หัวข้อ: โรคถุงลมโป่งพอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: powad1208 ที่ เมษายน 11, 2018, 08:57:49 am (https://www.img.in.th/images/ae31d190a1457540fabef6e40c992e80.jpg)
โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) โรคถุงลมโป่งพอง [/color]เป็นยังไง โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) เป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มของโรคปอดอุดกันเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) ซึ่งโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จะประกอบไปด้วยโรคหลอดลมอักเสบแล้วก็ถุงลมโป่งพอง โดยทั่วไปแล้วจะเจอลักษณะของ 2 โรคนี้ร่วมกัน แต่หากตรวจพบว่าปอดมีพยาธิภาวะของถุงลมที่โป่งพองออกเป็นจุดแข็ง ก็จะเรียกว่า “โรคถุงลมโป่งพอง” ซึ่งหมายถึง ภาวการณ์ทุพพลภาพอย่างถาวรของถุงลมในปอด ซึ่งมีสาเหตุมาจากผนังถุงลมเสียความยืดหยุ่นแล้วก็เปราะง่าย ทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่ในการแลกอากาศ แล้วก็ฝาผนังของถุงลมที่เปราะยังมีการแตกทะลุ ทำให้มีถุงลมขนาดเล็กๆหลายๆอันรวมตัวเป็นถุงลมที่โป่งพองแล้วก็ทุพพลภาพ นำมาซึ่งการทำให้จำนวนผิวของถุงลมที่ยังปฏิบัติภารกิจได้ทั้งหมดทั้งปวงลดน้อยลงกว่าปกติ และมีอากาศข้างในปอดมากกว่าธรรมดาสำเร็จให้ออกซิเจนจึงเข้าสู่กระแสโลหิตไปเลี้ยงร่างกายได้ลดลง คนไข้จึงมีลักษณะอาการหายใจตื้นและกำเนิดอาการหอบง่ายตามมา โรคนี้มักจะพบในคนสูงอายุ (ช่วงอายุ 45-65 ปี) เจอในเพศชายได้มากกว่าเพศหญิง แล้วก็พบมากร่วมกับโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังรวมทั้งแยกออกจากกันยาก คนเจ็บจำนวนมากจะมีประวัติการสูบยาสูบจัด มานานเป็น 10-20 ปีขึ้นไป หรือไม่ก็มีประวัติอยู่การได้รับมลพิษทางอากาศในจำนวนมากและก็ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆไม่ว่าจะเป็นอากาศเสีย ฝุ่นผง ควัน หรือมีอาชีพดำเนินการในโรงงานหรือบ่อแร่ที่หายใจเอาสารเคืองเข้าไปบ่อยๆ โรคถุงลมโป่งพอง เป็นโรคที่พบได้บ่อยและเป็นต้นเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตในพลเมืองทั่วโลก โดยในประเทศอเมริกาพบเป็นลำดับที่ 4 ของต้นเหตุการตายของประชาชน ถ้าเกิดนับเฉพาะโรคถุงลมโป่งพอง อัตราการพบโรคเป็น18 คน ในประชากร 1,000 คน ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันนี้ของถุงลมโป่งพองในประเทศไทย มีลักษณะท่าทางสูงขึ้นตามลำดับเช่นเดียวกันกับทั่วทั้งโลก แล้วก็เป็นเลิศในสิบ ต้นเหตุของการตาย ของมวลชนไทย ก็เลยนับเป็นโรคที่คือปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศไทยอีกโรคหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง ต้นสายปลายเหตุสำคัญที่นำไปสู่ถุงลมโป่งพอง เป็นการสูบบุหรี่ แต่จากการเรียนรู้พบว่าผู้ที่ดูดบุหรี่ได้โอกาสเป็นถุงลมโป่งพองมากกว่ามิได้ดูดบุหรี่สูงถึง 6 เท่า ซึ่งคนที่เป็นโรคนี้ มักมีประวัติสูบบุหรี่จัด (มากกว่าวันละ 20 มวน) นาน 10-20 ปีขึ้นไป พิษในบุหรี่จะค่อยๆทำลายเยื่อบุหลอดลมแล้วก็ ถุงลมในปอด ทีละเล็กทีละน้อย ใช้เวลานานนับสิบๆปี จนกระทั่งสุดท้ายถุงลมปอดทุพพลภาพ เป็นสูญเสียหน้าที่สำหรับในการเปลี่ยนอากาศ (นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นอากาศเสียออกมาจากร่างกาย รวมทั้งนำออกสิเจนซึ่งเป็นอากาศดีไปสู่ร่างกาย โดยผ่านทางระบบฟุตบาทหายใจ) กำเนิดอาการหอบอ่อนเพลียง่าย แล้วก็กำเนิดโรคติดเชื้อของปอดซ้ำซาก นอกจากบุหรี่ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคนี้แล้ว ผู้ป่วยส่วนน้อยยังอาจเป็นเพราะเนื่องจากต้นเหตุอื่น เช่น มลภาวะกลางอากาศ การหายใจเอามลพิษในอากาศ เป็นต้นว่า ควันจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง ไอเสียรถยนต์ จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดถุงลมโป่งพอง เนื่องจากว่าพบว่าสามัญชนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆจะมีอัตราการป่วยเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังซึ่งรวมทั้งโรคถุงลมโป่งพองได้มากกว่าสามัญชนที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด มลพิษทางอากาศจึงคงจะมีความเกี่ยวข้องไม่มากมายก็น้อย ควันที่มีพิษหรือสารเคมีจากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละอองหรือควันที่มีพิษที่มีส่วนประกอบของสารเคมีหรือฝุ่นจากไม้ ฝ้าย หรือแนวทางการทำเหมือง หากหายใจเข้าไปในปริมาณที่มากรวมทั้งเป็นเวลานาน ก็มีโอกาสเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดถุงลมโป่งพองได้มากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มจังหวะมากขึ้นไปอีกแม้เป็นคนที่สูบบุหรี่ ภาวการณ์พร่องสารต้านทานทริปซิน (α1-antitrypsin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีคุ้มครองปกป้องการเช็ดกทำลายของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันจากสารต่างๆก็เลยช่วยปกป้องไม่ให้ถุงลมปอดถูกสารพิษ สภาวะนี้จัดเป็นโรคทางพันธุกรรมซึ่งสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ซึ่งโรคทางพันธุกรรมชนิดนี้ส่วนใหญ่จะเจอในคนเชื้อชาติผิวขาว มักเกิดอาการในกรุ๊ปคนไข้ที่มีอายุต่ำกว่า 40-50 ปี รวมทั้งคนเจ็บชอบไม่ดูดบุหรี่ แม้กระนั้น สภาวะนี้ก็พบกำเนิดได้น้อยมากเป็นประมาณ 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งผอง ลักษณะของโรคถุงลมโป่งพอง ช่วงแรกจะมีอาการของหลอดลมอักเสบเรื้อรัง กล่าวคือจะมีลักษณะไอมีเสลดเรื้อรังเป็นแรมเดือนนานนับปี คนเจ็บมักจะไอหรือขากเสมหะในคอหลังจากตื่นตอนเวลาเช้าเป็นประจำ จนนึกว่าเป็นเรื่องปกติและไม่ได้เอาใจใส่ดูแลรักษา ต่อมาจะเริ่มไอถี่ขึ้นตลอดทั้งวัน แล้วก็มีเสลดเยอะแยะ ในทีแรกๆเสมหะมีสีขาว ต่อมาบางทีอาจจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว เป็นไข้ หรือหอบเหน็ดเหนื่อยเป็นบางครั้งจากโรคติดเชื้อแทรกซ้อน นอกจากอาการไอเรื้อรังดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการอิดโรยง่ายเวลาออกแรงมาก อาการหอบอิดโรยจะเบาๆเป็นมากขึ้น แม้แต่เวลาเดินตามธรรมดา เวลากล่าวหรือทำกิจกรรมเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันก็จะรู้สึกเหนื่อยง่าย แม้คนเจ็บยังสูบบุหรี่ต่อไป สุดท้ายอาการจะร้ายแรง จนถึงแม้กระทั้งอยู่เฉยๆก็รู้สึกหอบเหนื่อย