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ คล้ายคลึงกับของแคนเนอร์มากมาย นักวิจัยรุ่นหลังก็เลยสรุปว่า แพทย์ 2 คนนี้กล่าวถึงเรื่องเดียวกัน แต่ในเนื้อหาที่แตกต่าง ซึ่งในขณะนี้จัดอยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน คือ “Autism Spectrum Disorder” จากการเล่าเรียนช่วงแรกพบอัตราความชุกของโรคออทิสติกโดยประมาณ 4-5 รายต่อ 10000 ราย แต่ว่ากล่าวในพักหลังพบอัตราความชุกเยอะขึ้นในประเทศต่างๆทั้งโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่มากเพิ่มขึ้นนี้ ส่วนใดส่วนหนึ่งมาจากความรู้ความเข้าใจเรื่องออทิสติกที่มากยิ่งขึ้น การใช้เครื่องมือสำหรับในการวินิจฉัยที่ต่างกัน รวมถึงจำนวนคนเจ็บที่อาจมีมากเพิ่มขึ้น โรคออทิสติกเจอในเพศชายมากยิ่งกว่าผู้หญิงอัตราส่วนราวๆ 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงมากขึ้นในกลุ่มเด็กที่มีลักษณะน้อยรวมทั้งในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนเพศชายต่อผู้หญิงต่ำลงในกรุ๊ปที่มีภาวะปัญญาอ่อนร้ายแรงร่วมด้วย ต้นเหตุของโรคออทิสติก มีความเพียรพยายามในการศึกษาถึงสาเหตุของออทิสติก แต่ก็ยังไม่เคยรู้สาเหตุของความเปลี่ยนไปจากปกติที่ชัดแจ้งได้ ในขณะนี้มีหลักฐานช่วยเหลือแจ่มกระจ่างว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากลักษณะการทำงานของสมองที่ไม่ปกติ มากยิ่งกว่าสำเร็จจากสิ่งแวดล้อม ในอดีตกาลเคยมั่นใจว่าออทิสติก เกิดขึ้นจากการอุปถัมภ์ค้ำชูในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (พ่อแม่ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องงาน จนความเกี่ยวพันระหว่างบิดามารดากับลูกมีความห่างเย็นชา ซึ่งมีการเปรียบเทียบว่า เป็นบิดามารดาตู้แช่เย็น) แต่จากหลักฐานข้อมูลในตอนนี้รับรองได้เด่นชัดว่า แบบอย่างการเลี้ยงไม่ใช่มูลเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แต่ว่าหากชุบเลี้ยงอย่างเหมาะควรก็จะช่วยให้เด็กปรับปรุงได้มาก แต่ว่าในตอนนี้นักค้นคว้า/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับต้นเหตุด้านกรรมพันธุ์สูงมากมาย มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง ดังเช่นว่า ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q และ 16p ฯลฯ รวมทั้งจากการศึกษาเล่าเรียนในฝาแฝด พบว่าคู่แฝดเหมือน ซึ่งมีรหัสกรรมพันธุ์เหมือนกัน ได้โอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงขึ้นมากยิ่งกว่าแฝดไม่ราวกับอย่างชัดเจน และการเล่าเรียนทางด้านกายวิภาคและสารสื่อประสาทในสมองของผู้เจ็บป่วยออทิสติก จากอีกทั้งทางรูปถ่ายรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมทั้งชิ้นเนื้อ เจอความไม่ดีเหมือนปกติหลายชนิดในคนไข้ออทิสติกแต่ว่ายังไม่พบแบบที่เฉพาะเจาะจง ในทางกายตอนพบว่าสมองของคนป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วไป แล้วก็นิดหน่อยของสมองมีขนาดไม่ดีเหมือนปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานพบความแตกต่างจากปกติของเนื้อสมอง เช่น brain stem, cerebellum, limbic system และ บางตำแหน่งของ cerebral cortex ยิ่งกว่านั้นการตรวจคลื่นกระแสไฟฟ้าสมอง (EEG) ในคนเจ็บออทิสติก พบความไม่ปกติปริมาณร้อยละ 10-83 เป็นความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมองแบบไม่เจาะจง (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงขึ้นยิ่งกว่าของคนทั่วๆไปเป็น พบจำนวนร้อยละ 5-38 นอกจากนั้นยังมีการศึกษาเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลายประเภทโดยเฉพาะ serotonin ที่ค้นพบว่าสูงขึ้นในคนเจ็บบางราย แต่ก็ยังมิได้ข้อสรุปที่เด่นชัดถึงความเชื่อมโยงของความผิดปกติกลุ่มนี้กับการเกิดออทิสติก ในตอนนี้สรุปได้ว่า ต้นสายปลายเหตุโดยมากของออทิสติกเป็นผลมาจากกรรมพันธุ์แบบหลายต้นเหตุ (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวเนื่องหลายตำแหน่งแล้วก็มีภูไม่ไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคที่มีต้นเหตุเนื่องมาจากการสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่างๆ อาการโรคออทิสติก การที่จะทราบดีว่าเด็กคนใดกันเป็นไหมเป็นออทิสติกนั้น เริ่มแรกจะพินิจได้จากความประพฤติปฏิบัติในวัยเด็ก ซึ่งมองเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก พ่อแม่อาจจะมองเห็นตั้งแต่ปฏิสัมพันธ์ทางด้านสังคมกับผู้อื่น ด้านการสื่อความหมาย มีพฤติกรรมที่ทำอะไรซ้ำๆ ความประพฤติปฏิบัติจะเริ่มแสดงกระจ่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเด็กอายุราวๆ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30 เดือน โดยมีลักษณะปรากฏเด่นในเรื่องความช้าด้านการพูดและการใช้ภาษา ด้านปฏิสัมพันธ์กับสังคมดูได้จากการที่เด็กจะไม่สบตา ไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทางรวมทั้งลีลาเสมือนไม่สนใจ จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับผู้ใดกัน และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้สมควรได้เมื่ออยู่ในสังคม สามารถแยกเป็นด้าน อย่างเช่น
