หัวข้อ: โรคไข้หวัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: แสงจันทร์5555 ที่ เมษายน 18, 2018, 09:53:35 am (https://www.img.in.th/images/c91f7d3527cd3360f42798560081cea2.jpg)
หวัด (Common cold) โรคหวัด คืออะไร หวัด หรือไข้หวัด ในที่นี้ คือ โรคไข้หวัดธรรมดา (Common cold) ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ หรือ ฟลู (Influenza หรือ Flu) โรคไข้หวัด เป็น โรคที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสบริเวณทางเท้าหายใจส่วนต้น ยกตัวอย่างเช่น จมูก คอ ไซนัส และกล่องเสียง โดยเชื้อที่นำไปสู่ไข้หวัดมักเป็นเชื้อไวรัสประเภทไม่ร้ายแรง แล้วก็สามารถหายได้ภายใน 1-2 อาทิตย์ โรคไข้หวัดเป็นโรคติดเชื้อโรคยอดฮิตพบได้บ่อยมาก ทั้งในผู้ใหญ่และก็เด็ก โดยยิ่งไปกว่านั้นเด็กในวัยเด็ก ซึ่งพบได้ทั่วไปเป็นหวัดได้หลายครั้งถึงปีละ 6-8 ครั้ง เพราะว่าเด็กมีภูมิต้านทานต่อต้านโรคต่ำลงยิ่งกว่าคนแก่ จึงได้โอกาสเป็นหวัดได้หลายครั้งกว่าผู้ใหญ่มาก รวมทั้งหวัดยังเป็นโรคเกิดได้ตลอดปี แม้กระนั้นพบบ่อยในหน้าฝนแล้วก็หน้าหนาว หวัดถือว่าเป็นโรคที่เป็นแล้วสามารถหายเองได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้ยาอะไรพิเศษ ซึ่งยาที่จำเป็นมีเพียงแต่พาราเซตามอล ที่ใช้สำหรับลดไข้ แก้ปวด เฉพาะเมื่อเป็นไข้สูงหรือปวดศีรษะ ข้อบกพร่องในปัจจุบันคือ มีการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นอย่างพร่ำเพรื่อ ซึ่งไม่ได้คุณประโยชน์ เหตุเพราะไม่ได้มีส่วนทำลายเชื้อเชื้อไวรัสหวัดที่เป็นสาเหตุยังอาจส่งผลให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยาง่าย แพ้ยาง่าย แล้วก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอตามมาได้ ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจแนวทางสำหรับดูแลไข้หวัดด้วยตัวเองและก็ปลอดภัย สิ่งที่ทำให้เกิดหวัด ปัจจัยจำนวนมากของการเป็นโรคหวัดมีสาเหตุมาจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสก่อโรค ร่วมกับสภาวะที่ภูมิต้านทานของร่างกายน้อยลง ดังเช่นว่า เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ส่วนเชื้อที่เป็นสาเหตุ : เป็นผลมาจาก “เชื้อโรคหวัด” ที่มีอยู่มากยิ่งกว่า 200 ชนิดจากกรุ๊ปไวรัสจำนวน 8 กรุ๊ปด้วยกัน โดยกลุ่มไวรัสที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มเชื้อไวรัสไรโน (Rhinovirus) ซึ่งมีมากกว่า 100 จำพวก พบมากที่สุดโดยประมาณ 30-50% นอกเหนือจากนั้นก็มีกรุ๊ปไวรัสวัวโรทุ่งนา (Coronavirus) ที่พบได้ราว 10-15%,และก็กรุ๊ปเชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) เป็นต้น ซึ่งการเกิดโรคขึ้นแต่ละครั้งจะมีต้นเหตุจากเชื้อไวรัสหวัดเพียงชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสหวัดจำพวกนั้น สำหรับเพื่อการจับไข้หวัดครั้งใหม่ก็จะเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเชื้อไวรัสหวัดชนิดใหม่ที่ร่างกายยังไม่เคยติดเข้ามา หมุนวนแบบนี้ไปเรื่อยๆด้วยเหตุนี้ มนุษย์เราก็เลยป่วยหวัดได้บ่อยครั้ง เด็กเล็กที่ยังไม่ค่อยได้ติดโรคหวัดมาก่อน ก็อาจเจ็บป่วยหวัดซ้ำจากจำเจได้ และอาจเป็นไข้หวัดได้บ่อยมากถึงเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือทุกอาทิตย์ ลักษณะโรคหวัด โดยธรรมดามักมีอาการไม่ร้ายแรง จับไข้ไม่สูง ปวดเหมื่อยตามเนื้อตามตัวเป็นตอนๆปวดหนักศีรษะนิดหน่อย อ่อนเพลียนิดหน่อย