ล้อแม็ก แม็ก แม็กล้อ แม็กซ์แต่งรถ ล้อแม็กคุณภาพ รวมล้อแม็กลายใหม่ๆ

Sitemap SMB => สินค้าอื่นๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: veerachai29 ที่ เมษายน 23, 2018, 01:40:28 pm



หัวข้อ: โรคไข้หวัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: veerachai29 ที่ เมษายน 23, 2018, 01:40:28 pm
(https://www.img.in.th/images/c91f7d3527cd3360f42798560081cea2.jpg)
โรคไข้หวัด (Common cold)
โรคไข้หวัด เป็นอย่างไร โรคหวัด หรือหวัด ในที่นี้ หมายถึง โรคไข้หวัดธรรมดา (Common cold) ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ หรือ ฟลู (Influenza หรือ Flu)   โรคไข้หวัด เป็น โรคจากการตำหนิดเชื้อไวรัสรอบๆทางเดินหายใจส่วนต้น เป็นต้นว่า จมูก คอ ไซนัส และก็กล่องเสียง โดยเชื้อที่ส่งผลให้เกิดหวัดมักเป็นเชื้อไวรัสจำพวกไม่รุนแรง แล้วก็สามารถหายได้ภายใน 1-2 อาทิตย์ โรคหวัดเป็นโรคติดโรคยอดฮิตพบได้บ่อยมากมาย ทั้งยังในผู้ใหญ่รวมทั้งเด็ก โดยยิ่งไปกว่านั้นเด็กในปฐมวัย ซึ่งพบบ่อยเป็นหวัดได้บ่อยมากถึงปีละ 6-8 ครั้ง เนื่องจากว่าเด็กมีภูมิคุ้มกันขัดขวางโรคต่ำลงยิ่งกว่าคนแก่ ก็เลยได้โอกาสเป็นหวัดได้บ่อยมากกว่าคนแก่มาก รวมทั้งโรคไข้หวัดยังเป็นโรคเกิดได้ทั้งปี แม้กระนั้นพบบ่อยในฤดูฝนและหน้าหนาว โรคหวัดถือได้ว่าเป็นโรคที่เป็นแล้วสามารถหายเองได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้ยาอะไรพิเศษ ซึ่งยาที่ต้องมีเพียงแค่พาราเซตามอล ที่ใช้สำหรับลดไข้ แก้ปวด เฉพาะเมื่อจับไข้สูงหรือปวดศีรษะ
ข้อผิดพลาดในปัจจุบันเป็น มีการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นอย่างมากเกินไป ซึ่งมิได้ประโยชน์ เพราะว่ามิได้มีส่วนฆ่าเชื้อโรคไวรัสหวัดที่เป็นต้นเหตุยังอาจทำให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยาง่าย แพ้ยาง่าย แล้วก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอตามมาได้  ด้วยเหตุผลดังกล่าว จำเป็นจะต้องศึกษาวิธีสำหรับดูแลไข้หวัดด้วยตัวเองและก็ปลอดภัย
