ล้อแม็ก แม็ก แม็กล้อ แม็กซ์แต่งรถ ล้อแม็กคุณภาพ รวมล้อแม็กลายใหม่ๆ

Sitemap SMB => สินค้าอื่นๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: Keekayr1200gs ที่ เมษายน 16, 2018, 12:22:16 am



หัวข้อ: p1 กล้องสำรวจถนนหนทางภาคสนาม ซื้อ-ขาย กล้องระดับ TOPCON, Pentax, CTS/Berger ราคา
เริ่มหัวข้อโดย: Keekayr1200gs ที่ เมษายน 16, 2018, 12:22:16 am
จำหน่ายกล้องอุปกรณ์กล้องไลน์สำรวจ คุณภาพเยี่ยม กล้องระดับ TOPCON ยี่ห้อ TOPCON, Pentax, CTS/Berger
การจำแนกดิน คือ การรวบรวมดินชนิดต่างๆที่มีลักษณะ หรือ คุณสมบัติที่หมือนกันหรือคล้ายกันตามที่ตั้งไว้ ให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระบบระเบียบ เพื่อสบายสำหรับการจดจำและก็เอาไปใช้งาน
ระบบการแบ่งดินของประเทศรัสเซีย
ระบบนี้จะให้ความสนใจดินที่เกิดในลักษณะของอากาศหนาวเย็น จนถึงค่อนข้างร้อน ในการแยกประเภทขั้นสูง เน้นการใช้โซนภูมิอากาศรวมทั้งพรรณไม้เป็นหลัก มีทั้งหมดทั้งปวง 12 ชั้น (class I- class XII) โดยชั้น I-VI เป็นดินในเขตสภาพอากาศตั้งแต่หนาวจัด จนถึงค่อนข้างจะหนาวในทะเลทราย ชั้น VII-IX เน้นย้ำลักษณะภูมิอากาศค่อนข้างร้อน โดยใช้ลักษณะความชื้น-ความแห้ง แล้วก็สภาพพรรณไม้ที่เป็นป่า หรือท้องทุ่ง เป็นต้นเหตุจำกัด สำหรับชั้น X-XII เน้นย้ำดินในเขตร้อน จากระดับสูงจะมีการแยกประเภทออกเป็นชั้นย่อย ตามลักษณะการเกิดของดิน และก็แบ่งเป็นชนิดดิน ในอย่างน้อย ระบบการจำแนกดินของคูเบียนา การจำแนกดินใช้ ทรัพย์สมบัติทางเคมีของดิน และโซนของภูมิอากาศกับพรรณไม้ เป็นหลัก โดยเน้นย้ำสภาพแวดล้อมในเขตเมดิเตอร์เรเนียน แล้วก็สภาพแวดล้อมที่ออกจะแห้งมากกว่าเขตชื้นแล้วก็ฝนชุก
-ระบบการแบ่งดินของประเทศฝรั่งเศส
มีลักษณะเด่นเป็น เป็นการจำแนกแยกแยะดินที่ใช้ลักษณะทั้งหมดทั้งปวงภายในหน้าตัดดินเป็นเกณฑ์ เน้นย้ำวิวัฒนาการของหน้าตัดดิน โดยพินิจพิเคราะห์จาการจัดแถวตัวของชั้นเกิดดินข้างในหน้าตัดดินโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการที่มีปฏิกิริยาความเคลื่อนไหว หรือชั้นที่มีการสะสมของดินเหนียว การแบ่งแยกลำดับสูงสุด เน้นลักษณะที่เกี่ยวพันกับการขังน้ำ ส่วนอย่างน้อย ใช้ความมากมายน้อยสำหรับเพื่อการโยกย้ายอนุภาคดินเหนียวในหน้าตัดดิน
-ระบบการจำแนกดินของประเทศเบลเยียม
เป็นการจัดชนิดและประเภทที่ค่อนข้างละเอียด ซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้ที่ดินทางการเกษตรที่เข้มข้น การจำแนกดินใช้ลักษณะของเนื้อดิน ชั้นการระบายน้ำ และก็ความก้าวหน้าของหน้าตัดดิน เป็นลักษณะแบ่งประเภทและชนิด สำหรับในการขยายความเนื้อดิน แบ่งออกเป็น 7 ชั้น (ชั้นอนุภาคดิน) วัสดุอินทรีย์และขี้ตะกอนลมหอบ ส่วนชั้นการระบายน้ำของดิน ใช้การแปลความหมายที่เกี่ยวกับความเปียกของดิน ยกตัวอย่างเช่น จุดประ และสีเทาในเนื้อดิน กับระดับความลึกของดินที่เจอลักษณะดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น สำหรับความเจริญของหน้าตัดดินแบ่งออกเป็นหลายชั้นโดยพิจารณาจากลำดับของชั้นต่างๆในหน้าตัดดินแล้วก็ชั้น (B) นับได้ว่าเป็นชั้น B ที่พึ่งจะมีวิวัฒนาการหรือเป็นชั้นแคมบิก B คล้ายกันกับในระบบของประเทศฝรั่งเศส
