หัวข้อ: โรคต้อกระจก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: Jirasak2708 ที่ เมษายน 09, 2018, 01:16:57 pm (https://www.img.in.th/images/e4df9f000bd629ebcb2dd3c3dc53c960.jpg)
โรคต้อกระจก โรคต้อกระจก คืออะไร ก่อนจะรู้ถึงความหมายของต้อกระจกนั้น พวกเราควรจะทำความรู้จักกับเลนส์ตาหรือที่เราเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า แก้วตา กันก่อน แก้วตาหรือเลนส์ตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่ข้างหลังม่านตา (มีลักษณะเหมือนเลนส์นูนทั่วๆไปทั้งยังด้าน หน้าและก็ข้างหลัง มีความดกประมาณ 5 ม.มัธยม เส้นผ่าศูนย์ กึ่งกลางราวๆ 9 มัธยมมัธยม มีหน้าที่ปฏิบัติงานร่วมกับกระจกตาในการหักเหแสงสว่างจากวัตถุให้ตกโฟกัสที่จอประสาทตา ที่ทำให้มีการเกิดการมองเห็น นอกจากนั้นแก้วตายังสามารถแปลงกำลังการเบี่ยงเบนได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถจุดโฟกัสภาพในระยะต่างๆได้ชัดขึ้น ซึ่งก็คือ ในคนธรรมดาจะมองเห็นชัดทั้งไกลและก็ใกล้ เพราะฉะนั้นธรรมชาติก็เลยสร้างแก้วตาให้อยู่ในที่ปลอดภัย โดยอยู่ในใจกลางของดวงตาเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายใดๆแม้กระนั้นถึงแก้วตาจะไม่ได้รับอันตรายอะไรก็แล้วแต่จากภายนอก แต่ก็ไม่สามารถเลี่ยงความเสื่อมถอยภาวะจากอายุที่มากขึ้นหรือการเช็ดกต้นเหตุที่จะเร่งนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของแก้วตาได้ ซึ่งเป็นสาเหตุส่งผลให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับเลนส์แก้วตาต่างๆได้ เป็นต้นว่า ต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม อื่นๆอีกมากมาย สำหรับต้อกระจกนี้ ตอนแรกจะต้องขอให้คำจำกัดความ หรือความหมายของคำว่า “ต้อกระจก” ซะก่อน ต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์ข้างในลูกตาเกิดภาวะขาวขุ่นขึ้นเนื่องด้วยสาเหตุอะไรก็ได้ ตามปกติแล้วเลนส์ด้านในลูกตามีภาวการณ์ใสโปร่งแสงคล้ายกระจกใส มีบทบาทปรับแสงที่ผ่านเข้าตา ทำให้เราสามารถเห็นภาพวัตถุต่างๆได้แจ่มแจ้ง รวมทั้งเมื่อเกิด “ต้อกระจก” ก็จะทำให้ตัวเลนส์ตามีลักษณะขาวขุ่นขึ้น ทึบแสง ไม่ยอมให้แสงสว่างผ่านเข้าสู่ลูกตาไปตกกระทบที่หน้าจอประสาทรับภาพ (retina) ได้เด่นชัด ผู้นั้นก็เลยดูอะไรไม่ชัด ตาฝ้า มัว แล้วท้ายที่สุดถ้าขาวขุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะมืดแล้วก็ มองอะไรไม่เห็นจากตาข้างนั้น ต้อกระจก เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปสำหรับคนสูงอายุ ถ้าเกิดปล่อยไว้ไม่ผ่าตัดก็จะก่อให้ตาบอด ถือได้ว่าเป็นต้นสายปลายเหตุอันดับหนึ่งของภาวะสายตาทุพพลภาพของคนสูงอายุ สาเหตุของโรคต้อกระจก โดยส่วนใหญ่ (ราวร้อยละ 80) มีเหตุที่เกิดจากภาวะเสื่อมตามวัย คนที่แก่มากกว่า 60 ปีจะเป็นต้อกระจกดูเหมือนจะทุกราย แม้กระนั้นบางทีอาจเป็นมากน้อยไม่เหมือนกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในคนชรา (senile cataract) ส่วนน้อย (โดยประมาณร้อยละ 20) อาจเป็นเพราะเนื่องจากต้นเหตุอื่นๆอาทิเช่น ต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital Cataract) เด็กอ่อนสามารถเป็นต้อกระจกได้ตั้งแต่ต้นเกิด โดยอาจกำเนิดได้จากกรรมพันธุ์ การต่อว่าดเชื้อ การได้รับอันตรายหรือมีความเจริญระหว่างอยู่ในครรภ์ไม่ดี เด็กแบเบาะที่ค้นพบว่าเป็นต้อกระจกโดยกำเนิด ตัวอย่างเช่น สภาวะกาแล็กโทซีภรรยา โรคเหือด