ต้นเหตุของโรคไข้หวัด ปัจจัยโดยมากของการเป็นโรคหวัดมีต้นเหตุจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสก่อโรค ร่วมกับสถานการณ์ที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง ได้แก่ เครียด พักน้อยเกินไป ส่วนเชื้อที่เป็นสาเหตุ : เกิดขึ้นได้เนื่องมาจาก “เชื้อโรคหวัด” ที่มีอยู่มากยิ่งกว่า 200 จำพวกจากกลุ่มเชื้อไวรัสจำนวน 8 กลุ่มร่วมกัน โดยกรุ๊ปเชื้อไวรัสที่สำคัญ ดังเช่นว่า กลุ่มไวรัสไรโน (Rhinovirus) ซึ่งมีมากยิ่งกว่า 100 ประเภท พบได้ทั่วไปที่สุดราว 30-50% ยิ่งกว่านั้นก็มีกรุ๊ปไวรัสวัวโรนา (Coronavirus) ที่พบได้ประมาณ 10-15%,และกลุ่มเชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) เป็นต้น
                ซึ่งการเกิดโรคขึ้นแต่ละครั้งจะมีต้นเหตุที่เกิดจากเชื้อไวรัสหวัดเพียงแค่ชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสหวัดจำพวกนั้น สำหรับในการเป็นไข้หวัดครั้งใหม่ก็จะมีเหตุที่เกิดจากเชื้อไวรัสหวัดประเภทใหม่ที่ร่างกายยังไม่เคยติดเข้ามา หมุนวนแบบนี้ไปเรื่อยด้วยเหตุนี้ มนุษย์เราก็เลยจับไข้หวัดได้บ่อยมาก เด็กเล็กที่ยังไม่ค่อยได้ติดเชื้อโรคหวัดมาก่อน ก็บางทีอาจป่วยหวัดซ้ำจากจำเจได้ และก็บางทีอาจป่วยหวัดได้หลายครั้งถึงเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือทุกสัปดาห์
อาการของโรคหวัด โดยปกติมักมีลักษณะอาการไม่ร้ายแรง มีไข้ไม่สูง ปวดเหมื่อยตามตัวเป็นช่วงๆปวดหนักหัวนิดหน่อย อ่อนล้าน้อย อาจมีอาการคอแห้งผาก แสบคอหรือเจ็บคอน้อยเอามาก่อน ต่อมาจะมีน้ำมูกไหลใสๆคัดจมูก ไอแห้งๆหรือไอมีเสลดนิดหน่อย ลักษณะใสหรือขาวๆผู้ป่วยจำนวนมาก เดินเหิน ทำงานได้ และก็จะทานอาหารได้ ในเด็กตัวเล็กๆ อาจมีไข้สูงฉับพลัน ตัวร้อนเป็นช่วงๆเวลาไข้ขึ้นบางทีอาจซึมบางส่วน เวลาไข้ลง (ตัวเย็น) ก็จะวิ่งเล่นหรือใบหน้าแจ่มใสเหมือนปกติ ต่อมาจะมีน้ำมูกใส ไอนิดหน่อย ในคนแก่ อาจไม่มีไข้ มีเพียงแต่ลักษณะการเจ็บคอเล็กน้อย น้ำมูกใส ไอนิดหน่อย ในทารกอาจมีอาการอาเจียน หรือท้องร่วง ร่วมด้วย ลักษณะของการมีไข้มักเป็นอยู่นาน 48-96 ชั่วโมง (2-4 วันเต็มๆ) แล้วก็ดีขึ้นได้เอง
                อาการน้ำมูกไหลจะเป็นมากอยู่ 2-3 วัน ส่วนอาการไอ บางทีอาจไอนานเป็นสัปดาห์ หรือบางรายอาจไอนานเป็นนานแรมเดือน ภายหลังจากอาการอื่นๆหายดีแล้ว
ในรายที่การต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียเข้าแทรก คนไข้จะมีไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 1 วัน หรือไอมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียวทุกครั้ง
ทั้งนี้ลักษณะของการมีไข้หวัดแล้วก็ไข้หวัดใหญ่ จะค่อนข้างคล้ายกัน บางทีอาจงงได้ แม้กระนั้นผู้เจ็บป่วยและก็ผู้ดูแลสามารถดูไม่เหมือนกันได้ตามตารางนี้




