หัวข้อ: โรคต้อกระจก - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: ณเดช2499 ที่ เมษายน 21, 2018, 10:59:04 am (https://www.img.in.th/images/e4df9f000bd629ebcb2dd3c3dc53c960.jpg)
โรคต้อกระจก โรคต้อกระจก คืออะไร ก่อนจะทราบถึงความหมายของต้อกระจกนั้น พวกเราควรทำความรู้จักกับเลนส์ตาหรือที่เราเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า แก้วตา กันก่อน แก้วตาหรือเลนส์ตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่ข้างหลังม่านตา (มีลักษณะเหมือนเลนส์นูนทั่วไปอีกทั้งด้าน หน้าและข้างหลัง มีความครึ้มโดยประมาณ 5 ม.ม. เส้นผ่าศูนย์ กึ่งกลางราวๆ 9 มัธยมมัธยม มีหน้าที่ทำงานร่วมกับกระจกตาสำหรับเพื่อการหักเหแสงสว่างจากวัตถุให้ตกจุดโฟกัสที่จอประสาทตา ที่ก่อให้เกิดการมองมองเห็น นอกจากนี้แก้วตายังสามารถเปลี่ยนกำลังการเบี่ยงเบนได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถจุดโฟกัสภาพในระยะต่างๆได้ชัดขึ้น นั่นก็คือ ในคนปกติจะแลเห็นชัดทั้งยังไกลและก็ใกล้ ฉะนั้นธรรมชาติก็เลยสร้างแก้วตาให้อยู่ในที่ปลอดภัย โดยอยู่ในใจกลางของดวงตาเพื่อไม่ให้มีอันตรายอะไรก็ตามแม้กระนั้นแม้ว่าแก้วตาจะไม่ได้รับอันตรายอะไรก็แล้วแต่จากภายนอก แต่ว่าก็ไม่สามารถเลี่ยงความเสื่อมภาวะจากอายุที่เพิ่มขึ้นหรือการเช็ดกเหตุที่จะรีบนำมาซึ่งการก่อให้เกิดความเสื่อมของแก้วตาได้ ซึ่งเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคที่เกี่ยวกับเลนส์แก้วตาต่างๆได้ เป็นต้นว่า ต้อกระจก ต้อหิน หน้าจอประสาทตาเสื่อม อื่นๆอีกมากมาย สำหรับต้อกระจกนี้ ประการแรกจะต้องขอให้คำนิยาม หรือความหมายของคำว่า “ต้อกระจก” ซะก่อน ต้อกระจกซึ่งก็คือภาวะที่เลนส์ภายในดวงตาเกิดภาวะขาวขุ่นขึ้นเพราะเหตุว่าสาเหตุอะไรก็ได้ ตามธรรมดาแล้วเลนส์ภายในลูกตามีภาวการณ์ใสโปร่งแสงคล้ายกระจกใส มีหน้าที่ปรับแสงสว่างที่ผ่านเข้าตา ทำให้พวกเราสามารถเห็นภาพวัตถุต่างๆได้ชัดเจน รวมทั้งเมื่อกำเนิด “ต้อกระจก” ก็จะทำให้ตัวเลนส์ตามีลักษณะขาวขุ่นขึ้น ทึบแสง ไม่ยอมให้แสงสว่างผ่านไปสู่ลูกตาไปตกกระทบที่จอประสาทรับภาพ (retina) ได้ชัดเจน ผู้นั้นจึงดูอะไรไม่ชัดเจน ตาฝ้า มัว แล้วสุดท้ายหากขาวขุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ จะมืดและ ดูอะไรมองไม่เห็นจากตาข้างนั้น ต้อกระจก เป็นโรคที่มักพบสำหรับผู้สูงวัย ถ้าเกิดปลดปล่อยไว้ไม่ผ่าตัดก็จะก่อให้ตาบอด ถือว่าเป็นปัจจัยอันดับต้นๆของภาวการณ์สายตาพิการของคนแก่ ที่มาของโรคต้อกระจก โดยส่วนมาก (ราวๆจำนวนร้อยละ 80) เกิดจากภาวการณ์เสื่อมตามวัย คนที่มีอายุมากยิ่งกว่า 60 ปีจะเป็นต้อกระจกดูเหมือนจะทุกราย แม้กระนั้นบางทีอาจเป็นมากน้อยไม่เหมือนกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในผู้สูงวัย (senile cataract) ส่วนน้อย (ราวๆปริมาณร้อยละ 20) อาจเกิดขึ้นเนื่องจากต้นสายปลายเหตุอื่นๆดังเช่น ต้อกระจกโดยกำเนิด (Congenital Cataract) เด็กทารกสามารถเป็นต้อกระจกได้ตั้งแต่ตอนแรกเกิด โดยบางทีอาจกำเนิดได้จากกรรมพันธุ์ การติดเชื้อ การเป็นอันตรายหรือมีความก้าวหน้าระหว่างอยู่ในครรภ์ไม่ดี เด็กแรกเกิดที่ค้นพบว่าเป็นต้อกระจกแต่กำเนิด ตัวอย่างเช่น ภาวการณ์กาแล็กโทซีเมีย โรคหัดเยอรมัน หรือโรคเท้าแสนเงื่อนประเภทที่ 2 