หรือโรคเท้าแสนปมประเภทที่ 2 ก็อาจก่อให้เกิดการเกิดต้อกระจกจำพวกนี้ เด็กเล็กบางคนบางทีอาจแสดงอาการในคราวหลัง โดยมักเป็นทั้งสองข้าง บางโอกาสต้อกระจกนี้เล็กมากมายกระทั่งไม่มีผลต่อการมองเห็น แม้กระนั้นเมื่อพบว่าทำให้เกิดผลกระทบต่อการมองมองเห็นจึงจะผ่าออก ต้อกระจกทุติยภูมิ (Secondary Cataract) การผ่าตัดรักษาโรคตาชนิดอื่นเป็นต้นว่าต้อหิน การป่วยเป็นม่านตาอักเสบ หรือตาอักเสบ อาจเป็นสาเหตุให้กำเนิดโรคต้อกระจกตามมาได้ นอกเหนือจากนี้ คนเจ็บโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคความดันโลหิตสูง การได้รับยาบางชนิด ตัวอย่างเช่น สเตียรอยด์ ยาขับเยี่ยวบางตัว ก็นับว่าเป็นกรุ๊ปเสี่ยงเป็นโรคต้อกระจกได้ง่ายเช่นกัน เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากสภาวะแรงชนที่ลูกตา ก็ทำให้เลนส์ตาขวาขุ่นได้ โดยเขพาเมื่อโดนสิ่งมีคมทิ่มแทงทะลุเข้าตา เข้าไปโดนเลนส์ตา เกิดภาวะต้อกระจกได้โดยทันทีภายใน 1 วัน หรือถ้าหากโดนวัตถุไม่มีคมชน ก็อาจจะมีการเกิดต้อกระจกตามมาคราวหลังได้ ถ้าหากความแรงนั้นมากพอให้เยื่อเลนส์ตาบาดหมาง เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากโดนรังสีเอกซเรย์ รอบๆดวงตาอยู่เป็นประจำๆยกตัวอย่างเช่น พวกที่มีโรคมะเร็งรอบๆเบ้าตา และก็รักษาด้วยการใช้รังสี ซึ่งรังสีนี้บางทีอาจลึกลงไปโดนเลนส์ตาทำให้ขุ่นได้ รวมทั้งกำเนิดต้อกระจกตามมา นอกจากปัจจัยต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว อาจจะมีอิทธิพลมาจากอย่างอื่นได้ ตัวอย่างเช่น ของกินพวกที่มีภาวะทุโภชนา หรือพวกอาหารผิดสุขลักษณะ ขาดโปรตีน และก็วิตามินส่งผลให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าปกติ ลักษณะของโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกนั้นยากที่จะดูได้ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม เนื่องจากว่าต้องใช้เวลานานกว่าลักษณะของต้อกระจกจะเยอะขึ้นจนกระทบต่อการมองมองเห็น โดยผู้เจ็บป่วยมักมีลักษณะอาการดังต่อไปนี้
ขั้นตอนการรักษาโรคต้อกระจก แพทย์จะวินิจฉัยพื้นฐานด้วยการตรวจพบแก้วตา (เลนส์ตา) ขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่องตาผู้ป่วยจะรู้สึกตาพร่า การใช้เครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจตาจะไม่เจอปฏิกิริยาสะท้อนสีแดง (red reflex) ถ้าเกิดไม่มั่นใจ แพทย์ต้องใช้วัสดุพิเศษตรวจให้ละเอียด อาจจำเป็นต้องตรวจวัดความดันลูกตา (เพื่อแยกออกจากโรคต้อหินที่จะพบความดันลูกตาสูงกว่าธรรมดา) และตรวจพิเศษอื่นๆอย่างเช่น
เนื่องมาจากโรคต้อกระจกไม่มียาที่ใช้กิน หรือหยอดใดๆก็ตามที่ช่วยแก้ลักษณะของต้อกระจกได้ ระยะต้นๆของโรคต้อกระจกสามารถทุเลาได้ด้วยการตัดแว่นสายตาใหม่ สวมแว่นตาดำร้องไห้สะท้อน หรือการใช้เลนส์ขยายจนกระทั่งต้อกระจกจะเริ่มกระทบต่อการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน ก็เลยจะทำผ่าตัด ในอดีตมักรอคอยให้ต้อกระจกสุกก็เลยกระทำการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ แม้กระนั้นตอนนี้มักนิยมรักษาโดยการสลายต้อกระจกแต่ว่าเนิ่นๆคือเมื่อปัญหาตามัวนั้นทำให้เป็นอุปสรรคกับการดำเนินชีวิตของผู้เจ็บป่วยก็ควรรับการดูแลและรักษา เนื่องจากการรอต้อกระจกสุก จะมีผลให้การรักษาด้วยการสลายต้อทำได้ยาก แล้วก็ยังอาจส่งผลให้กำเนิดโรคตาอื่นสอดแทรก ตัวอย่างเช่น ต้อหิน ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆได้ ในขณะนี้การดูแลรักษาต้อกระจกมีเพียงแนวทางเดียวหมายถึงการผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออกและก็ใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ในปัจจุบันการผ่าตัดต้อกระจกมีความปลอดภัยสูงใช้เวลาสำหรับการผ่าตัดไม่นาน และไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลหลังผ่าตัด แนวทางการผ่าตัดที่นิยมในตอนนี้มี 3 แนวทาง
