หัวข้อ: โรคไส้ติ่งอักเสบ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ เมษายน 21, 2018, 04:39:34 pm (https://www.img.in.th/images/700443a20ab14aa66962d4229755bee5.jpg)
โรคไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) โรคไส้ติ่งอักเสบเป็นอย่างไร ไส้ติ่ง (Vermiform appendix) เป็นส่วนขยายของลำไส้ที่ยื่นออกมาจากกระพุ้งไส้ใหญ่ (Cecum) ไส้ติ่งมีรูปร่างเหมือนถุงยาวๆขนาดเท่านิ้วก้อย ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ อยู่ตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวา โดยมีลักษณะเป็นถุงแคบและก็ยาว มีขนาดกว้างเพียงแค่ 5-8 มม. และมีความยาวหรือก้นถุงลึกโดยเฉลี่ย 8-10 เซนติเมตร (ในผู้ใหญ่) ข้างในมีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ฝาผนังด้านในของไส้ติ่งมีเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลืองกระจัดกระจายอยู่ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเกิดการอักเสบได้ง่าย โดยเยื่อนี้จะมีการเพิ่มปริมาณมากช่วงวัยรุ่น จึงพบไส้ติ่งอักเสบเกิดได้หลายครั้งในวัย รุ่น ไส้ติ่งนับว่าเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ที่ฝ่อตัวลงและไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการย่อยแล้วก็ดูดซึมอาหาร เพราะเหตุว่าเป็นท่อขนาดเล็กปลายตัน เมื่อเกิดการอักเสบก็เลยทำให้เนื้อผนังไส้ติ่งเน่าตายและก็เป็นรูทะลุในเวลาอันเร็วได้ ไส้ติ่งอักเสบเป็น อาการบวมและติดโรคของไส้ติ่งนับเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและก็อันตราย ซึ่งควรต้องได้รับการผ่าตัดอย่างรีบ ด่วน เพราะว่าถ้าหากทิ้งไว้นาน ไส้ติ่งที่อักเสบมักแตกกระจายเชื้อโรคสู่ช่องท้อง และบางทีอาจเป็นสา เหตุรุนแรงจนถึงติดเชื้อโรคในกระแสเลือดจนกระทั่งขั้นเสียชีวิตได้ โดยการตายส่วนใหญ่ของโรคไส้ติ่งอักเสบมีเหตุที่เกิดจากภาวการณ์เยื่อบุช่องท้องอักเสบแล้วก็ภาวการณ์ช็อค โรคไส้ติ่งอักเสบได้รับการอธิบายเป็นครั้งแรกโดย Reginald Fitz ในปี พ.ศ. 2429 ปัจจุบันนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเลิศในต้นเหตุของลักษณะของการปวดท้องร้ายแรงรุนแรงที่พบได้ทั่วไปที่สุดทั่วทั้งโลกแล้วก็ โรคไส้ติ่งอักเสบยังพบเป็นสาเหตุลำดับแรกๆของโรคเจ็บท้อง ที่จะต้องรักษาด้วยแนวทางผ่าตัดเร่งด่วน หลายครั้งที่พบว่าผู้เจ็บป่วยปล่อยให้มีลักษณะอาการเจ็บท้องนานยาวนานหลายวันและก็หลังจากนั้นจึงค่อยมาโรงหมอ ซึ่งชอบพบว่าเป็นถึงกับขนาดไส้ติ่งแตกแล้ว ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กอายุ 2 ขวบไปจนกระทั่งผู้สูงวัย หรือแม้กระทั่งหญิงตั้งท้อง แม้กระนั้นจะพบมากในช่วงอายุ 10-30 ปี (เจอได้น้อยในคนชรา