ก็บางทีอาจส่งผลให้เกิดการเกิดต้อกระจกชนิดนี้ เด็กเล็กบางบุคคลบางทีอาจแสดงอาการในตอนหลัง โดยมักเป็นทั้งสองข้าง บางทีต้อกระจกนี้เล็กมากกระทั่งไม่ส่งผลต่อการมองเห็น แม้กระนั้นเมื่อพบว่าทำให้เกิดผลเสียต่อการมองมองเห็นก็เลยจะผ่าออก ต้อกระจกทุติยภูมิ (Secondary Cataract) การผ่าตัดรักษาโรคตาชนิดอื่นดังเช่นว่าต้อหิน การป่วยเป็นม่านตาอักเสบ หรือตาอักเสบ อาจเป็นสาเหตุให้กำเนิดโรคต้อกระจกตามมาได้ นอกนั้น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคความดันโลหิตสูง การได้รับยาบางชนิด ได้แก่ สเตียรอยด์ ยาขับฉี่บางตัว ก็นับว่าเป็นกรุ๊ปเสี่ยงเป็นโรคต้อกระจกได้ง่ายเช่นกัน เป็นผลมาจากภาวการณ์แรงชนที่ดวงตา ก็ทำให้เลนส์ตาขวาขุ่นได้ โดยเฉพาเมื่อโดนสิ่งมีคมทิ่มทะลุเข้าตา เข้าไปโดนเลนส์ตา เกิดภาวะต้อกระจกได้ทันทีด้านใน 24 ชั่วโมง หรือหากโดนวัตถุไม่มีคมกระแทก ก็อาจจะเกิดต้อกระจกตามมาคราวหน้าได้ หากความแรงนั้นมากพอให้เยื่อเลนส์ตาแตกสามัคคี มีสาเหตุจากโดนรังสีเอกซเรย์ รอบๆดวงตาอยู่เสมอๆเป็นต้นว่า พวกที่มีมะเร็งบริเวณเบ้าตา รวมทั้งรักษาด้วยการใช้รังสี ซึ่งรังสีนี้อาจลึกลงไปโดนเลนส์ตาทำให้ขุ่นได้ และก็กำเนิดต้อกระจกตามมา เว้นแต่ต้นเหตุต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอิทธิพลมาจากอย่างอื่นได้ อย่างเช่น อาหารพวกที่มีสภาพทุโภชนา หรือพวกอาหารการกินไม่ถูกสุขลักษณะ ขาดโปรตีน และก็วิตามินทำให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าธรรมดา ลักษณะโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกนั้นยากที่จะดูได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเริ่ม เพราะจะต้องใช้เวลานานกว่าอาการของต้อกระจกจะเยอะขึ้นจนถึงกระทบต่อการมองเห็น โดยผู้ป่วยมักมีลักษณะดังต่อไปนี้
แนวทางการรักษาโรคต้อกระจก หมอจะวินิจฉัยพื้นฐานด้วยการตรวจพบแก้วตา (เลนส์ตา) ขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่องตาผู้ป่วยจะรู้สึกตาฟาง การใช้งานเครื่องส่องตา (ophthalmoscope) ตรวจตาจะไม่พบปฏิกิริยาสะท้อนสีแดง (red reflex) ถ้าเกิดไม่แน่ใจ หมอจำเป็นต้องใช้วัสดุพิเศษตรวจอย่างละเอียดลออ บางทีอาจจำเป็นที่จะต้องตรวจวัดความดันดวงตา (เพื่อแยกออกมาจากโรคต้อหินที่จะพบความดันลูกตาสูงกว่าธรรมดา) รวมทั้งตรวจพิเศษอื่นๆตัวอย่างเช่น
เนื่องมาจากโรคต้อกระจกไม่มียาที่ใช้กิน หรือหยอดใดๆที่ช่วยแก้อาการของต้อกระจกได้ ระยะแรกๆของโรคต้อกระจกสามารถทุเลาได้ด้วยการตัดแว่นสายตาใหม่ สวมแว่นดำกันแสงสะท้อน หรือการใช้เลนส์ขยายกระทั่งต้อกระจกจะเริ่มกระทบต่อวิธีการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน จึงจะทำการผ่าตัด ในอดีตกาลมักรอคอยให้ต้อกระจกสุกจึงทำผ่าตัดแปลงเลนส์ แม้กระนั้นเดี๋ยวนี้มักนิยมรักษาโดยการสลายต้อกระจกแต่เนิ่นๆคือเมื่อปัญหาตามัวนั้นทำให้เป็นอุปสรรคกับการดำนงชีพของผู้เจ็บป่วยก็ควรจะรับการดูแลและรักษา เพราะเหตุว่าการรอคอยต้อกระจกสุก จะทำให้การดูแลรักษาด้วยการสลายต้อทำเป็นยาก รวมทั้งยังอาจส่งผลให้กำเนิดโรคตาอื่นสอดแทรก ได้แก่ ต้อหิน ซึ่งอาจก่อให้ก่อให้เกิดอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆได้ ในขณะนี้การรักษาต้อกระจกมีเพียงแค่แนวทางเดียวเป็นการผ่าตัดเอาเลนส์ตาที่ขุ่นออกรวมทั้งใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ในปัจจุบันการผ่าตัดต้อกระจกมีความปลอดภัยสูงใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน และไม่ต้องนอนโรงพยาบาลหลังผ่าตัด วิธีการผ่าตัดที่นิยมในตอนนี้มี 3 วิธี