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศอังกฤษ
เน้นลักษณะดินที่พบในประเทศอังกฤษและก็เวลส์ ประกอบด้วย 10 กลุ่ม ขยายความออกมาจากกันโดยใช้ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นกฏเกณฑ์ซึ่งเน้นประเภทรวมทั้งการจัดเรียงตัวของชั้นดิน ประกอบด้วย Terrestrial raw soils, Hydric raw soils, Lithomorphic (A/C) soils, Pelosols, Brown soils, Podzolic soils, Surface water gley soils, Groundwater gley soils, Man-made soils และก็ Peat soils
-ระบบการแบ่งดินของประเทศแคนาดา
ระบบการจำแนกเป็นแบบมีหลายขั้นอนุกรมระเบียบรวมทั้งมีลำดับสูงต่ำแจ้งชัด ประกอบด้วย 5 ขั้นด้วยกันเป็น อันดับ (order) กรุ๊ปดินใหญ่ (great group) กรุ๊ปดินย่อย (subgroup) วงศ์ดิน (family) และชุดดิน (series) ชั้นอนุกรมข้อบังคับของดินในระบบการแบ่งดินของแคนาดาแจงแจงออกมาจากกันโดยใช้ลักษณะที่สังเกตได้ รวมทั้งที่วัดได้ แต่ว่าหนักไปในทางทางด้านทฤษฎีการกำเนิดดินในการแยกประเภทระดับสูง ซึ่งแบ่งออกเป็น 9 ชั้น และแบ่งได้เป็น 28 กรุ๊ปดิน
-ระบบการจำแนกดินของออสเตรเลีย
การพัฒนาด้านการจำแนกดินในประเทศออสเตรเลียมีมานานแล้วด้วยเหมือนกัน โดยในช่วงแรกเป็นการแบ่งประเภทและชนิดดินที่ใช้ธรณีวิทยาของอุปกรณ์ดินเริ่มแรกเป็นหลัก แต่ต่อมาได้มีการพัฒนามาเรื่อยๆจนถึงเน้นย้ำเค้าโครงวิทยาของหน้าตัดดินโดยแบ่งออกเป็น 47 หน่วยดินหลัก (great soil groups) เนื่องจากว่าการที่ออสเตรเลียมีสภาพอากาศอยู่หลายแบบร่วมกัน ทำให้มีสิ่งแวดล้อมทางดินหลายแบบด้วยกันตามไปด้วย มีในสภาพที่หนาวเย็นไปจนกระทั่งเขตร้อนชื้น และก็เขตที่เป็นทะเลทราย ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าระบบการแบ่งแยกนี้ครอบคลุมชนิดของดินต่างๆจำนวนมาก แม้กระนั้นเน้นดินที่มีการสะสมคาร์บอเนต เน้นสีของดิน รวมทั้งเนื้อของดินค่อนข้างจะมากมาย ระบบการจำแนกดินของออสเตรเลียนี้มีอยู่มากยิ่งกว่า 1 แบบ เนื่องด้วยมีการเสนอระบบต่างๆที่มีแนวคิดเบื้องต้นไม่เหมือนกันออกไป เช่นระบบของฟิทซ์แพทริก (FitzPatrick, 1971, 1971, 1980) ที่เน้นจากระดับค่อนข้างต่ำขึ้นไปหาระดับสูง รวมทั้งระบบที่เจออยู่ในคู่มือของดินออสเตรเลีย (A Handbook of Australia Soils) ฯลฯ
-ระบบการจำแนกดินของประเทศนิวซีแลนด์
ประเทศนิวซีแลนด์ใช้ระบบอันดับข้อบังคับดินของอเมริกาเป็นหลักสำหรับในการแบ่งประเภทดิน และดินของประเทศนิวซีแลนด์บริเวณกว้างเป็นดินที่เกิดมาจากตะกอนภูเขาไฟ
-ระบบการแบ่งดินของประเทศบราซิล
ดินในประเทศบราซิลเป็นดินที่มีลักณะเด่นเป็นดินเขตร้อน ระบบการจำแนกดินของบราซิลไม่ใช้สภาพความชื้นดินสำหรับการจำแนกประเภทระดับสูง และก็ใช้สี ปริมาณของส่วนประกอบกับชนิดของหินต้นกำเนิด เป็นลักษณะที่ใช้ในการแบ่งแยกมากกว่าที่ใช้ในอนุกรมข้อบังคับดินกษณะที่ใช้สำหรับการแยกประเภทมากยิ่งกว่าที่ใช้ในอนุกรมกฎดิน
ตามระบบการแบ่งดินประจำชาตินี้ สามารถแบ่งดินในประเทศไทยออกเป็น
ชุดดินรังสิต
Alluvial soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นใหม่ มีอายุน้อย มีพัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ หน้าตัดดินเป็นแบบ A-C, A-Cg, Ag-Cg หรือ A-(B)-Cg มีสาเหตุมาจากการทับถมโดยน้ำตามที่ราบลุ่ม ยกตัวอย่างเช่นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ทะเลสาบ ปากแม่น้ำ ชายฝั่งทะเล แล้วก็เนินตะกอนน้ำพารูปพัด (alluvial fan) สภาพของการทับถมบางทีอาจเป็นรอบๆของน้ำจืด น้ำทะเล หรือน้ำกร่อยก็ได้ ส่วนใหญ่จะมีเนื้อดินละเอียด รวมทั้งการระบายน้ำเลวทราม พบได้ทั่วไปลักษณะที่แสดงการขังน้ำ นอกจากบริเวณสันดินริมน้ำ และที่เนินขี้ตะกอนน้ำพารูปพัด ที่เนื้อดินจะหยาบคายกว่า และดินมีการระบายน้ำดี ส่วนประกอบรวมทั้งแร่ธาตุที่มีอยู่ในดิน alluvial มักไม่เหมือนกันมากมาย และมักจะผสมปนเปจากรอบๆต้นกำเนิดที่มาจากหลายที่ ชุดดินที่สำคัญของกรุ๊ปดินหลักนี้คือ
- พวกที่เกิดขึ้นมาจากขี้ตะกอนน้ำจืด เช่น ชุดดินท่าม่วง สรรพยา สิงห์บุรี ราชบุรี อยุธยา
- พวกที่เกิดขึ้นมาจากขี้ตะกอนน้ำกร่อย เช่น ชุดดินผู้อารักขา รังสิต
- พวกที่เกิดจากตะกอนพื้นทวีปมหาสมุทร ดังเช่น ชุดดินท่าจีน กรุงเทพมหานคร
-
Hydromorphic Alluvial soils
หมายความว่าดิน Alluvial soils ที่มีการระบายน้ำออกจะเหลวแหลก-เลวมาก ในเรื่องที่มีการแบ่งดินออกเป็น Alluvial soils และก็ Hydromorphic Alluvial soils ดินที่อยู่ในกรุ๊ปดินหลัก Alluvial soils จะเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี แล้วก็อยู่ในบริเวณที่สูงกว่าในภูมิทัศน์ที่ต่อเนื่องกัน ดินในทั้งสองกลุ่มดินหลักนี้ชอบได้รับอิทธิพลน้ำท่วมในฤดูน้ำหลากเสมอ
 -ชุดดินหัวหิน
Regosols
มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดินต่ำ เกิดแจ้งชัดเฉพาะดินบน (A) และมีหน้าตัดดินแบบ A-C หรือ A-Cg มีสาเหตุมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดดินที่เป็นทรายจัดบางทีอาจเป็นทรายบริเวณชายฝั่งทะเล หรือบริเวณเนินทราย หรือทรายจากแม่น้ำ ดินมีการระบายน้ำดี จนกระทั่งระบายน้ำดีจนกระทั่งเกินความจำเป็น พบทั่วๆไปเป็นแถวยาวตามชายฝั่งทะเล แล้วก็ตามกระพักสายธารของแม่น้ำที่มีตะกอนเป็นทรายจัด มีปฏิกิริยาออกจะเป็นกรด ชุดดินที่สำคัญเช่น ชุดดินหัวหิน พัทยา จังหวัดระยอง รวมทั้งน้ำพอง
-Lithosols
เป็นดินตื้นมากมาย ส่วนมากลึกไม่เกิน 30 ซม. พบได้ทั่วไปตามรอบๆที่ลาดตีนเขาซึ่งมีกษัยการสูง การเรียงตัวของชั้นดินเป็นแบบ A-C-R, AC-C-R หรือ A-R เนื้อดินมีเศษหินที่ยังไม่ผุพังย่อยสลายหรือกำลังเสื่อมสภาพคละเคล้าอยู่เป็นส่วนใหญ่ ดินนี้ไม่เหมาะสมแก่การกสิกรรม หรือการสร้างพืชโดยทั่วไป
-ชุดดินจังหวัดลพบุรี
Grumusols
เป็นดินสีคล้ำ เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง เช่น หินปูน มาร์ล หรือบะซอลต์ ความเจริญของหน้าตัดดินต่ำ เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีส่วนประกอบเป็นแร่ดินเหนียวประเภท 2:1 ซึ่งมีความสามารถสำหรับเพื่อการยืด-หดตัวได้มาก ดินจะขยายตัวเมื่อเปียก (swelling) และก็หดตัวเมื่อแห้ง (shrinkage) ทำให้มีลักษณะของรอยูไถล (slickensides) เกิดขึ้นในดิน ลักษณะหน้าตัดประกอบด้วยชั้น A-C หรือ A-AC-C โดยชั้น A จะหนา มีโครงสร้างดินแบบก้อนกลม (granular structure) หรือก้อนกลมพรุน (crumb structure) พบได้ทั่วไปในรอบๆที่ราบลุ่มหรือกระพักลำธาร ลักษณะผิวหน้าดินเป็นหลักที่ขรุขระ (gilgai relief) เมื่อแห้งผิวดินจะแตกระแหงเป็นร่องลึก