ดังนี้เพราะเหตุว่าถุงลมปอดทุพพลภาพอย่างรุนแรง ไม่อาจจะปฏิบัติภารกิจเปลี่ยนอากาศ นำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายให้เกิดพลังงาน คนป่วยมักมีอาการกำเริบหนักเป็นบางโอกาส เนื่องจากว่ามีการติดเชื้อโรค (หลอดลมอักเสบ ปอด) แทรก ทำให้จับไข้ ไอมีเสมหะเหลืองหรือเขียว หายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ดๆตัวเขียว กระทั่งจะต้องเข้ารักษาตัวในโรงหมอ เมื่อเป็นถึงขนาดระยะร้ายแรง ผู้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด รูปร่างผอมแห้งแรงน้อย มีลักษณะหอบอ่อนแรง อยู่ตลอดเวลา มีอาการทรมาณแสนสาหัสและบางทีอาจเสียชีวิตได้จากโรคแทรกซ้อน นอกเหนือจากนั้น ในบางรายอาจพบว่ามีริมฝีปากหรือเล็บเป็นสีคล้ำออกม่วงเทาหรือฟ้าเข้มด้วยเหตุว่าขาดออกซิเจน หรือถ้าเกิดมีลักษณะอาการหายใจตื้นเป็นเวลานานนับเป็นเวลาหลายเดือนรวมทั้งมีอาการที่ห่วยลงอีกด้วย สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง แบ่งได้ 2 กลุ่มหมายถึง
วิธีการรักษาโรคถุงลมโป่งพอง การวิเคราะห์โรคถุงลมโป่งพอง แพทย์จะอาศัยองค์ประกอบหลายแบบ ดังเช่นว่า เรื่องราวสัมผัสสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ร่วมกับ อาการ ผลของการตรวจร่างกาย ภาพรังสีทรวงอก รวมทั้งรับรองการวิเคราะห์ด้วย spirometry ดังลัษณะดังกล่าวต่อไปนี้ อาการ โดยมากคนป่วยที่มาเจอหมอจะมีอาการเมื่อพยาธิสภาพขยายไปมากแล้ว อาการที่ตรวจพบ ได้แก่ หอบ อ่อนแรงซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆไอเรื้อรังหรือมีเสมหะโดยเฉพาะในช่วงเช้า อาการอื่นที่เจอได้เป็นแน่น อก หรือหายใจมีเสียงหวีดร้อง การตรวจทางรังสีวิทยา ภาพรังสีอกมีความไวน้อยสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง แต่มี ความสำคัญสำหรับการแยกโรคอื่น ในคนไข้ emphysema อาจพบลักษณะ hyperinflationหมายถึงกะบังลมแบน ราบและหัวใจมีขนาดเล็กมีอากาศในปอดมากกว่าธรรมดา ในผู้เจ็บป่วยที่มี corpulmonale จะพบว่าหัวใจห้องขวา รวมทั้ง pulmonary trunk มี ขนาดโตขึ้น และ peripheral vascular marking ต่ำลง การตรวจสมรรถนะปอด Spirometry มีความสำคัญในการวินิจฉัยโรคนี้มาก รวมทั้งสามารถจัดระดับความรุนแรงของโรคได้ด้วย โดยการตรวจ spirometry นี้ต้องตรวจเมื่อคนป่วยมีอาการคงที่ (stable) และไม่มีลักษณะอาการกำเริบของโรคอย่างน้อย 1 เดือน การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะที่คนไข้ยังไม่มีอาการ โดยแพทย์จะให้คนป่วยหายใจเข้าให้สุดกำลัง แล้วเป่าลมหายใจออกอย่างเร็วผ่านเครื่องสไปโรมิเตอร์ (Spirometry) แล้ววัดดูค่า FEV1 (Forced expiratory volume in 1 second) ซึ่งหมายถึง ขนาดอากาศที่หายใจออกใน 1 วินาที แล้วก็ค่า FVC (Forced vital capacity) ซึ่งหมายถึง ขนาดอากาศที่หายใจออกทั้งสิ้นจนสุดอย่างเต็ม 1 ครั้ง จะพบรูปแบบของ airflow limitation โดยค่า FEV1 / FVC ข้างหลังให้ยาขยายหลอดลมน้อยกว่าปริมาณร้อยละ 70 และแบ่งความร้ายแรงเป็น 4 ระดับ โดยใช้ค่า FEV1 ข้างหลังให้ยาขยายหลอดลม (https://www.img.in.th/images/e711eea7d3de61c4a94cb6d3ac3d2b70.gif) การตรวจด้วยเครื่องวัดออกสิเจนปลายนิ้ว (Pulse oximetry) เป็นการตรวจเพื่อวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ซึ่งในผู้เจ็บป่วยโรคถุงลมโป่งพองชอบมีออกสิเจนในเลือดต่ำเป็นวัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดได้น้อยกว่าธรรมดา เนื่องจากว่าร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ (โดยค่าธรรมดาจะอยู่ที่ 96-99% หากต่ำกว่านี้ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนล้าอย่างมากขึ้นเรื่อย) การตรวจหาระดับสารทริปสินในเลือด ถ้าหากคนป่วยที่เป็นโรคถุงลมโป่งพองมีอายุน้อยกว่า 40-50 ปี มูลเหตุอาจมาจากภาวการณ์พร่องสารต่อต้านทริปซินซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมได้ คนไข้จึงจำเป็นต้องตรวจหาจำนวน α1-antitrypsin ในเลือด การดูแลและรักษา เพื่อทรงสภาพร่างกายตอนนี้ให้ดีที่สุด และเพื่อ ลดการเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประกอบด้วย หลัก 4 ประการหมายถึง การหลบหลีกสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง การดูแลและรักษา stable COPD การวัดแล้วก็ติดตามโรค การดูแลรักษาภาวการณ์กําเริบรุนแรงของโรค (acute exacerbation)
การให้ข้อมูลที่สมควรเกี่ยวกับโรค และแผนการรักษาแก่คนเจ็บและพี่น้อง จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยมีทักษะสำหรับในการเรียนรู้การใช้ชีวิตกับโรคนี้ดียิ่งขึ้น แล้วก็สามารถคิดแผนชีวิตในกรณีที่โรคดำเนินเข้าสู่ระยะท้ายที่สุด (end of life plan) การรักษาด้วยยา การใช้ยามีเป้าประสงค์เพื่อทุเลาอาการ ลดการกำเริบ รวมทั้งเพิ่มคุณภาพชีวิต เดี๋ยวนี้ยังไม่มียาประเภทใดที่มีหลักฐานแจ่มกระจ่างว่าสามารถลดอัตราการตาย และชะลออัตราการน้อยลงของสมรรถภาพปอดได้ ซึ่งการดูแลและรักษาดัวยยา จะมียาต่างๆตัวอย่างเช่น ยาขยายหลอดลม ยากลุ่มนี้ทำให้อาการแล้วก็สมรรถภาพรูปแบบการทำงานของคนป่วยดีขึ้น ลดความถี่รวมทั้งความร้ายแรงของการกำเริบ เริ่มคุณภาพชีวิตทำให้สถานะสุขภาพโดยรวมของผู้เจ็บป่วย หากว่าคนไข้บางรายอาจจะมีการโต้ตอบต่อยาขยายหลอดลมตามเกณฑ์การตรวจ spirometry ก็ตาม ยาขยายหลอดลมที่ใช้ แบ่งได้เป็น 3 กรุ๊ปเป็นβ2-agonist, anticholinergic แĈะ xanthine derivative การบริหารขยายหลอดลม เสนอแนะให้ใช้แนวทางสูดพ่น (metered-dose หรือ dry-powder inhaler) เป็นขั้นแรกเพราะว่ามีคุณภาพสูงและก็ผลข้างเคียงน้อย ICS แม้การให้ยา ICS โดยตลอดจะไม่สามารถที่จะชะลอการลดน้อยลงของค่า FEV แม้กระนั้นสามารถทำให้สถานะสุขภาพแข็งแรงขึ้น แล้วก็ลดการกำเริบของโรคในผู้เจ็บป่วยกรุ๊ปที่มีลักษณะอาการร้ายแรงรวมทั้งที่มีลักษณะอาการกำเริบเสิบสานบ่อยมาก ยาผสม ICS รวมทั้ง LABA จำพวกสูด มีหลักฐานว่ายาผสมกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพเหนือกว่ายา LABA หรือยา ICS จำพวกสูดเดี่ยวๆโดยยิ่งไปกว่านั้นในผู้เจ็บป่วยขั้นรุนแรงรวมทั้งมีลักษณะอาการกำเริบเสมอๆแต่ว่าก็ยังมีความเอนเอียงที่จะกำเนิดปอดอักเสบสูงมากขึ้นด้วยเหมือนกัน Xanthine derivatives มีสาระแต่ว่าเป็นผลข้างๆได้ง่าย จำเป็นที่จะต้องพิจารณาเลือกยาขยายหลอดลมกลุ่มอื่นก่อน