สาเหตุที่นำไปสู่โรคต้อกระจก
การติดต่อของโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากเลนส์ตาหรือแก้วตา ย่อยสลายจากนานาประการต้นสายปลายเหตุทำให้มีลักษณะขุ่นขาวทึบแสงเป็นผลให้แสงสว่างผ่านเข้าไปสู่ลูกตาได้น้อย จึงนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการมองเห็นภาพพร่ามัวมากเพิ่มขึ้นจนไม่เห็นในที่สุด ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ได้มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร การกระทำตนเมื่อเป็นโรคต้อกระจก
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคต้อกระจก จากการเล่าเรียนค้นคว้าข้อมูลงานศึกษาค้นคว้าและการวิจัยพบว่า สมุนไพรไทยหลายประเภทสามารถคุ้มครองปกป้องโรคต้อกระจกได้ โดยเฉพาะในสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ อย่างเช่น ขมิ้นชัน และฟักข้าว โดยในขมิ้นชัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญเป็นเคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid) และก็อุดมไปด้วยวิตามินและก็ธาตุหลายประเภท ดังเช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก รวมทั้งเกลือแร่ต่างๆรวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรตและก็โปรตีน ฯลฯ เพราะฉะนั้น ขมิ้นชันก็เลยมีสรรพคุณในการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย รวมทั้งสามารถรักษาอาการและก็โรคต่างๆได้หลายแบบ ส่วนฟักข้าวนั้น มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสำคัญเป็นไลโคไต่ (lycopene) โดยในเยื่อหุ้มเมล็ดของฟักข้าวมีไลวัวพีนสูงขึ้นมากยิ่งกว่ามะเขือเทศ 12 เท่า ที่สามารถช่วยสำหรับเพื่อการบำรุงรวมทั้งรักษาสายตา ปกป้องโรคเกี่ยวกับดวงตา โรคต้อกระจก แล้วก็ประสาทตาเสื่อม และตาบอดเวลากลางคืนได้ อีกทั้ง ยังมีงานค้นคว้าวิจัยพบว่า ไลโคปีนและก็เคอร์คิวมินอยด์ ยังช่วยป้องกันต้อกระจกที่เกิดขึ้นมาจากเบาหวานได้อีกด้วยนอกจากนี้ยังมีสมุนไพรอีกหลากหลายประเภทซึ่งสามารถป้องกันโรคต้อกระจกได้ ยกตัวอย่างเช่น มะขามป้อม มะขามป้อมจัดคือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งจากการศึกษาเล่าเรียนพบว่า วิตามินซีมีหน้าที่สำหรับเพื่อการคุ้มครองป้องกันการเกิดต้อกระจก โดยทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แล้วก็กรองรังสียูวีให้เลนส์ตา เว้นแต่มะขามป้อมแล้ว ยังส่งผลไม้อื่นๆที่มีวิตามินซีสูง อาทิเช่น ฝรั่ง มะปราง มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า เป็นต้น นอกเหนือจากสมุนไพรพนาลัยแล้ว สมุนไพรต่างถิ่นที่มีการคุณประโยชน์บำรุงและก็คุ้มครองโรคเกี่ยวกับตาได้อย่างดีเยี่ยม อย่างเช่น Ginseng หรือโสม เป็นรากของ Panax ginseng มี สารสำคัญคือ ginsennosides ซึ่งเป็น steroidal saponin มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายแบบ อย่างเช่น antiapoptotic, anti-inflammatory, antioxidant จากการทดลองทางสถานพยาบาลในคนป่วยที่เป็นต้อหิน พบว่า โสมแดงประเทศเกาหลีสามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังจอตา จึงน่าจะเป็นคุณประโยชน์ในลักษณะการคุ้มครองโรคต้อหิน นอกนั้นสาร Rb1 และ Rg3 ยังมีฤทธิ์ยับยั้ง TNF-alpha ก็เลยน่าจะเป็นคุณประโยชน์สำหรับเพื่อการคุ้มครองโรคหน้าจอประสาทตาเสื่อมด้วย เพราะการอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคนี้ การทดสอบในหนูแสดงว่าโสมสามารถลดการเสื่อมของเรตินาในหนูที่ถูกรั้งนำให้เป็นเบาหวานได้ ลดผลที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำหนูให้เป็นต้อกระจกด้วย selenite ได้ เพราะฉะนั้นโสมจึงเป็นสมุนไพรที่น่าดึงดูดสำหรับการปกป้องโรคตาทั้งยัง 4หมายถึงโรคต้อหิน ต้อกระจก หน้าจอประสาทตาเสื่อม และภาวะเบาหวานขึ้นจอตา Gingko Biloba Extract (GBE) เป็นสารสกัดจากใบของต้นแป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba) ในใบมีสารสำคัญสองกลุ่มคือ เฟลโวนอยด์รวมทั้งเทอร์พีนอยด์ GBE เป็นอาหารเสริมที่นิยมสูงที่สุดในยุโรปรวมทั้งอเมริกามีฤทธิ์ปกป้องการทำลายจากอนุมูลอิสระ และคุ้มครอง lipid peroxidation จากการทดลองพบว่า GBE สามารถป้องกันการเสื่อมของ mitochondria คุ้มครองปกป้องการเสื่อมของ optic nerve ก็เลยสามารถป้องกันตาบอดในคนเจ็บโรคต้อหิน และ คนป่วยเรตินาเสื่อมได้ แล้วก็สามารถลดการหลุดของเรตินา (retinal detachment) ได้ GBE ก็เลยมีประโยชน์ในกรณีคุ้มครองแล้วก็รักษาโรคต้อหินรวมทั้งโรคที่เกี่ยวเนื่องกับจอตา Danshen ชื่อสามัญเป็น Asian Red Sage หรือตังเซียม หรือตานเซิน (Salvia miltiorrhiza) ส่วนที่ใช้เป็นราก ในตำรายาใช้เป็นยากระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ใช้รักษาฝี สารสำคัญคือ salvianoic acid B เป็นสารพอลีฟีนอลิกละลายน้ำแล้วก็เป็น antioxidant ที่มีฤทธิ์แรงและก็ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบในเป็นเบาหวานจะกำเนิดอาการอักเสบและก็หนาขึ้นของผนังเส้นเลือดฝอยทำให้ อนุมูลอิสระไม่สามารถที่จะถูกกำจัดออกไปได้ก็เลยไปทำลายเซลล์ประสาทตา เมื่อทดลองฉีดตังเซียมเข้าไปที่เนื้อเยื่อเรตินาที่ขาดออกซิเจนในหนูที่เป็นเบาหวานพบว่าสามารถคุ้มครองปกป้องการสูญเสียการมองเห็นได้ การทดสอบทางสถานพยาบาลในผู้ป่วยโรคต้อหินพบว่า ตังเซียมสามารถคงสภาพลานสายตา (visual field) ในผู้เจ็บป่วยระยะกลางและก็ระยะปลายได้ โดยเหตุนั้น ตังเซียมก็เลยมีสาระกับผู้เจ็บป่วยโรคตาที่เกี่ยวพันกับ oxidative stress ดังเช่น หน้าจอประสาทตาเสื่อม ภาวการณ์เบาหวานขึ้นจอตา รวมทั้งต้อกระจก รวมทั้งมีรายงานการศึกษาเรียนรู้วิจัยของ ดร.พอล จาคส์ (Paul Jacques) ผู้ตัดสินเกษตรอเมริกาพบว่า คนอเมริกันที่รับประทานผลไม้และก็รับประทานผักเป็นประจำมีโอกาสเกิดต้อกระจกน้อยกว่าผู้ไม่บริโภคผักรวมทั้งผลไม้ถึง 4 เท่าครึ่ง และผู้ที่ไม่รับประทานผักและผลไม้เลยจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถึง 6 เท่า ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าคนที่มีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำ จะเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถึง 11 เท่า ส่วนผู้ ที่มีระดับสารแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำจะมีการเสี่ยงสูงมากขึ้นไปถึง 7 เท่า เอกสารอ้างอิง
|