ปฏิกิริยาดินเป็นด่าง ลักษณะโดยรวมเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง แม้กระนั้นมีทรัพย์สมบัติทางด้านกายภาพที่เป็นปัญหาในการไถกระพรวน ดินนี้ในรอบๆที่ต่ำจะมีการระบายน้ำเหลวแหลก ส่วนใหญ่ใช้ปลูกข้าว แต่ถ้าเกิดอยู่ในที่สูง ได้แก่ในบริเวณใกล้เชิงเขาหินปูนมักจะมีการระบายน้ำดี ใช้ปลูกพืชไร่ ได้แก่ ข้าวโพดชุดดินที่สำคัญ ดังเช่นว่า ชุดดิน ลพบุรี บ้านหมี่ โคกกระเทียม บุรีรัมย์ กลุ่มดินหลัก Grumusols นี้ ไม่มีในระบบ USDA 1938 เริ่มใช้สำหรับในการเพิ่มอีกระบบ USDA เมื่อ 1949
 -ชุดดินตาคลี
Rendzinas
เป็นดินตื้นกำเนิดตามตีนเขาหินปูน วัตถุต้นกำเนิดเป็นพวกปูน (CaCO3) หรือมาร์ล กำเนิดเกี่ยวโยงกับดิน Grumusols แต่อยู่ในบริเวณที่สูงกว่า พบได้มากรอบๆที่ลาดใกล้เขา หรือ กระพักแถบที่ลุ่มใกล้เขาหินปูน เป็นดินที่มีความเจริญของหน้าตัดต่ำ ลักษณะดินจะมีเพียงชั้น A รวมทั้ง C หรือ A-(B)-C ดินบนสีคล้ำ มีส่วนประกอบดี ร่วน และค่อนข้างจะครึ้ม มีการระบายน้ำดี ส่วนดินข้างล่างเป็นดินเหนียวผสมปูนหรือปูนมาร์ล ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นตามความลึก และก็ชอบพบชั้นที่เป็นปูน หรือ ปูนมาร์ลล้วนๆอยู่ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ดินพวกนี้จะมีปฏิกิริยาเป็นด่าง (pH ราว 7.0-8.0) ส่วนใหญ่ใช้สำหรับในการปลูกพืชไร่ อย่างเช่นข้าวโพด หรือปลูกไม้ผล ดังเช่นว่า น้อยหน่า ทับทิม เป็นต้น ชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินตาคลี
 -ชุดดินชัยบาดาล
Brown Forest soils
พบตามบริเวณเทือกเขาเป็นส่วนใหญ่ มีสาเหตุมาจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นวัตถุหลงเหลือ แล้วก็เศษหินตีนเขา ในสภาพที่หินพื้นเป็นพวกที่มีปฏิกิริยาเป็นกรด รวมทั้งด่าง ตัวอย่างเช่น แกรนิต ไนส์ แอนดีไซต์ มาร์ล อาจพบปะสนทนาปนกับดินในกลุ่มดินหลัก Rendzinas เป็นดินตื้น ความก้าวหน้าของหน้าตัดดินไม่มากเท่าไรนัก มีลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A-B-C หรือ A-B-R แต่ชั้น B ชอบไม่ค่อยแจ้งชัด ในประเทศไทยมักพบตามภูเขาหินปูนเป็นส่วนใหญ่ สำหรับ Brown Forest soils ที่เป็นกรด เจอเพียงแค่เล็กๆน้อยๆชุดดินที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น ชัยบาดาล ลำท้องนารายณ์ สมอทอด
 -Humic Gley soils
พบจำนวนน้อยในประเทศไทย มักเกิดผสมอยู่กับดินอื่นๆในลักษณะกลาดเกลื่อนเป็นหย่อมๆในรอบๆที่ราบลุ่ม พบได้ทั่วไปอยู่ใกล้กับดินในกรุ๊ป Grumusols, Rendzinas หรือ Red Brown Earths เป็นดินในที่ต่ำ มีการระบายน้ำชั่ว วิวัฒนาการของหน้าตัดไม่ดีนัก ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ Ag (Apg)-Cg หรือ A-Bg-Cg ลักษณะที่สำคัญเป็น ดินบนดก มีอินทรียวัตถุสูง ดินข้างล่างมักเป็นดินเหนียวสีเทาหรือสีเทาเข้ม มีลักษณะที่แสดงถึงสภาพที่มีการขังน้ำแน่ชัด มีจุดประ ปฏิกิริยาดินเป็นด่างเล็กน้อยชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินแม่ขานรับ
 -ชุดดินร้อยเอ็ด
Low Humic Gley soils