อาจมีอาการคอแห้งผาก แสบคอหรือเจ็บคอน้อยนำมาก่อน ถัดมาจะมีน้ำมูกไหลใสๆคัดจมูก ไอแห้งๆหรือไอมีเสมหะบางส่วน ลักษณะใสหรือขาวๆคนเจ็บจำนวนมาก เดินเหิน ปฏิบัติงานได้ และก็จะทานอาหารได้ ในเด็กเล็ก อาจมีไข้สูงกระทันหัน ตัวร้อนเป็นช่วงๆเวลาไข้ขึ้นอาจซึมเล็กน้อย เวลาไข้ลง (ตัวเย็น) ก็จะวิ่งเล่นหรือเค้าหน้าแจ่มใสเหมือนเช่นเคย ต่อมาจะมีน้ำมูกใส ไอบางส่วน ในผู้ใหญ่ บางทีอาจไม่มีไข้ มีเพียงอาการเจ็บคอน้อย น้ำมูกใส ไอนิดหน่อย ในเด็กแรกเกิดอาจมีอาการคลื่นไส้ หรือท้องเสีย ร่วมด้วย อาการไข้มักเป็นอยู่นาน 48-96 ชั่วโมง (2-4 วันเต็มๆ) และทุเลาไปได้เอง อาการน้ำมูกไหลจะเป็นมากอยู่ 2-3 วัน ส่วนอาการไอ อาจไอนานเป็นสัปดาห์ หรือบางรายบางทีอาจไอนานเป็นนานนับเดือน หลังจากอาการอื่นๆหายก็ดีแล้ว ในรายที่การตำหนิดเชื้อแบคทีเรียเข้าแทรก ผู้เจ็บป่วยจะมีไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 24 ชั่วโมง หรือไอมีเสลดสีเหลืองหรือเขียวทุกคราว ทั้งนี้อาการไข้หวัดแล้วก็ไข้หวัดใหญ่ จะออกจะคล้ายคลึงกัน บางทีอาจงงเต็กได้ แม้กระนั้นคนป่วยรวมทั้งผู้ดูแลสามารถพินิจความไม่เหมือนได้ตามตารางนี้ อาการ ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ โรคภูมแพ้ ไข้ ไข้ต่ำๆหรือไม่มี มักมีไข้สูง อาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ไม่มีไข้ ปวดหัว ไม่ค่อยพบ พบได้ปกติ ไม่พบ ปวดเมื่อย กล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อาจมีอาการเล็กน้อย พบได้บ่อยและอาการรุนแรง ไม่พบ (อาจอ่อนเพลียหากพักผ่อนน้อย) น้ำมูกไหล คัดจมูก พบได้บ่อย ไม่ค่อยพบ พบได้บ่อย จาม พบได้บ่อย ไม่ค่อยพบ พบได้บ่อย เจ็บคอ พบได้บ่อย อาจพบได้บางครั้ง อาจพบได้บางครั้ง ไอ พบได้บ่อย พบได้บ่อย และมีความรุนแรงมากกว่า อาจพบได้บางครั้ง เจ็บหน้าอก อาบพบได้แต่อาการไม่รุนแรง พบได้บ่อย ไม่ค่อยพบ(ยกเว้นเป็นโรคหอบหืด) อาการ ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ โรคภูมิแพ้ สาเหตุการเกิด เกิดจากไวรัส (Rhinoviruses เป็นสาเหตุหลักประมาณ 30-50%) เกิดจากไวรัส (influenza virus type A and B) เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น อากาศเย็น/ร้อน ละอองเกสร การดูและการรักษา -พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ -ใช้ยาบรรเทาอากาต่างๆ เช่น ยาแก้คัดจมูก หรือยาลดไข้ -มักดีขึ้นและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ -พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ -ใช้ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาลดไข้พาราเซตามอบ (แต่ไม่ควรใช้ยากลุ่ม NSAIDs กรณีสงสัยไข้เลือดออกด้วย) -หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และอาจต้องได้รับยาต้านไวรัสตลอดจนการรักษาให้ถูกต้อง -หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ เช่นหลีกเลี่ยงฝุ่นอากาศเย็น -ใช้ยาบรรเทาอาการเช่นยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก -หากรุนแรงควรพบแพทยืเพื่อพิจารณาใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก การป้องกัน -หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย -ใส่หน้ากากอนามัย -ไม่มีวัคซีนป้องกัน -หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย -ใส่หน้ากากอนามัย -ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ และในระหว่างที่มีอาการป่วยเป็นไข้หวัด