ดังนี้ คุณภาพของยากลุ่มนี้ได้จากการศึกษาเล่าเรียนยาชนิดที่เป็น sustained-release แค่นั้น การดูแลรักษาอื่นๆวัคซีน ชี้แนะให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ เดือนมีนาคม – เมษายน แม้กระนั้นอาจให้ได้ตลอดทั้งปี การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด (pulmonary rehabilitation) มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดลักษณะของโรค เพิ่มคุณภาพชีวิต รวมทั้งเพิ่มความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน ซึ่งการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดนี้ ต้องครอบคลุมทุกปัญหาที่เกี่ยวด้วย ได้แก่ ภาวะของกล้าม ภาวะอารมณ์และจิตใจ ภาวะโภชนาการเป็นต้น ให้การบำบัดรักษาด้วยออกสิเจนระยะยาว การดูแลรักษาโรคการผ่าตัด และก็/หรือ หัตถการพิเศษ ผู้เจ็บป่วยที่ได้รับการดูแลรักษาด้วยยา และก็การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดอย่างเต็มที่แล้ว ยังควบคุมอาการไม่ได้ ควรส่งต่ออายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบการหายใจ เพื่อประเมินการรักษาโดยการผ่าตัด ดังเช่นว่า Bullectomy การผ่าตัดเพื่อลดความจุปอด (lung volume reduction surgery) การใส่เครื่องใช้ไม้สอยในหลอดลม (endobronchial valve) การผ่าตัดเปลี่ยนแปลงปอด การวัดแล้วก็ติดตามโรค สำหรับการให้คะแนนการดูแลและรักษาควรจะมีการคาดคะเนทั้ง อาการผู้ป่วย (subjective) รวมทั้งผลการตรวจ (objective) อาจประเมินทุก 1-3 เดือนตามสมควร ดังนี้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรครวมทั้งปัจจัยทางเศรษฐสังคม เมื่อใดก็ตามเจอหมอ ควรติดตามอาการ อาการเหนื่อยหอบ บริหารร่างกาย ความถี่ของกการกำเริบของโรค อาการแสดงของการหายใจลำบาก และก็การประมาณวิธีการใช้ยาสูด ทุก 1 ปี ควรวัด spirometry ในคนเจ็บที่มีลักษณะอาการเมื่อยล้ารุกรามกิจวัตรประจำวันประจําวัน ควรวัด BODE Index, 6 minute walk distance, ระดับ oxygen saturation หรือ arterial blood gases การดูแลและรักษาสภาวะกำเริบทันควันของโรค (acute exacerbation) การกำเริบกระทันหันของโรค หมายถึง ภาวะที่มีลักษณะเหนื่อยเพิ่มขึ้นกว่าเดิมในระยะเวลาอันสั้น (เป็นวันถึงสัปดาห์) และก็/หรือ มีปริมาณเสลดเพิ่มขึ้น หรือมีเสลดเปลี่ยนสี (purulent sputum) โดยจะต้องแยกจากโรคหรือภาวการณ์อื่นๆดังเช่นว่า หัวใจล้มเหลว pulmonary embolism, pneumonia, pneumothorax การติดต่อของโรคถุงลมโป่งพอง โรคถุงลมโป่งพองเกิดขึ้นจาก เยื่อบุหลอดลมและก็ถุงลมในปอดถูกทำลายขึ้นรถพิษต่างๆยกตัวอย่างเช่น สารพิษในควันของบุหรี่ , มลพิษที่มีสาเหตุมาจากอาการและสารเคมี ที่พวกเราดมกลิ่นเข้าไป เป็นระยะเวลานานแล้วก็ในจำนวนที่มาก ซึ่งโรคถุงลมโป่งพองขาดการติดต่อ จากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด แต่อาจเจอได้ว่ามีต้นเหตุมาจากพันธุกรรม (ภาวะบกพร่องสารต้านทริปซีน (a1-antitrypsin)) แต่ว่าเจอได้น้อยมาก โดยประมาณ 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งหมดทั้งปวง การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพอง
|