เป็นดินที่เกิดจากขี้ตะกอนน้ำพา พบในรอบๆที่ต่ำที่มีการระบายน้ำต่ำช้า จำนวนมากอยู่ในบริเวณกระพักลุ่มน้ำต่ำที่สูงกว่าที่ราบลุ่มใหม่ใกล้น้ำ ระดับน้ำใต้ดินตื้นและก็แช่ขังเป็นบางครั้งบางคราว แต่มีความก้าวหน้าของหน้าตัดค่อนข้างจะดี ลักษณะสำคัญของดินในกลุ่มนี้คือ หน้าตัดดินมีลักษณะที่แสดงออกถึงการขังน้ำ มีจุดประแจ้งชัด หน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt, Ap-A2-Bt, A1-A2-Btg, A1g-A2g-Btg, หรือ Apg-Btg พวกที่แก่น้อยจะสมบูรณ์บริบูรณ์มากยิ่งกว่าพวกที่เกิดนานกว่า บางรอบๆจะพบหินแลงอ่อน (plinthite) ในตอนล่างของหน้าตัดดิน จำนวนมากเป็นดินที่มีความอิ่มตัวเบสต่ำ pH ประมาณ 4.5-5.5 สำหรับพวกที่เกิดอยู่ในรอบๆกระพักลุ่มน้ำค่อนข้างจะใหม่ ชอบมีความอิ่มตัวเบสสูง ชุดดินที่สำคัญ คือ เพ็ญ สระบุรี มโนรมย์ เพชรบุรี เชียงราย หล่มเก่า ส่วนพวกที่เกิดบนกระพักแถบที่ลุ่มค่อนข้างจะเก่า ยกตัวอย่างเช่นชุดดิน ร้อยเอ็ด จังหวัดลำปาง เป็นต้น
 
-ชุดดินท่าอุเทน
Ground Water Podzols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำต่ำช้าถึงค่อนข้างเลวทรามเจอเฉพาะในบริเวณที่มีฝนตกชุก ตัวอย่างเช่น ในภาคใต้ รอบๆชายฝั่งตะวันออก หรือบางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังเช่น จังหวัดนครพนม มีเหตุที่เกิดจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นทราย ในรอบๆที่เป็นทรายจัด เช่น ริมหาดเก่าหรือตะกอนทรายเก่า ในบริเวณที่ค่อนข้างต่ำ มีความเจริญของหน้าตัดดี ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-(A2)-Bh-Cg หรือ A1-A2-Bir-Cg ชั้นดินบนสีคล้ำ รวมทั้งมีอินทรียวัตถุสูง ชั้น A2 (albic horizon) หรือชั้นชำระล้างมีสีซีดจางเห็นได้ชัดเจน ชั้น Bh มีสีน้ำตาลเข้มรวมทั้งมีการอัดตัวค่อนข้างแน่น แข็ง เนื่องด้วยมีการสะสมอินทรียวัตถุที่เสื่อมสภาพแล้วกับอะลูมินัมออกไซด์รวมทั้ง/หรือเหล็กออกไซด์ มีปฏิกิริยาเป็นกรด pH ต่ำ ประมาณ 4.0-5.0 ตลอดทั้งหน้าตัดชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินบ้านทอน ท่าอุเทน
 -ชุดดินหนองมึง
Solodized-Solonetz
เจอในรอบๆที่ค่อนข้างจะแห้ง และก็วัตถุแหล่งกำเนิดมีเกลือผสมอยู่ อย่างเช่นบริเวณชายฝั่งทะเลเก่า หรือรอบๆที่ได้รับผลพวงจากเกลือที่มาจากใต้ดิน เช่นในภาคอีสาน ของเมืองไทย เป็นต้น มีลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt ดินมีการระบายน้ำต่ำช้า ชั้น Bt จะแข็งแน่นรวมทั้งมีโครงสร้างแบบแท่งหัวมน (columnar structure) หรือแบบแท่งหัวตัด (prismatic) ดินบนเป็นดินร่วนซุยผสมทราย มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างราว 5-5.5 ส่วนดินล่างมี pH สูง 7.0-8.0 ดังเช่นว่าชุดดินว่าวจุฬาร้องไห้ ชุดดินหนองมึง เป็นต้น
 -ชุดดินอุดร
Solonchak
เป็นดินที่มีการระบายน้ำต่ำช้าถึงค่อนข้างจะเลวทราม มีเกลือสะสมอยู่ในชั้นดินมาก หน้าตัดดินเป็นแบบ Apg-Cg หรือ Apg-Bg-Cg ในดินเหล่านี้จะมีชั้นดินที่เป็นดินเหนียวอยู่เป็นชั้นบางๆสลับกับชั้นทราย เกิดขึ้นให้เห็นได้ชัดเจน ในช่วงฤดูแล้งจะมองเห็นคราบเปื้อนเกลือสีขาวๆที่ผิวหน้าดิน ความเป็นกรดเป็นด่างมากยิ่งกว่า 7.0 ดังเช่น ชุดดินทิศเหนือ
 -Non Calcic Brown soils