ผู้ป่วยหรือผู้ดูแล (ในเด็กเล็ก) ควรจะติดตามอาการอย่างใกล้ชิด และก็ควรจะรีบไปพบหมอในทันทีถ้ามีลักษณะอาการดังต่อไปนี้ คนแก่ ไข้สูงเกินไปกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องกันเกิน 5 วันขึ้นไป กลับมาจับไข้ซ้ำหลังจากลักษณะของการมีไข้หายแล้ว หายใจหอบเหน็ดเหนื่อย รวมทั้งหายใจมีเสียงหวีด เจ็บคออย่างหนัก ปวดหัว หรือมีลักษณะอาการปวดบริเวณไซนัส เด็ก เป็นไข้สูงยิ่งกว่า 38 องศาเซลเซียส ในทารก-12 อาทิตย์ มีลักษณะไข้สูงต่อเนื่องกันมากยิ่งกว่า 2 วัน อาการต่างๆของหวัดรุนแรงมากยิ่งขึ้น หรือรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น มีลักษณะอาการปวดศีรษะ หรือไออย่างหนัก หายใจมีเสียงหวีด เด็กมีลักษณะอาการงอแงอย่างรุนแรง ง่วงมากมายเปลี่ยนไปจากปกติ ความอยากของกินน้อยลง ไม่ยอมรับประทานของกิน ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อกำเนิดหวัด คนที่มีปัจจัยเสี่ยงดังนี้ มักจับไข้หวัดได้ง่ายดายกว่าคนธรรมดา ตัวอย่างเช่น
กระบวนการรักษาโรคหวัด โดยทั่วไปแล้วคนเจ็บ (ผู้ใหญ่) สามารถวินิจฉัยโรคหวัดเองได้ จากอาการที่แสดง แต่ว่าหากคนไข้ไปพบแพทย์ แพทย์จะวินิจฉัยโรคหวัดได้จากอาการที่แสดง ประวัติการระบาดของโรค ฤดู และก็จากการตรวจร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น อาการไข้ มีน้ำมูก เยื่อจมูกบวมแล้วก็แดง คอแดงเล็กน้อย ส่วนในเด็กบางทีอาจพบทอนซิลโต แต่ว่าไม่แดงมาก และไม่มีหนอง แต่ว่าในผู้เจ็บป่วยที่มีอาการรุนแรง ได้แก่ ไข้สูง หมออาจมีการตรวจเลือดซีบีซี (CBC) เพื่อแยกว่าเป็นการติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสหรือติดเชื้อโรคแบคทีเรีย แล้วก็อาจมีการตรวจค้นอื่นๆเพิ่มอีกตามดุลพินิจของหมอ ดังเช่นว่า การวิเคราะห์เลือดดูค่าเกล็ดเลือดเพื่อแยกจากโรคไข้เลือดออก ฯลฯ ด้วยเหตุว่าไข้หวัดเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเชื้อไวรัส ก็เลยไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ เพียงแต่ให้การรักษาไปตามอาการเพียงแค่นั้น ซึ่งการปรับแก้อาการที่เกิดขึ้นในพื้นฐานหมอจะจ่ายยาที่เป็น ยาสามัญประจำบ้านเพื่อบรรเทาอาการก่อน ดังเช่นพาราเซตามอล (paracetamol) สำหรับลดไข้ คลอเฟนนิรามีน (chlorpheniramine) สำหรับลดน้ำมูก และจะแนะนำให้พักให้พอเพียง ดื่มน้ำอุ่นเพื่อละลายเสลด การกินน้ำมากๆรวมทั้งการเช็ดตัวจะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายได้ โดยธรรมดายาที่ใช้เมื่อเป็นหวัดจะเป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาตามอาการ ด้วยเหตุว่าไม่มีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสก่อโรคโดยตรง รวมทั้งเมื่ออาการและจากนั้นก็สามารถหยุดใช้ยาได้ ยาที่นิยมใช้ทั่วไปเมื่อเป็นหวัดมีดังนี้
ในกลุ่มของยาลดน้ำมูกนั้น สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 กลุ่ม เป็นยาแก้คัดจมูก ออกฤทธิ์โดยการยุบหลอดเลือด ทำให้อาการคัดจมูกต่ำลง แบ่งเป็น
ยาลดน้ำมูก ออกฤทธิ์โดยการหยุดยั้งผลของฮีสตามีน (histamine) ซึ่งมีผลทำให้การหลั่งน้ำมูกลดน้อยลง แม้กระนั้นจะได้ผลน้อยกับอาการคัดจมูก สามารถแบ่งย่อย เป็น 2 กลุ่มเป็น
ด้วยเหตุดังกล่าวก็เลยต้องหาสาเหตุของการไอ รวมทั้งปรับแต่งให้ตรงจุด ถ้าหากคนป่วยใช้ยาแก้ไอผิดกับสิ่งที่ทำให้เกิดอาการไอที่เป็นอยู่ อาทิเช่น ใช้ยากดการไอในกรณีที่การไอมีเหตุมาจากเสมหะ เว้นแต่เสมหะจะขัดขวางฟุตบาทหายใจแล้ว ร่างกายก็ยังไม่สามารถที่จะขับเสลดออกโดยการไอได้อีกด้วย