เนื่องจากว่าไส้ติ่งตีบแฟบมีเนื้อเยื่อหลงเหลือน้อย และก็ในเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี เพราะโคนไส้ติ่งยังออกจะกว้าง) ในหญิงและก็ผู้ชายได้โอกาสเป็นโรคนี้ได้เท่าๆกัน แล้วก็มีการคาดทำนองว่าในตลอดชีวิตของมนุษย์จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ราว 7% ในปีๆหนึ่งจะมีคนเจ็บเป็นโรคนี้ราวๆ 1 ใน 1,000 คน ที่มาของโรคไส้ติ่งอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ มีสาเหตุมาจากมีภาวการณ์อุดกั้นของรูไส้ติ่ง ส่วนการอุดกันนั้นส่วนหนึ่งเป็นการเกิดขึ้นเองโดยไม่รู้มูลเหตุแจ่มกระจ่าง แต่ส่วนใดส่วนหนึ่งมีเหตุมาจากมีเศษอุจจาระแข็งๆเรียกว่า "นิ่วอุจจาระ" (fecalith) ชิ้นเล็กๆตกลงไปอุดกันอยู่ข้างในรูของไส้ติ่ง แล้วทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูไส้ติ่งจำนวนน้อยมีการก้าวหน้าแพร่พันธุ์และก็รุกล้ำเข้าไปในผนังไส้ติ่ง จนถึงเกิดการอักเสบตามมา ถ้าหากปลดปล่อยไว้เพียงแต่ไม่กี่วัน ฝาผนังไส้ติ่งก็เกิดการเน่าตายรวมทั้งแตกทะลุได้ รวมทั้งต้นเหตุที่เจอได้รองลงมาคือ มีสาเหตุมาจากเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลือง (Lymphoid tissue) ที่ผนังไส้ติ่งที่ครึ้มตัวขึ้นตามการอักเสบต่างๆที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ยิ่งกว่านั้นอาจเป็นเพราะเนื่องจากสิ่งเจือปน (ดังเช่น เมล็ดผลไม้), หนอนพยาธิ (ที่สำคัญเป็น พยาธิไส้เดือน พยาธิด้าย พยาธิตืดหมู) หรือเนื้องอก หรือบางคราวก็อาจเกิดขึ้นจากการติดเชื้อที่ระบบฟุตบาทหายใจส่วนบน ที่ทำให้ต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย รวมถึงต่อมน้ำเหลืองในไส้ติ่งเกิดการปฏิกิริยาสนองตอบด้วยการขยายตัวขึ้นจนไปขวางไส้ติ่ง และทำให้ไส้ติ่งที่อาจมีเชื้อโรคอาศัยอยู่กำเนิดอาการอักเสบท้ายที่สุด ในผู้ป่วยบางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (Cytomegalovirus) ซึ่งมักจะพบได้ในคนเจ็บเอดส์ และก็บางรายบางทีอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบโดยที่แพทย์ไม่รู้จักต้นเหตุเลยก็ได้ อาการของโรคไส้ติ่งอักเสบ อาการสำคัญของโรคไส้ติ่งอักเสบนั้นคือ ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการเจ็บท้องที่มีลักษณะสม่ำเสมอแล้วก็ปวดแรงขึ้นนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าเกิดไม่ได้รับการดูแลและรักษาก็มักจะปวดอยู่นานนับเป็นเวลาหลายวัน กระทั่งผู้ป่วยทนปวดไม่ไหวจำต้องพาส่งโรงพยาบาล ซึ่งลักษณะของไส้ติ่งอักเสบนั้นบางทีอาจแบ่งได้สองชนิด เป็นชนิดไม่อ้อมค้อมรวมทั้งประเภทไม่ขวานผ่าซากดังต่อไปนี้ ชนิดตรงไปตรงมาเริ่มแรกอาจปวดแน่นตรงลิ้นปี่เหมือนโรคกระเพาะ บางบุคคลอาจปวดบิดเป็นช่วงๆรอบๆสะดือ คล้ายลักษณะของการปวดแบบท้องเสีย อาจเข้าส้วมบ่อย แต่ว่าถ่ายไม่ออก (แม้กระนั้นบางบุคคลอาจมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือ ถ่ายเหลวร่วมด้วย)ต่อมาจะมีลักษณะอ้วก อาเจียน ไม่อยากกินอาหารร่วมด้วย ลักษณะของการปวดท้องมักจะไม่ดีขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าจะกินยาแก้ปวดใดๆก็ตาม ถัดมาอีก 3-4 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวา มีลักษณะปวดเสียดตลอดระยะเวลา รวมทั้งจะเจ็บเยอะขึ้นเรื่อยๆเมื่อมีการขยับเขยื้อนตัว หรือเวลาเดินหรือไอจาม คนเจ็บจะนอนนิ่งๆถ้าเป็นมากคนไข้จะนอนงอขา ตะแคงไปข้างหนึ่ง หรือเดินตัวงอ เพื่อรู้สึกสบายขึ้น เมื่อถึงขั้นที่มีอาการอักเสบของไส้ติ่งชัดแจ้ง มีวิธีตรวจอย่างง่ายๆคือ ให้ผู้เจ็บป่วยนอนหงายแล้วใช้มือกดลงลึกๆหรือใช้กำปั้นตีเบาๆตรงรอบๆไส้ติ่ง (ท้องน้อยข้างขวา)คนป่วยจะรู้สึกเจ็บมากมาย (เรียกว่า อาการกดเจ็บ) คนป่วยอาจมีไข้ต่ำๆ(อุณหภูมิ 37.7-38.3 องศาเซลเซียส) ส่วนประเภทไม่ขวานผ่าซากนั้นอาจเริ่มจากมีลักษณะปวดเริ่มที่หน้าท้องข้างล่างขวาตั้งแต่ต้น ท้องเดิน และก็มีการดำเนินโรคที่ช้านานค่อยๆเป็นค่อยๆไปกว่าชนิดไม่อ้อมค้อม ถ้าหากไส้ติ่งที่อักเสบสัมผัสกับกระเพาะปัสสาวะอาจจะทำให้มีลักษณะฉี่บ่อย ถ้าไส้ติ่งที่อักเสบอยู่ข้างหลังลำไส้เล็กช่วงท้ายอาจมีอาการอ้วกรุนแรงได้ บางรายอาจรู้สึกเจ็บปวดเบ่ง (https://www.img.in.th/images/4b66a91d90c7f7d37c24ee8660945318.jpg) ส่วนผู้ป่วยในกลุ่มที่เป็นเด็ก หรือสตรีมีท้อง อาจมีอาการบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนกับคนโดยทั่วไปทั่วไป ดังนี้
ผู้เจ็บป่วยโรคไส้ติ่งอักเสบแม้ไม่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดด้านใน 24-36 ชั่วโมงข้างหลังมีการอักเสบ ไส้ติ่งจะขาดเลือดเปลี่ยนเป็นเนื้อเน่าและตาย ในที่สุดผนังของไส้ติ่งที่เปื่อยยุ่ยจะแตกทะลุ หนองแล้วก็สิ่งสกปรกข้างในลำไส้จะไหลออกมาในท้อง ทำให้แปลงเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) แล้วก็ถ้าหากเชื้อแบคทีเรียขยายเข้าสู่กระแสเลือดก็จะเกิดการติดเชื้อโรคในกระแสโลหิต มีอันตรายจนกระทั่งขั้นเสียชีวิตได้ ขั้นตอนการรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคที่มีปัญหาสำหรับการวิเคราะห์ให้ที่ถูกค่อนข้างมาก คนป่วยบางรายได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ แม้กระนั้นเมื่อผ่าตัดเข้าไปก็พบว่าไส้ติ่งไม่มีการอักเสบ คนป่วยบางรายแม้ว่าจะไปพบแพทย์แต่ว่าก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอื่น จนกว่าไส้ติ่งแตกแล้วจึงได้รับการดูแลและรักษาวินิจฉัยที่ถูก เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ขวบดูเหมือนจะทุกรายชอบวินิจฉัยโรคนี้ได้ภายหลังจากการแตกของไส้ติ่งแล้ว ในเด็กเล็กรวมทั้งคนเจ็บเฒ่าพบว่าอาจกำเนิดปัญหารุนแรง ถ้าเกิดได้รับการวินิจฉัยแล้วก็รักษาโรคล่าช้าเนื่องจากว่ามีภูมิคุ้มกันต่ำ การวินิจฉัยโรคไส้ติ่งอักเสบ การวินิจฉัยโรคในคนเจ็บส่วนมากอาศัยลักษณะทางคลินิก (clinical menifestation) คืออาการแล้วก็การตรวจพบเป็นหลัก ส่วนการตรวจทางห้องปฎิบัติการและก็การสืบค้นทางรังสีวิทยา (radiologic investigation) หรือการตรวจเพิ่มเติมอีกอื่นๆมีความสำคัญน้อย เป็นประโยชน์เฉพาะในคนป่วยบางรายที่ลักษณะทางคลินิกไม่กระจ่างแค่นั้นโดยมีวิธีการวิเคราะห์ดังนี้
- อ้วก อาเจียน อาการนี้เจอได้ในผู้เจ็บป่วยดูเหมือนจะทุกราย - ไข้ ชอบกำเนิดภายหลังเริ่มอาการปวดท้องแล้วระยะหนึ่ง - เบื่ออาหาร - ท้องเดิน เจออาการในผู้เจ็บป่วยบางราย ชอบกำเนิดหลังจากไส้ติ่งแตกทะลุ หรือ ชี้แจง ได้จากไส้ติ่งอักเสบที่อยู่ตำแหน่งใกล้กับลำไส้ใหญ่ส่วน sigmoid หรือ rectum
- Rovsing sign - Obturator sign - Psoas sign
ไส้ติ่งอักเสบสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเพียงแค่นั้น เพราะจะช่วยรักษาอาการรวมทั้งช่วยกำจัดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไส้ติ่งแตก โดยการผ่าตัดที่นิยมใช้ในขณะนี้คือการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) เนื่องจากเป็นการผ่าตัดเล็กสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ทันที เหมาะกับกรณีไส้ติ่งที่อักเสบยังอยู่ในระยะไม่ร้ายแรงนัก แม้รุนแรงถึงขั้นไส้ติ่งแตก ก็จะต้องใช้การผ่าตัดแบบเปิด (Open Surgery) ซึ่งเป็นผ่าตัดแบบมาตรฐาน เพราะว่านอกเหนือจากจะต้องนำไส้ติ่งที่แตกออกแล้ว ยังจะต้องชำระล้างข้างในช่องท้อง รวมทั้งใส่ท่อเพื่อระบายหนองจากฝีที่เกิดขึ้นอีกด้วย โดยแพทย์จะไตร่ตรองผ่าตัดรักษาดังต่อไปนี้
กลุ่มอาการที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไส้ติ่งอักเสบ มีลักษณะเจ็บท้องที่มีลักษณะไม่เหมือนลักษณะของการปวดโรคกระเพาะ ท้องร่วง หรือปวดประจำเดือน ก็ให้สงสัยว่าอาจเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ ควรรีบไปพบแพทย์ หากมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
การติดต่อของโรคไส้ติ่งอักเสบ โรคไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการอุดตันของรูไส้ติ่ง จากสิ่งเจือปนต่างๆทำให้ไส้ติ่งเกิดการอักเสบติดเชื้อรวมทั้งแตกท้ายที่สุด ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้เจ็บป่วยแต่ละคน และไม่ได้เป็นโรคติดต่อที่แพร่ให้คนข้างเคียงแต่อย่างใด การกระทำตนเมื่อเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ เนื่องจากว่าโรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคเร่งด่วน ต้องไปพบแพทย์ในทันที ที่ห้องรีบด่วนของโรงหมอเพื่อกระทำผ่าตัดและไม่ควรจะกินยาระบายหรือสวนอุจจาระ เมื่อมีลักษณะท้องผูกร่วมด้วย เนื่องจากว่าอาจส่งผลให้ไส้ติ่งอักเสบนั้นแตกเร็วขึ้น