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก
การติดต่อของโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเลนส์ตาหรือแก้วตา เสื่อมสภาพจากนานัปการสาเหตุทำให้มีลักษณะขุ่นขาวทึบแสงเป็นผลให้แสงผ่านเข้าไปสู่ลูกตาได้น้อย จึงทำให้เกิดการมองเห็นภาพฝ้าฟางมากเพิ่มขึ้นจนกระทั่งไม่เห็นในที่สุด ซึ่งเป็นโรคที่ขาดการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคต้อกระจก
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคต้อกระจก จากการเรียนรู้ค้นคว้าข้อมูลงานค้นคว้าพบว่า สมุนไพรไทยหลายประเภทสามารถปกป้องโรคต้อกระจกได้ โดยยิ่งไปกว่านั้นในสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ อาทิเช่น ขมิ้นชัน และก็ฟักข้าว โดยในขมิ้นชัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญ คือ เคอร์คิวไม่นอยด์ (curcuminoid) รวมทั้งอุดมไปด้วยวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุหลายอย่าง ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก รวมทั้งเกลือแร่ต่างๆรวมถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรตรวมทั้งโปรตีน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ขมิ้นชันจึงมีสรรพคุณสำหรับการช่วยสร้างเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย แล้วก็สามารถรักษาอาการแล้วก็โรคต่างๆได้หลายอย่าง ส่วนฟักข้าวนั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญเป็นไลโคตะกาย (lycopene) โดยในเยื่อห่อหุ้มเม็ดของฟักข้าวมีไลวัวพีนสูงขึ้นยิ่งกว่ามะเขือเทศ 12 เท่า ซึ่งสามารถช่วยสำหรับเพื่อการบำรุงและรักษาสายตา คุ้มครองปกป้องโรคที่เกิดขึ้นและมีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา โรคต้อกระจก และก็ประสาทตาเสื่อม แล้วก็ตาบอดตอนกลางคืนได้ ทั้ง ยังมีงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยพบว่า ไลโคปีนรวมทั้งเคอร์คิวไม่นอยด์ ยังช่วยคุ้มครองป้องกันต้อกระจกที่เกิดขึ้นมาจากโรคเบาหวานได้อีกด้วยยิ่งไปกว่านี้ยังมีสมุนไพรอีกหลายประเภทที่สามารถคุ้มครองป้องกันโรคต้อกระจกได้ ดังเช่น มะขามป้อม มะขามป้อมจัดคือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งจากการเรียนพบว่า วิตามินซีมีบทบาทสำหรับเพื่อการปกป้องการเกิดต้อกระจก โดยการทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งกรองรังสียูวีให้เลนส์ตา เว้นเสียแต่มะขามป้อมแล้ว ยังส่งผลไม้อื่นๆที่มีวิตามินซีสูง ตัวอย่างเช่น ฝรั่ง มะปราง มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า เป็นต้น นอกจากสมุนไพรพนาแล้ว สมุนไพรต่างถิ่นที่มีการสรรพคุณบำรุงและป้องกันโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับตาได้อย่างดีเยี่ยม เป็นต้นว่า Ginseng หรือโสม คือรากของ Panax ginseng มี สารสำคัญคือ ginsennosides ซึ่งเป็น steroidal saponin มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายแบบ ตัวอย่างเช่น