พบไม่มากสักเท่าไรนักในประเทศไทย พบในบริเวณตะพักสายธารค่อนข้างจะใหม่ ความก้าวหน้าของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดดินแบบ A1(Ap)-A2-Bt ดินบนสีน้ำตาลเทา ดินล่างมีสีน้ำตาล น้ำตาลผสมเหลือง หรือน้ำตาลผสมแดง เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากขี้ตะกอนน้ำค่อนข้างใหม่ มีเนื้อดินตั้งแต่ออกจะหยาบไปจนถึงละเอียด แล้วก็มีปฏิกิริยาเป็นกรดบางส่วน ในหน้าตัดดินจะเจอแร่ไมกาอยู่ทั่วๆไป มีการระบายน้ำดี ความอุดมสมบูรณ์ออกจะสูง เหมาะสมที่จะปลูกพืชไร่แล้วก็ไม้ผล ชุดดินที่สำคัญเช่น ชุดดิน กำแพงแสน ธาตุพนม
 -ชุดดินวัวราช
Gray Podzolic soils
กำเนิดในรอบๆตะพักสายธารเป็นดินที่มีอายุค่อนข้างจะมาก มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดี พบในบริเวณสายธารระดับค่อนข้างต่ำ-ระดับกลาง วัตถุต้นกำเนิดเป็นตะกอนน้ำที่ทับถมมานานแล้ว ซึ่งจะเป็นกรดและก็มีแร่ที่ย่อยสลายง่ายคงเหลืออยู่ในจำนวนน้อย ในสภาพพื้นที่แบบเกลียวคลื่น ซึ่งทำให้การไหลผ่านหน้าดินเป็นไปอย่างช้าๆรวมทั้งอากาศที่มีระยะเปียก-แห้งสลับกันเป็นต้นเหตุที่สำคัญต่อการเกิดดินประเภทนี้ ลักษณะดินชี้ให้เห็นว่าดินมีการชะละลายสูง สีจะออกขาวหรือเทาจัดเมื่อแห้ง รวมทั้งมีลักษณะการเคลื่อนย้ายบนผิวหน้าดินออกจะชัดเจน เนื้อดินละเอียดรวมทั้งสารอินทรีย์ถูกล้างไปเมื่อหน้าดินถูกฝน หลงเหลืออยู่แต่ว่าจุดที่เกาะตัวกันแน่นอยู่เป็นจุดๆบางทีอาจพบพลินไทต์ในชั้นดินด้านล่าง เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ-ต่ำมาก ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt กรุ๊ปดินนี้เจอเป็นบริเวณกว้างใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน แล้วก็บางแห่งในภาคเหนือ ชุดดินที่สำคัญ ได้แก่ ชุดดินโคราช สันป่าตอง ห้วยโป่ง ฯลฯ
 -ชุดดินท่ายาง
Red Yellow Podzolic soils
เป็นดินเก่าที่มีพัฒนาการของหน้าตัดดินดี เกิดในภาวะที่ละม้ายกับดินในกลุ่มดินหลัก Reddish Brown Lateritic Soils ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt-C หรือ R พบทั่วๆไปในรอบๆเทือกเขาแล้วก็ที่ลาดเชิงเขาหรือที่ราบขั้นบันไดเก่า วัตถุต้นกำเนิดดินมาจากหินหลายจำพวก ส่วนมากเป็นหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกรดถึงเป็นกลาง ดินมีการระบายน้ำดี ลักษณะเนื้อดินเปลี่ยนแปลงได้มากตั้งแต่ค่อนข้างจะหยาบคายจนถึงค่อนข้างจะละเอียด สีจะออกแดง เหลืองปนแดงรวมทั้งเหลือง มีชั้น E ที่ออกจะแจ่มชัด มีสีจางหรือเทากว่าชั้นอื่น และอาจมีเศษหินที่เสื่อมสภาพ หรือ พลินไทต์ปะปนอยู่ด้วยในดินล่าง ตัวอย่างเป็นต้นว่า ชุดดินท่ายาง โพนวิสัย ชุมพร หาดใหญ่ จังหวัดภูเก็ต ฯลฯ จัดว่าเป็นกลุ่มดินที่พบมากกรุ๊ปหนึ่งในประเทศไทย
 -ชุดดินอ่าวลึก
Reddish Brown Lateritic soils
เป็นดินเก่า มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดี มีต้นเหตุจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้างของหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกลางรวมทั้งที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี ดินชั้นบนมีสีน้ำตาลเข้ม หรือสีน้ำตาลปนแดง มีเนื้อดินตั้งแต่ดินร่วน (loam) ถึง ดินร่วนซุยเหนียว (clay loam) ส่วนชั้นดินล่างมีเนื้อดินเป็นดินร่วนเหนียว ถึงดินเหนียว (clay) ที่มีสีแดง รูปแบบของดินแสดงการชะล้างสูง และก็บางทีอาจเจอชั้นศิลาแลงในด้านล่างของหน้าตัดดิน ลักษณะดินจะคล้ายกับดินในกลุ่มดินหลัก Red Brown Earths ที่ไม่เหมือนกันคือจะมีเป็นกรดมากยิ่งกว่า pH ราวๆ 5-6 ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินลี้ บ้านจ้อง อ่าวลึก ตราด ฯลฯ
