หัวข้อ: โรควัณโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: powad1208 ที่ เมษายน 09, 2018, 08:24:55 am (https://www.img.in.th/images/f5a4e607312af04bbcd63b3119e477c3.jpg)
กรุ๊ปบุคคลผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค
ขั้นตอนการรักษาวัณโรค ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าวัณโรคโรคปอด ส่วนหนึ่งมักไม่มีอาการแสดงที่แจ่มแจ้ง การวิเคราะห์จึงจำเป็นจะต้องใช้หลักฐานหลายแบบประกอบกันตั้งแต่เรื่องราวสัมผัสวัณโรค อาการแสดง อาทิเช่น ไข้ต่ำๆไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักลดซึ่งไม่มีลักษณะที่เฉพาะ ผู้เจ็บป่วยมีอาการจับไข้รวมทั้งไอนานเกิน 1-2 อาทิตย์ขึ้นไป ไอออกเป็นเลือด ฟังเสียงแนวทางการทำงานของปอดในขณะที่หายใจ ต่อจากนั้นหมอบางทีอาจทำตรวจเบื้องต้นด้วยแนวทางตรวจคัดเลือกกรองวัณโรคที่เรียกว่า “การตรวจทูเบอร์คูลิน” (Tuberculin skin test : TST) ซึ่งเป็นการตรวจทางผิวหนังที่ใช้หลักการของการโต้ตอบโดยกลไกภูมิคุ้มกันของร่างกายที่จะสามารถได้ผลบวกได้ระหว่าง 2-8 สัปดาห์ หลังจากที่ได้รับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย โดยแพทย์จะกระทำการฉีดยาที่เป็นโปรตีนสารสกัดจากเชื้อวัณโรค เรียกว่า “พีพีดี” (Purified protein derivative : PPD) เข้าชั้นใต้ผิวหนังรอบๆท้องแขน จากนั้นราว 48-72 ชั่วโมง จะต้องกลับมาให้หมอหรือพยาบาลตรวจรอยฉีดยา หากบริเวณที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมน้อยกว่า 10 มิลลิเมตร หมายความว่าบุคคลนั้นไม่น่าจะติดเชื้อโรค (ให้ผลลบ) แม้กระนั้นถ้าเกิดรอบๆที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมตั้งแต่ 10 มิลลิเมตรขึ้นไป หมายความว่าบุคคลน่าจะติดเชื้อวัณโรค (ได้ผลบวก) และจะต้องทำตรวจอื่นๆ ทางห้องปฏิบัติการที่ช่วยวินิจฉัยวัณโรคยกตัวอย่างเช่น เอ็กซเรย์ปอด ลักษณะผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรคปอดตัวอย่างเช่น เจอการอักเสบของปอดที่ ปอดกลีบบน การย้อมเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ควรจะทำในผู้ป่วยทุกรายที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคเพื่อช่วย รับรองการวินิจฉัย โดยจะเก็บเสลดตอนเช้าหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว 3 วันติดต่อกัน จะทราบผลด้านในโดยประมาณ 30 นาที แต่มีข้อเสียคือ แนวทางนี้มีโอกาสตรวจพบเชื้อวัณโรคได้เพียงราวๆครึ่งเดียวของผู้เจ็บป่วย เท่านั้น ด้วยเหตุนั้นคนป่วยที่ตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคในเสมหะก็ยังอาจเป็นโรควัณโรคปอดได้ การเพาะเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ลักษณะเด่นคือ แนวทางแบบนี้สามารถตรวจพบเชื้อได้มากถึง 80 - 90% ของคนไข้ แต่ต้องใช้เวลาราวสองเดือนก็เลยทราบผล เมื่อแพทย์วิเคราะห์ว่าเป็นวัณโรคปอด แพทย์จะให้ยารักษาวัณโรค โดยธรรมดาจะนิยมใช้สูตรยากิน 6 เดือน 2 เดือนแรกใช้ยา 4 จำพวก ตัวอย่างเช่น ไอเอ็นเอช (INH) หรือไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ไรแฟมพิซิน (rifampicin) ,ไพราซิที่นาไมด์ (pyrazinamide) แล้วก็อีแทมบูทอล (ethambutol) บางรายอาจใช้ สเตรปโตไมสินประเภทฉีดแทนอีแทมบูทอล แล้วต่อด้วยยา 2 ประเภท ได้แก่ ไอเอ็นเอช รวมทั้งไรแฟมพิซิน อีก 4 เดือน หมอจะย้ำเตือนให้ผู้เจ็บป่วยรับประทานยาให้ตามกำหนดแต่ละวัน ห้ามลืมหรือเว้นบางมื้อหรือบางวัน กำชับให้พี่น้องช่วยดูแลให้คนเจ็บกินยาได้เป็นประจำ มิเช่นนั้นอาจทำให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยา ทำให้รักษาไม่เป็นผล หรือจะต้องแปรไปใช้ยาสูตรที่แรงขึ้น ส่วนคนไข้ที่เป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องร่วมกับวัณโรคปอด เว้นแต่ให้ยาต้านเชื้อไวรัสโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้ว ยังต้องให้ยารักษาวัณโรค (ซึ่งเปลี่ยนสูตรยาที่ต่างกันออกไป) เป็นระยะเวลานาน 9 เดือน หมอจะนัดคนเจ็บมาติดตามผลของการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยธรรมดาเมื่อใช้ยาได้ 2 สัปดาห์ ลักษณะของการมีไข้และก็ไอจะเริ่มทุเลา รับประทานข้าวได้ แล้วก็น้ำหนักขึ้น แพทย์จะกระทำการตรวจเสมหะ (ดูว่าเชื้อหายหมดหรือยัง) เป็นระยะๆเช่น เมื่อกินยาครบ 2 เดือน 5 เดือน และเมื่อหมดการใช้ยารักษา นอกนั้นบางทีอาจทำการเอกซเรย์ปอดดูว่ารอยโรคหายดีหรือยัง ส่วนผู้ที่เป็นกรุ๊ปเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ ดังเช่น คนเจ็บดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีประวัติเป็นโรคตับอยู่ก่อน หรืออายุมากกว่า 35 ปี เมื่อรับประทานยารักษาวัณโรค ซึ่งอาจส่งผลให้ตับอักเสบได้ หมอจะกระทำการตรวจเลือดดูระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ (AST, ALT) เพื่อมองว่ามีการอักเสบของตับเกิดขึ้นหรือเปล่า ทั้งนี้ปัญหาใหญ่เกี่ยวกับวัณโรคในประเทศไทย คือ การเกิดวัณโรคดื้อยาหลายขนานซึ่งทำให้การดูแลรักษาหายขาดเป็นได้ยากขึ้น แล้วก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนถึงชีวิตได้ในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนใดส่วนหนึ่งมาจากการกินยาที่ไม่บ่อยนักของคนเจ็บสาเหตุจากปัญหาหลายแบบ อาทิเช่น การที่จำเป็นต้องกินยาเป็นเวลานาน (ขั้นต่ำ 6 เดือน) ทำให้คนเจ็บที่มีลักษณะอาการดีขึ้นเล็กน้อยหยุดยาหรือไม่มีตามนัด หรือในรายที่อาจทนผลกระทบของยามิได้ก็เลยหยุดยาเอง เป็นต้น การติดต่อของวัณโรค เชื้อวัณโรคสามารถแพร่กระจายได้ทางอากาศ จากผู้เจ็บป่วยที่เป็นวัณโรคปอดรวมทั้งกล่องเสียง การติดเชื้อเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคของคนป่วย ซึ่งมีต้นเหตุจากการไอหรือจาม บอกหรือร้องเพลง ฯลฯ การไอหรือจามหนึ่งครั้งสามารถสร้างละอองฝอยได้ถึงล้านละอองฝอย อนุภาคของเชื้อมีขนาดเล็กมากประมาณ1-5 ไมครอน ละอองของเชื้อจึงสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานแล้วก็ไปได้ระยะทางไกล เมื่อหายใจรับละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าไปในระบบทางเดินหายใจที่ถุงลมของปอดรวมทั้งบางทีอาจเกิดการติดเชื้อที่ปอดรวมทั้งแพร่ไปเชื้อสู่อวัยวะต่างๆในร่างกายทางต่อมน้ำเหลืองหรือกระแสโลหิตได้ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อขึ้นอยู่กับจำนวน