antiapoptotic, anti-inflammatory, antioxidant จากการทดสอบทางสถานพยาบาลในผู้ป่วยที่เป็นต้อหิน พบว่า โสมแดงประเทศเกาหลีสามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังเรตินา จึงน่าจะเป็นผลดีในลักษณะการป้องกันโรคต้อหิน นอกจากนี้สาร Rb1 แล้วก็ Rg3 ยังมีฤทธิ์ยั้ง TNF-alpha ก็เลยน่าจะเป็นคุณประโยชน์ในการป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมด้วย เนื่องจากว่าการอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคนี้ การทดลองในหนูมีความหมายว่าโสมสามารถลดการเสื่อมของจอตาในหนูที่ถูกรั้งนำให้เป็นเบาหวานได้ ลดผลที่เกิดจากการเหนี่ยวนำหนูให้เป็นต้อกระจกด้วย selenite ได้ เพราะฉะนั้นโสมก็เลยเป็นสมุนไพรที่น่าดึงดูดสำหรับเพื่อการป้องกันโรคตาอีกทั้ง 4 คือ โรคต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม รวมทั้งภาวการณ์เบาหวานขึ้นจอตา Gingko Biloba Extract (GBE) เป็นสารสกัดจากใบของต้นแป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba) ในใบมีสารสำคัญสองกลุ่มคือ เฟลโม้นอยด์และเทอร์พีนอยด์ GBE เป็นอาหารเสริมที่นิยมสูงที่สุดในยุโรปรวมทั้งอเมริกามีฤทธิ์ป้องกันการทำลายจากอนุมูลอิสระ และป้องกัน lipid peroxidation จากการทดสอบพบว่า GBE สามารถคุ้มครองปกป้องการเสื่อมของ mitochondria คุ้มครองปกป้องการเสื่อมของ optic nerve ก็เลยสามารถป้องกันตาบอดในคนเจ็บโรคต้อหิน และก็ ผู้เจ็บป่วยจอตาเสื่อมได้ รวมทั้งสามารถลดการหลุดของจอตา (retinal detachment) ได้ GBE ก็เลยมีประโยชน์ในกรณีคุ้มครองรวมทั้งรักษาโรคต้อหินรวมทั้งโรคที่เกี่ยวพันกับจอตา Danshen ชื่อสามัญเป็น Asian Red Sage หรือตังเซียม หรือตานเซิน (Salvia miltiorrhiza) ส่วนที่ใช้คือราก ในแบบเรียนยาใช้เป็นยากระตุ้นการไหลเวียนเลือด ใช้รักษาฝี สารสำคัญคือ salvianoic acid B เป็นสารพอลีฟีนอลิกละลายน้ำแล้วก็เป็น antioxidant ที่มีฤทธิ์แรงรวมทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะกำเนิดอาการอักเสบรวมทั้งครึ้มขึ้นของผนังเส้นเลือดฝอยทำให้ อนุมูลอิสระไม่สามารถที่จะถูกกำจัดออกไปได้จึงไปทำลายเซลล์ประสาทตา เมื่อทดลองฉีดตังเซียมเข้าไปที่เยื่อเรตินาที่ขาดออกซิเจนในหนูที่เป็นเบาหวานพบว่าสามารถปกป้องการสูญเสียการมองมองเห็นได้ การทดลองทางสถานพยาบาลในคนป่วยโรคต้อหินพบว่า ตังเซียมสามารถทรงสภาพลานสายตา (visual field) ในผู้เจ็บป่วยระยะกึ่งกลางและก็ระยะปลายได้ ด้วยเหตุนั้น ตังเซียมจึงมีประโยชน์กับผู้เจ็บป่วยโรคตาที่เกี่ยวกับ oxidative stress ยกตัวอย่างเช่น จอประสาทตาเสื่อม ภาวการณ์เบาหวานขึ้นจอตา รวมทั้งต้อกระจก และก็มีรายงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยของ ดร.พอล จาคส์ (Paul Jacques) กรรมการเกษตรสหรัฐอเมริกาพบว่า คนอเมริกันที่กินผักรวมทั้งกินผลไม้เป็นประจำมีโอกาสกำเนิดต้อกระจกน้อยกว่าผู้ไม่บริโภคผักแล้วก็ผลไม้ถึง 4 เท่าครึ่ง รวมทั้งผู้ที่ไม่รับประทานผักและผลไม้เลยจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกมากยิ่งขึ้นถึง 6 เท่า นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่มีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำ จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกมากขึ้นเรื่อยๆถึง 11 เท่า ส่วนผู้ ที่มีระดับสารแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นไปถึง 7 เท่า เอกสารอ้างอิง
|