o เมื่อมีลักษณะของไส้ติ่งอักเสบ ก่อนไปพบแพทย์คนเจ็บจะต้องงดเว้นของกินและน้ำดื่มไว้ด้วยเพื่อเตรียมการสำหรับการผ่าตัดรีบด่วน o ในเรื่องที่มีลักษณะอาการเจ็บท้องแต่ว่าผู้เจ็บป่วยยังไม่รู้ปัจจัย ห้ามรับประทานยาพารา แต่ว่าควรจะรีบไปพบหมอเพื่อตรวจวินิจฉัยก่อน ด้วยเหตุว่ายาแก้ปวดจะไปบดบังลักษณะของการปวดทำให้แพทย์แยกโรคได้ตรากตรำ o งดเว้นการใช้ครีมแล้วก็เครื่องแต่งหน้าทุกชนิด รวมทั้งทำร่างกายให้สะอาด อาบน้ำ สระผม ตัดเล็บ เพื่อให้หมอสังเกตอาการเปลี่ยนไปจากปกติจากการขาดออกสิเจนได้
การปกป้องตนเองจากโรคไส้ติ่งอักเสบ ในขณะนี้ยังไม่หนการศึกษาและทำการค้นพบวิธีป้องกันอาการไส้ติ่งอักเสบ เนื่องจากว่าไส้ติ่งอักเสบเป็นอาการฉับพลันที่ไม่สามารถหาต้นเหตุที่กระจ่างแจ้งได้ แต่มีข้อคิดเห็นว่า สามัญชนที่นิยมกินอาหารพวกผักผลไม้มาก (อย่างเช่น ชาวแอฟริกา) จะมีอัตราการเป็นไส้ติ่งอักเสบน้อยกว่ากรุ๊ปที่รับประทานผักและก็รับประทานผลไม้น้อย (เช่น ชาวต่างชาติ) จึงมีการชี้แนะให้อุตสาหะกินผักและผลไม้ให้มากมายๆทุกวี่วัน ซึ่งมีผลดีต่อการคุ้มครองโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร โรคอ้วน รวมทั้งยังมั่นใจว่าบางทีอาจคุ้มครองไส้ติ่งอักเสบ แล้วก็มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย ยิ่งกว่านั้นมีการเรียนรู้ที่พบว่า สภาวะท้องผูกมีส่วนชมรมกับการเกิดไส้ติ่งอักเสบ โดยพบว่าคนไข้ไส้ติ่งอักเสบจะมีจำนวนครั้งสำหรับการถ่ายอุจจาระต่อสัปดาห์น้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจัง และก็ยังพบว่า คนป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และก็โรคมะเร็งลำไส้ตรงมักจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบเอามาก่อน อีกทั้งยังมีผลการเรียนหลายงานที่ศึกษาค้นพบว่า การกินอาหารที่มีกากใยต่ำจะมีส่วนสำหรับการกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคไส้ติ่งอักเสบอีกด้วย สมุนไพรที่ช่วยป้องงกัน/บรรเทาโรคไส้ติ่งอักเสบ เนื่องแต่การดูแลรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้นและในขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าสมุนไพรชนิดไหนที่จะช่วยคุ้มครองหรือ ทุเลา/รักษา โรคไส้ติ่งอักเสบได้ รวมถึงยังไม่มีรายงานการศึกษาเรียนรู้วิจัยชิ้นไหนที่รายงานว่าสมุนไพรประเภทไหนสามารถช่วยปกป้องหรือ / รักษาโรคไส้ติ่งอักเสบได้ เอกสารอ้างอิง
|