-ชุดดินปากช่อง
Red Brown Earth
เป็นดินที่มีความข้องเกี่ยวโดยตรงกับหินปูน หรือหินที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง รวมทั้งจะมีความเชื่อมโยงกับหินดินดานด้วย ดินมีสีแดง มีความเจริญของหน้าตัดดี เป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีการระบายน้ำดี เกิดในบริเวณที่ราบซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากกษัยการ หรืออาจจะมีการเกิดตามไหล่เขาได้ ดินเหล่านี้มีลักษณะสีดิน และการเรียงตัวของชั้นดินใกล้เคียงกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Reddish Brown Lateritic มากมายต่างกันที่ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน โดยที่ Red Brown Earth มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างสูงขึ้นมากยิ่งกว่า (pH ประมาณ 6.5-8.0) ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินปากช่อง เป็นกรุ๊ปดินที่มีการปลูกพืชไร่และทำสวนผลไม้กันมากมาย
-ชุดดินยโสธร
Red Yellow Latosols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำดีจนกระทั่งดีเหลือเกิน มีอายุมากมาย หน้าตัดดินลึก มีลักษณะที่แสดงว่ามีการชะละลายสูง ความเจริญของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-B (Box) หรือ A1-A3-B (Box) เจอเป็นหย่อมๆในบริเวณลานกระพักลำน้ำขั้นสูง เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากตะกอนน้ำพาเก่ามากมาย มีสมบัติทางกายภาพดี แต่ว่าทรัพย์สินทางเคมีไม่ค่อยดี มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีสีแดงหรือเหลืองตลอดหน้าตัดดิน ดินบนเนื้อดินหยาบ ดินข้างล่างมีพวกเซสควิออกไซด์สูง บางแห่งพบศิลาแลงในตอนล่างของหน้าตัดดิน และไม่เจอการเคลือบผิวของดินเหนียวในชั้น B ชุดดินที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ศรีราชา ยโสธร
-Reddish Brown Latosols
กำเนิดในบริเวณที่เกี่ยวโยงกับภูเขาไฟ วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นตะกอนหลงเหลือ หรือตะกอนดาดตีนเขา ของหินที่เป็นด่างได้แก่ บะซอลท์ แอนดีไซต์ เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี รวมทั้งวิวัฒนาการของหน้าตัดดี มีหน้าตัดดินแบบ A-Box (ox = ออกไซด์ของเหล็ก) เนื้อดินเป็นดินเหนียวสีแดง สีแดงผสมน้ำตาล มีความร่วนซุยดี เป็นดินลึกมากมาย มักจะเหมาะกับการใช้ทำสวนผลไม้ อาทิเช่น ชุดดินท่าใหม่
-Organic soils
Organic soils หรือเรียกว่า Peat and Muck soils เป็นดินที่มีลักษณะแตกต่างไปจากกรุ๊ปดินอื่นๆเพราะเป็นดินที่มีอินทรีย์คาร์บอนอยู่ในส่วนประกอบมากยิ่งกว่าปริมาณร้อยละ 20 โดยน้ำหนัก หรือประกอบไปด้วยสารอินทรีย์ล้วนๆเจอในรอบๆแอ่งต่ำมีน้ำขังอยู่เกือบจะทั้งปีแล้วก็มีการสะสมของสิ่งของดินอินทรีย์สูง สำหรับในประเทศไทยพบได้บ่อยทางภาคใต้ ในจังหวัดนราธิวาส โดยเฉพาะในพื้นที่พรุ ลักษณะเด่นคือสีจะคล้ำ มีอินทรีย์วัตถุสูง เป็นกรดจัด มีการพัฒนาหน้าตัดดินน้อย ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-C เมื่อระบายน้ำออก จะหดตัวได้มาก อย่างเช่น ชุดดินนราธิวาส พบบ่อยในภาคใต้ของประเทศไทย