หรือความเข้มข้นของเชื้อกลางอากาศแล้วก็ช่วงเวลาสำหรับในการสัมผัสเชื้อเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับคนไข้เป็นวันหรืออาทิตย์ เช่นอยู่ห้องเดียวกัน ฯลฯ วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อที่มีลักษณะพิเศษคือ คนเจ็บที่ติดเชื้อหรือรับเชื้อเข้าไปในร่างกายทุกรายไม่จำเป็นต้องเจ็บป่วยเป็น ไม่มีอาการรวมทั้งอาการแสดงของวัณโรค เรียกว่า การต่อว่าดเชื้อตอนนี้ว่า วัณโรคอยู่ในระยะปกปิด/ระยะแฝง (latent Mycobacterium tuberculosis infection) เมื่อบุคคลได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้ว ตลอดช่วงชีวิตต่อจากนั้นเสี่ยงต่อการเป็นโรคได้ประมาณ ร้อยละ 10ซึ่งราวๆจำนวนร้อยละ 5 (หรือโดยประมาณ จำนวนร้อยละ50) ได้โอกาสเป็นโรคในตอน 1-2 ปีแรก (CDC, 2011) ส่วนอีกปริมาณร้อยละ 5 จะได้โอกาสเป็นโรคต่อไปหากร่างกายมีระบบภูมิต้านทานปกติ ในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันภายในร่างกายขาดตกบกพร่องจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าปริมาณร้อยละ 10 การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นวัณโรค
การป้องกันตนเองจากวัณโรค
ซึ่งวัคซีน BCG ถูกผลิตขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2461 A. Calmette และ A. Guerin สองนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันพลาสเตอร์ ก็ผลิตวัคซีนขึ้นมาเรียกว่า Bacille Calmette-Guerin (BCG) และเริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2464 สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาอาการของวัณโรค วัณโรคเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไมโครแบคทีเรียที่เป็นอันตรายร้ายแรงและมีการติดต่อที่เร็วมาก เพราะสามารถแพร่เชื้อทางอากาศได้ แต่ในประเทศไทยของเราถือว่าได้รับข่าวดีเป็นอย่างมากเมื่อมีคณะนักวิจัยสามารถศึกษาวิจัยต้นพบว่ามีสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคได้ถึง 14 ชนิด ดังที่มีการจัดการประชุมวิชาการกรมวิทศาสตร์การแพทย์ ณ.อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อปี 2551 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัย มหาวิทยาลัยโคโบราโดของอเมริกา ก็เพิ่งค้นพบว่า สารที่อยู่ในขมิ้นช่วยปราบวัณโรคชนิดที่ดื้อยาลงได้ โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยได้พบว่า ขมิ้นมีสารที่เรียกว่า แมคโครเฟลกซ์ ซึ่งมีสรรพคุณในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มโรคของมนุษย์สามารถขับไล่เชื้อวัณโรคได้ด้วย โดยจะไปกระตุ้นภูมิคุ้มโรคให้ต่อต้านเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาให้อ่อนฤทธิ์กับการต่อสู้กับยาลง ซึ่งนักวิจัยได้ชี้แจงว่า การศึกษาทำให้เราได้พบหลักฐาน แสดงว่าสารในขมิ้นสามารถช่วยต่อต้านการอักเสบของวัณโรคชนิดที่ดื้อยาในเซลล์ของมนุษย์ได้ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักวิจัยของไทย จะสามารถนำข้อมูลการวิจัยสมุนไพรเหล่านี้มาต่อยอด เพื่อผลิตเป็นยาเพื่อมารักษาวัณโรคได้ในภายหน้า เอกสารอ้างอิง
|