หัวข้อ: โรคหัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ เมษายน 21, 2018, 08:32:21 am (https://www.img.in.th/images/ce85b9c910d9d20a1e25d3af246093dc.jpg)
โรคหัด (Measles) โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้เป็นผื่นที่เกิดจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่พบมากในเด็กเล็ก แม้กระนั้นก็สามารถเจอได้ในทุกวัย ซึ่งโรคฝึกฝนนี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อระบบทางเท้าหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกนี้มีประวัติภูมิหลังดังนี้ โรคหัด หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ แปลว่า จุด (spots) ที่ชี้แจงอาการนำของโรคนี้ที่ผู้ป่วยจะมีอาการไข้และผื่น นอกจากนี้อาการสำคัญอื่นๆที่เป็นจุดแข็งของโรคหัด เช่น ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดมีชื่อเสียงมานานกว่า 2000 ปี พบหลักฐานการร่ายงานทีแรกโดยแพทย์แล้วก็นักปรัชญาชาวอิหร่านชื่อ Rhazed และใน คริสต์ศักราช1954 Panum แล้วก็ภาควิชา ได้รายงานการระบาดของโรคฝึกที่หมู่เกาะฟาโรห์และให้ข้อสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อโรคที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวราว 2 สัปดาห์ รวมทั้งข้างหลังติดโรคผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต โรคหัดถือได้ว่าเป็นโรคที่มีความหมายมากมายโรคหนึ่ง ด้วยเหตุว่าอาจจะส่งผลให้กำเนิดโรคแทรกส่งผลให้เสียชีวิตได้ และก็แม้กระนั้นในตอนนี้โรคนี้มีวัคซีนคุ้มครองป้องกันที่มีคุณภาพสูงแทบ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกฝนตั้งแต่ ปี พ.ศ.2527) โรคฝึกหัดเป็นโรคที่พบกำเนิดได้ตลอดทั้งปี แต่มีอุบัติการณ์สูงในตอนเดือนมกราคมถึงเดือน แล้วก็ช่องทางในการเกิดโรคในหญิงและเพศชายมีใกล้เคียงกัน จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีคนเสียชีวิตด้วยโรคฝึกจากทั่วทั้งโลก 134,200 ราย สำหรับสถานการณ์โรคฝึกในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยโรคฝึกฝนรวมทั้งสิ้น 5,207 คน รวมทั้ง 2,646 คน ในแต่ละปีเป็นลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นตอนๆอายุที่เจอคนไข้โรคนี้สูงที่สุด คิดเป็นปริมาณร้อยละ 37.03 แล้วก็ 25.85 ของแต่ละปี สาเหตุของโรคฝึก โรคหัดมีเหตุมาจากการต่อว่าดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร ห่อหุ้มโอบล้อมโดย envelope เป็น glycol-protien ที่ประกอบด้วยโปรตีนสำคัญ 3 ชนิด อย่างเช่น H protein ปฏิบัติภารกิจให้ผนังไวรัสติดตามกับผนังเซลล์ของมนุษย์ F protein มีความจำเป็นสำหรับในการแพร่ไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความจำเป็นเกี่ยวข้องกัน viral maturation ด้วยเหตุว่าเป็นเชื้อไวรัสที่มี envelope หุ้มก็เลยถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦ซ.) แสงไฟ สภาพการณ์ที่เป็นกรดและก็สารที่ละลายไขมันเป็นต้นว่าอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อกลางอากาศแล้วก็บนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงช่วงเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนเท่านั้น อาการโรคหัด คนไข้จะเริ่มจับไข้สูง 39◦เซลเซียส-40.5◦เซลเซียส ร่วมกับมีไอ น้ำมูก และก็ตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายอาจเจอตาไม่สู้แสง (photophobia) เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต ไม่อยากอาหารและท้องเสียร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะเกิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นและพบ Koplik spots เป็นลักษณะจำเพาะที่สำคัญ เห็นเป็นจุดขาวปนเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ ส่วนมากพบบริเวณกระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามข้างล่างซี่แรก (first molar) พบบ่อย 1 วันก่อนมีผื่นขึ้นและปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังนี้ คือ ไข้จะเบาๆสูงมากขึ้นกระทั่งสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก ข้างหลังหู ใบหน้าและไล่ลงมาที่คอ ทรวงอก แขน ท้อง จนมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกลุ่มรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้ดูชัดกว่าผื่นรอบๆช่วงล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการพบผื่นที่ฝ่ามือหรืออุ้งเท้าถึงปริมาณร้อยละ 25-50 แล้วก็บางทีอาจสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค เมื่อผื่นเกิดไล่มาถึงเท้าไข้จะน้อยลง อาการอื่นๆจะดียิ่งขึ้น ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันแล้วค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้ารวมทั้งเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งเป็นผลจากการมีเลือดออกในหลอดเลือดฝอยแล้วต่อจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆจำนวนมากมักพินิจไม่เจอเพราะว่าหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ บางทีอาจพบการดำเนินโรคที่ไม่สบายแบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกต่อมาอุณหภูมิกลับกลายปกติไม่มีไข้ราวๆ 1 วันแล้วจึงเริ่มจับไข้สูงอีกรอบและก็มีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะดำรงอยู่อีกราวๆ 2-3 คราวหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป กรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลายเป็นซ้ำใหม่ควรตรวจค้นภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกฝนที่มักพบมีดังนี้ ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัด เจอได้จำนวนร้อยละ 30 ของคนเจ็บโรคฝึกฝน พบมากในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีแล้วก็ผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีแล้วก็ผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 20 ปี เกิดได้หลายระบบของร่างกาย ปัจจัยจำนวนมากเกิดขึ้นจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายรวมทั้งผลของการกดภูมิคุ้มกันจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังต่อไปนี้
การวิเคราะห์ โรคหัดใช้การวินิจฉัยจากแนวทางซักประวัติความเป็นมารวมทั้งตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยคนป่วยจะเป็นไข้สูง น้ำมูก ไอ ตาแดง และพบผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การเจอ Koplik spots (จุดข้างในปากช่วงกระพุ้งแก้ม) จะเป็นหัวใจหลักที่ช่วยสำหรับเพื่อการวิเคราะห์ ในเรื่องที่อาการและอาการแสดงไม่แน่ชัดบางทีอาจพิจารณาส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการดังนี้เพิ่มเติมอีกเพื่อช่วยยืนยันการวิเคราะห์
วิธี ELISA IgM ใช้ตัวอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงแค่ครั้งเดียวตอน 4-30 คราวหลังเจอผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มล.ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกติ รอจนกระทั่งเลือดแข็ง ดูดเฉพาะ Serum (หามีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไม่มีเชื้อ ปิดจุกให้สนิทและจากนั้นจึงนำไปวินิจฉัยถัดไป
ปิดฉลาก ชื่อ-นามสกุล รวมทั้งวัน-เดือน-ปี ที่เก็บ วิธี PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บช่วง 1-5 วันแรกหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายภายในรอบๆ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วนำไปวินิจฉัยต่อไป การรักษา เหตุเพราะการต่อว่าดเชื้อไวรัส ฝึกหัดไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ ควรต้องให้การรักษาตามอาการ อาทิเช่น เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในเรื่องที่มีภาวะขาดน้ำหรือทานอาหารได้น้อย ให้ความชื้นแล้วก็ออกสิเจนในกรณีที่หอบหายใจเร็ว ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบพิจารณารักษาโดยใช้ยาต้านทานจุลชีวินที่สมควรเป็นต้น นอกเหนือจากนี้พบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายแล้วก็ความพิกลพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกได้และยังช่วยเสริมภูมิต้านทานโรคหัดได้อีกด้วย ด้วยเหตุนั้นแพทย์ก็เลยมักไตร่ตรองจะให้วิตามินเอแก่คนป่วยที่มีข้อบ่งชีดังต่อไปนี้
ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคฝึก
การติดต่อของโรคฝึก โรคหัดเป็นโรคติดต่อที่แพร่ขยายสู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสหัดจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายและเสมหะของคนเจ็บ ติดต่อไปยังคนอื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจายออกไปในระยะไกลรวมทั้งแขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนธรรมดามาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกช่องปาก (ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดเชื้อโรคฝึกฝนได้ หรือสัมผัสสารคัดข้างหลังของคนป่วยโดยตรง ซึ่งเชื้อบางทีอาจติดอยู่ที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆดังเช่น ถ้วยน้ำ จาน จานชาม ผ้าที่มีไว้สำหรับเช็ดหน้า ผ้าที่เอาไว้เช็ดตัว หนังสือ ของเด็กเล่น เมื่อคนธรรมดามาสัมผัสถูกมือผู้ป่วย หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่แปดเปื้อนเชื้อ เชื้อก็จะติดมากับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4 วันโดยช่วงที่เริ่มมีอาการไอและก็มีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีจำนวนไวรัสถูกขับออกมาเยอะที่สุด ซึ่งภายในช่วงระยะเวลา 7-14 คราวหน้าสัมผัสโรค เชื้อไวรัสหัดจะกระจายไปทั่วร่างกายกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดลักษณะของระบบฟุตบาทหายใจ ไข้และผื่นในผู้เจ็บป่วยรวมทั้งความเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคฝึกมีโอกาสมีอาการป่วยเป็นโรคหัดหากอยู่ใกล้ผู้ที่เป็นโรค การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคฝึกหัด
แต่ดังนี้ แนวทางที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่จะป้องกันโรคหัดได้เป็นฉีดวัคซีนป้องกัน เดี๋ยวนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดยาป้อง กันโรคฝึกหัด 2 ครั้ง ทีแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน และก็ครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองได้สามโรคเป็นโรคหัด โรคคางทูม แล้วก็โรคหัดเยอรมัน เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/ฝึก รวมทั้ง R=rubella/รูเบลลา/ โรคหัดเยอรมัน) ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนปกป้องโรคหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 จวบจนกระทั่งมีการจดทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศประเทศสหรัฐอเมริการเมื่อปี คริสต์ศักราช1963 อีกทั้งวัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) และก็วัคซีนจำพวกเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) หลังจากเริ่มใช้วัคซีนทั้ง 2 จำพวกได้เพียงแต่ 4 ปี วัคซีนป้องกันโรคหัดจำพวกเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดด้วยเหตุว่าพบว่าทำให้เกิด atypical measles ด้วยเหตุนั้นในช่วงต้นวัคซีนที่ใช้ก็เลยเป็น monovalent live attenuated measles vaccine ที่สร้างขึ้นมาจากเชื้อสายประเภท Edmonston ประเภท B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักและก็ chick embryo cell แม้กระนั้นพบปัญหาข้างเคียงที่รุนแรงเรื่องไข้ ผื่น จึงมีการปรับปรุงวัคซีนจำพวกเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์ Edmonston ชนิดอื่นๆด้วยกระบวนการผลิตชนิดเดียวกันแม้กระนั้นทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลกระทบก็เลยลดน้อยลง ถัดมาในปี ค.ศ.1971 มีการขึ้นทะเบียนวัคซีนรวมจำพวก trivalent live attenuated measles-mumps-rubella vaccine (MMR) รวมทั้งใช้อย่างมากมายจนกระทั่งปัจจุบันนี้สำหรับเมืองไทยเริ่มมีการบรรจุวัคซีนปกป้องโรคฝึกฝนรุ่งเช้าไปกลยุทธ์เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติหนแรกในปี พ.ศ.2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนและก็ในปี พุทธศักราช 2539 ก็เลยเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมเรียนปีที่ 1 จนตราบเท่าปี พ.ศ.2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดหรือวัคซีนรวมคุ้มครองปกป้องโรคหัด-คางทูม-โรคเหือด (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนรวมทั้งเปลี่ยนวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมเรียนปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัด – คางทูม – หัดเยอรมัน (MMR) เช่นเดียวกัน สมุนไพรที่ใช้ป้องกัน/รักษา/บรรเทาลักษณะโรคฝึกหัด ตามตำรายาไทยนั้นกล่าวว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาลักษณะโรคฝึกหัดมีดังนี้
ยิ่งกว่านั้นในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พุทธศักราช2556 ดังกำหนดไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษารวมทั้งบาเทาลักษณะโรคฝึกฝนได้ โดยในสมัยโบราณ ที่แท้การใช้ยาเขียวในโรคไข้เป็นผื่นในแผนไทย มิได้มีจุดมุ่งหมายสำหรับในการยั้งเชื้อไวรัส แต่อยากกระแทกพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมาเยอะที่สุด คนเจ็บจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน หมายคือไม่เกิดผื่นข้างใน โดยเหตุนี้จึงมีผู้คนจำนวนมากที่กินยาเขียวแล้วจะรู้สึกว่ามีผื่นขึ้นมากขึ้นจากเดิม แพทย์แผนไทยก็เลยเสนอแนะให้ใช้ทั้งยังวิธีรับประทานและก็ทา โดยการกินจะช่วยกระทุ้งพิษภายในให้ออกมาที่ผิวหนัง และการทาจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าหากจะเปรียบเทียบกับวิธีการหมอแผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปพอดียาเขียวบางทีอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิต้านทาน หรือต่อต้านออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่ไม่สบายออกผื่น ดังเช่น ฝึก อีสุกอีใส เพื่อกระแทกให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และหายได้เร็ว ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นองค์ประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างไปทางสีเขียว จึงทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว และใบไม้ที่ใช้นี้ส่วนมาก มีสรรพคุณ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางประเภทมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวโดยมากมีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น ซึ่งก็คือการที่เลือดมีพิษและก็ความร้อนสูงมากมายจนต้องระบายทางผิวหนัง สำเร็จให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม ยกตัวอย่างเช่นที่เจอในไข้เป็นผื่น ฝึกหัด อีสุกอีใส เป็นต้น เอกสารอ้างอิง
|