แต่ว่าการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่บ่อยนัก และไม่ครบตามจำนวนที่ระบุ นอกจากผู้ป่วยจะไม่หายจากอาการที่เป็นอยู่ ยังเป็นการผลักดันให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา แล้วก็อาจไม่มียาปฏิชีวนะสำหรับรักษาอาการของผู้ป่วยในอนาคต การติดต่อของโรคหวัด โรคหวัดเป็นโรคติดต่อในระบบฟุตบาทหายใจ โดยเชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสลดของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสลดที่คนป่วยไอหรือจามรด ด้านในระยะไม่เกิน 1 เมตร นอกจากนั้น เชื้อหวัดยังอาจติดต่อโดยการสัมผัส กล่าวคือ เชื้อหวัดอาจติดที่มือของคนเจ็บ สิ่งของ เครื่องใช้สอย ตัวอย่างเช่น ผ้าที่มีไว้เช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดตัว ถ้วยน้ำ จาน ชาม ของเด็กเล่น หนังสือ โทรศัพท์ หรือสภาพแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น ลูกบิดประตู โต๊ะ เก้าอี้ เมื่อคนปกติสัมผัสถูกมือของคนไข้ สิ่งของเครื่องใช้หรือสภาพแวดล้อมที่ด่างพร้อยเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคนคนนั้น รวมทั้งเมื่อเผลอใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคนคนนั้น จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นหวัดได้ ส่วนระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ผู้เจ็บป่วยรับเชื้อเข้าไปจนกว่าออกอาการ) : ประมาณ 1-3 วัน โดยเฉลี่ย และมักมีอาการรุนแรงที่สุดในตอน 2-3 ครั้งหน้าเริ่มมีลักษณะ (https://www.img.in.th/images/0adbc1636695f4dabed1d3a93bcd26fc.jpg) การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยหวัด ข้อเสนอการกระทำตัวของคนไข้มีดังนี้
การปกป้องตนเองจากโรคไข้หวัด รักษาสุขอนามัยเบื้องต้น เพื่อมีสุขภาพทางร่างกายแข็งแรง กินอาหารเป็นประโยชน์ห้าหมู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพื่อมีสุขภาพกายแข็งแรง กินน้ำสะอาดให้ได้วันละอย่างน้อย 6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม พักให้เพียงพอเป็นประจำ ไม่ไปในที่แออัด ยกตัวอย่างเช่น ห้างสรรพสินค้า ในตอนที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดรู้จักใช้หน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องไปในบริเวณที่มีคนดอกไม้ไฟวุ่นวายหรือไปโรงพยาบาล รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะตอนที่มีอากาศเปลี่ยนไม่สมควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเหลือเกิน โดยยิ่งไปกว่านั้นขณะที่มีอากาศเย็น อย่าใกล้หรือนอนรวมกับคนไข้ ถ้าจำเป็นที่จะต้องดูแลคนเจ็บอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (ดังเช่นว่า ผ้าสำหรับเช็ดหน้า ผ้าที่เอาไว้เช็ดตัว ถ้วยน้ำ โทรศัพท์ ของเล่น ฯลฯ) ร่วมกับผู้เจ็บป่วย แล้วก็ควรเลี่ยงการสัมผัสมือคนป่วย สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/รักษาโรคหวัด
ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาแคปซูล ยาเม็ด ที่มีผงฟ้าทะลายมิจฉาชีพแห้ง 250 มก. และก็ 500 มิลลิกรัม o ทุเลาลักษณะของการเจ็บคอ รับประทานวันละ 3 – 6 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน o บรรเทาอาการหวัด รับประทานวันละ 1.5 – 3 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก็ก่อนนอน
|