(http://www.p1instrument.com/UploadImage/86b68602-3fe7-430f-9bbe-db9434776ae0.jpg)
 
กล้องวัดมุมอิเล็กทรอนิกส์ ยี่ห้อ Leica Builder 100 - T100 9"
 
1.กล้องเล็งเป็นระบบเห็นภาพตั้งตรง
2. กำลังขยาย 30 เท่า
3. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์ปากกล้องไม่ต่ำกว่า 40 มิลลิเมตร
4. ขนาดความกว้างของภาพที่เห็นในระยะ 100 เมตร ไม่น้อยกว่า 2.6 เมตร หรือ 1องศา 30 ลิปดา
5. ระยะมองเห็นภาพชัดใกล้สุดไม่เกิน 0.9เมตร
6. ค่าตัวคูณคงที่ 100
7. ค่าตัวบวกคงที่ 0
8. กำลังในการขยายภาพ 3 ฟิลิปดา
9. เป็นกล้องแบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบวัดมุมแบบ Absolute Reading
10. หน่วยวัดเป็น องศา ลิปดา ฟิลิปดา
11. แสดงค่ามุมที่วัดได้ละเอียดโดยตรงไม่เกิน 5 ฟิลิปดา และ 10 ฟิลิปดา
12. ค่าความถูกต้องในการอ่านมุม ( Accuracy ) ไม่เกิน 9 ฟิลิปดา
13. หน้าจอแสดงผลเป็น LCD 1 หน้าจอ มีระบบให้แสงสว่างหน้าจอขณะทำงานและสามารถบอกระดับพลังงานได้
14. ความไวของระดับฟองกลม 10ลิปดา 2 มม.
15. ความไวของระดับฟองยาว 60ฟิลิปดา / 2 มม.
16. กล้องส่องหัวหมุด ( Optical Plummet ) กำลังขยาย 3 เท่า ปรับความคมชัดได้ตั้งแต่ระยะ 0.5 เมตร ขึ้นไป
17. สามารถแสดงผลทั้งเป็นมุมราบและมุมดิ่ง

 
การวัด (Measurement)
การวัด (Measurements) เป็นกรรมวิธีพื้นฐานของการได้มาซึ่งค่าสังเกต (Observations) ของข้อมูลตามที่ต้องการ เมื่อได้ก็ตามที่มีการวัด เมื่อนั้นย่อมมีความคลาดเคลื่อน (Errors) ขึ้นตามมาทุกครั้ง ดังนั้น จึงไม่มีการวัดครั้งใดที่ปราศจากความคลาดเคลื่อนอยู่ด้วย นั่นคือ ในการวัดทุกครั้งจำเป็นจำต้องมีการประเมินค่าความถูกต้อง (Accuracy) และค่าความแม่นยำ (Precision) และนั่นหมายถึง ในศึกษาถึงความถูกต้องของการวัดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเข้าใจถึงธรรมชาติ ชนิด และ ขนาดของความคลาดเคลื่อนที่แต่ละกระบวนการวัดด้วย
การวัดและมาตรฐาน (Measurement and Standards)

  • การวัด เป็นกระบวนการหาขนาด ปริมาณ ของสิ่งที่ต้องการวัดด้วยการเทียบกับมาตรฐานอันหนึ่งที่ใช้ในการหาขนาดและปริมาณต่างๆ เช่น
  • ความยาว น้ำหนัก ทิศทาง เวลา ตลอดจน ปริมาตร ตัวอย่างของการเทียบกับสิ่งที่เป็นมาตรฐาน เช่น ความยาวมาตรฐาน 1 เมตร คือ ระยะทางที่แสงเดินทางได้ในสุญญากาศเป็นเวลา 1/299,792,458 วินาที ซึ่งอาจจะทำการวัดเทียบกับสิ่งที่ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงนั้นโดยตรงหรือโดยอ้อม (Direct and Indirect Measurement)


Precision, Accuracy and Discrepancy

  • ค่าความแม่นยำ ( Precision ) คือ ความแม่นยำในการวัดหลายๆ ครั้ง กล่าวคือ มี Discrepancy มากหรือน้อยซึ่งขึ้นอยู่กับ ความละเอียดของเครื่องมือ และ ความชำนาญของผู้ใช้
  • ค่าความถูกต้อง ( Accuracy) คือ ความถูกต้องของค่าการวัดที่ได้ว่า ใกล้เค
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