เด็กออทิสติกที่มีระดับปัญญาปกติ ก็ยังมีความบกพร่องในด้านการเข้าสังคม ได้แก่ ไม่รู้วิธีการเริ่มหรือจบทบพูดคุย บิดามารดาบางบุคคลอาจสังเกตเห็นความแปลกในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก และเมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียน อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น เนื่องมาจากเหตุการณ์ทางด้านสังคมที่สลับซับซ้อนมากเพิ่มขึ้น พูดอีกนัยหนึ่ง เด็กจะไม่อาจจะรู้เรื่องหรือรับรู้ว่าคนอื่นๆกำลังคิดหรือรู้สึกยังไงกับเพื่อนฝูงได้ยาก มักถูกเด็กอื่นคิดว่าแปลกหรือเป็นตัวตลก
เด็กออทิสติดบางบุคคลเริ่มบอกคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในระยะแรกจะเป็นการพูดทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่หรูหราปัญญาปกติหรือใกล้เคียงธรรมดาจะมีพัฒนาการทางภาษาที่ค่อนข้างดี รวมทั้งสามารถใช้ประโยคในการติดต่อได้เมื่ออายุราวๆ 5 ปี เมื่อถึงวัยเรียนความบกพร่องด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดคุยกันโต้ตอบ อาจพูดจาวกวน พูดเฉพาะในเรื่องที่ตนพึงพอใจ แล้วก็มีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ออกกาลเทศะ
เด็กออทิสติกแบบ high functioning ที่เป็นเด็กโตมีความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัด โดยสิ่งที่สนใจนั้นอาจเกิดเรื่องที่เด็กปกติพอใจ แม้กระนั้นเด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับหัวข้อนั้นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น จำเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ แล้วก็คุยเกี่ยวกับหัวข้อนั้นอยู่เป็นประจำ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่พึงพอใจอาจเป็นความทราบทางวิชาการบางสาขา ได้แก่ เลข คอมพิวเตอร์ รวมทั้งวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งวิชาความรู้กลุ่มนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในสถานที่เรียน จึงช่วยให้เด็กออทิสติกเข้าร่วมสังคมในโรงเรียนก้าวหน้าขึ้น นอกเหนือจากนี้เด็กออทิสติกบางทีอาจจะดื้อมากและมีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่มิได้พึงพอใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งบางเวลาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กซนสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยเฉพาะเมื่อลักษณะของออทิสติกไม่กระจ่าง ในเด็กที่มีความก้าวหน้าช้าอย่างยิ่งบางทีอาจพบความประพฤติปฏิบัติรังแกตัวเอง อย่างเช่น โขกหัวหรือกัดตนเอง เป็นต้น ในด้านปัญญา เด็กออทิสติกบางคนมีความรู้พิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุ๊ป high functioning บางทีอาจสามารถจำตัวเขียนแล้วก็นับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกรุ๊ปสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia) ขั้นตอนการรักษาโรคออทิสติก สำหรับในการตรวจวิเคราะห์ว่าเด็กเป็นออทิสติกหรือเปล่า ไม่มีเครื่องตวงที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่อาจมีการตรวจประกอบกิจการวินิจฉัยจากการกระทำ โดยมาตรฐานการวินิจฉัยโรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแม้กระนั้น DSM-III (พุทธศักราช 2523) และก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็น DSM-IIIR (พ.ศ. 2530) ในตอนนี้ใช้เกณฑ์การวินิจฉัยตาม DSM-IV (พ.ศ. 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) หมายถึงความผิดแปลกในด้านวิวัฒนาการหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวินิจฉัย PDD เป็น 5 ประเภท ดังเช่น autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และก็pervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในตอนนี้ได้รวมออทิสติกเป็นกรุ๊ปโรคที่มีความมากมายของลักษณะทางคลินิก (autistic spectrum disorder ASD) และก็มีคำที่เรียกกรุ๊ปออทิสติกที่มีความผิดพลาดน้อยกว่า high-functioning autism (https://www.img.in.th/images/17d5b4fc37d5d539fe8ba0b2b819be5b.jpg) โดยแพทย์จะดูอาการเบื้องต้นว่ามีปัญหาด้านพัฒนาการหรือเปล่า ซึ่งอาการของเด็กที่มีความเจริญช้าจะมีลักษณะดังนี้ โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism) สามารถวิเคราะห์ได้โดยการสังเกตพฤติกรรม ซึ่ง มีลักษณะอาการครบ 6 ข้อ โดยมีลักษณะอาการจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ และก็มีอาการ จากข้อ (2) และข้อ (3) อย่างต่ำข้อละ 2 อาการ ดังต่อไปนี้
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่ โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่
การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่เคยรู้มูลเหตุการเกิดโรคที่แจ่มกระจ่างแน่ๆแต่ว่าส่งผลการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยหลายชิ้นกล่าวว่า เกี่ยวข้องกับต้นเหตุด้านกรรมพันธุ์ แล้วก็ข้อผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อ เนื่องจากไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด กรรมวิธีการดูแลช่วยเหลือคนเจ็บออทิสติก เนื่องจากว่าโรคออทิสติกพบมากมากในเด็ก ด้วยเหตุนั้นจึงต้ออาศัยการดูแลรักษ
|