อาการ


ไข้หวัดธรรมดา


ไข้หวัดใหญ่


โรคภูมแพ้




ไข้


ไข้ต่ำๆหรือไม่มี


มักมีไข้สูง อาจสูงถึง 40
องศาเซลเซียส


ไม่มีไข้




ปวดหัว


ไม่ค่อยพบ


พบได้ปกติ


ไม่พบ




ปวดเมื่อย
กล้ามเนื้อ
อ่อนเพลีย


อาจมีอาการเล็กน้อย


พบได้บ่อยและอาการรุนแรง


ไม่พบ (อาจอ่อนเพลียหากพักผ่อนน้อย)




น้ำมูกไหล คัดจมูก


พบได้บ่อย


ไม่ค่อยพบ


พบได้บ่อย




จาม


พบได้บ่อย


ไม่ค่อยพบ


พบได้บ่อย




เจ็บคอ


พบได้บ่อย


อาจพบได้บางครั้ง


อาจพบได้บางครั้ง




ไอ


พบได้บ่อย


พบได้บ่อย และมีความรุนแรงมากกว่า


อาจพบได้บางครั้ง




เจ็บหน้าอก


อาบพบได้แต่อาการไม่รุนแรง


พบได้บ่อย


ไม่ค่อยพบ(ยกเว้นเป็นโรคหอบหืด)




อาการ


ไข้หวัดธรรมดา


ไข้หวัดใหญ่


โรคภูมิแพ้




สาเหตุการเกิด


เกิดจากไวรัส
(Rhinoviruses เป็นสาเหตุหลักประมาณ 30-50%)


เกิดจากไวรัส (influenza virus type A and B)


เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น อากาศเย็น/ร้อน ละอองเกสร




การดูและการรักษา


-พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ
-ใช้ยาบรรเทาอากาต่างๆ เช่น ยาแก้คัดจมูก หรือยาลดไข้
-มักดีขึ้นและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์


-พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ
-ใช้ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาลดไข้พาราเซตามอบ (แต่ไม่ควรใช้ยากลุ่ม NSAIDs กรณีสงสัยไข้เลือดออกด้วย)
-หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และอาจต้องได้รับยาต้านไวรัสตลอดจนการรักษาให้ถูกต้อง


-หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ เช่นหลีกเลี่ยงฝุ่นอากาศเย็น
-ใช้ยาบรรเทาอาการเช่นยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก
-หากรุนแรงควรพบแพทยืเพื่อพิจารณาใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก




การป้องกัน


-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
-ใส่หน้ากากอนามัย
-ไม่มีวัคซีนป้องกัน


-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
-ใส่หน้ากากอนามัย
-ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่


หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้




รวมทั้งในขณะที่มีอาการป่วยเป็นไข้หวัด ผู้ป่วยหรือผู้ดูแล (ในเด็กตัวเล็กๆ) ควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิด และควรรีบไปพบหมอในทันทีถ้ามีอาการดังต่อไปนี้
คนแก่
           ไข้สูงมากเกินกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องกันเกิน 5 วันขึ้นไป
           กลับมามีไข้ซ้ำภายหลังอาการไข้หายแล้ว
           หายใจหอบอ่อนล้า และหายใจมีเสียงกรีดร้อง
           เจ็บคออย่างรุนแรง ปวดศีรษะ หรือมีอาการปวดบริเวณไซนัส
เด็ก
           มีไข้สูงยิ่งกว่า 38 องศาเซลเซียส ในทารก-12 อาทิตย์
           มีลักษณะไข้สูงต่อเนื่องกันมากกว่า 2 วัน
           อาการต่างๆของไข้หวัดรุนแรงมากยิ่งขึ้น หรือรักษาแล้วอาการกำเริบ
           มีลักษณะปวดศีรษะ หรือไออย่างหนัก
           หายใจมีเสียงกรีดร้อง
           เด็กมีอาการงอแงอย่างรุนแรง
           ง่วงมากผิดปกติ
           ความต้องการของกินน้อยลง ไม่รับประทานอาหาร
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัด ผู้ที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงดังต่อไปนี้ มักเจ็บป่วยหวัดได้ง่ายกว่าคนธรรมดา ดังเช่นว่า

  • อายุ เด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี มีความเสี่ยงมีอาการป่วยด้วยไข้หวัดสูง โดยยิ่งไปกว่านั้นเด็กที่ต้องอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือเนอสเซอปรี่
  • ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผู้ป่วยที่มีลักษณะป่วยเรื้อรัง หรือมีภาวะสุขภาพที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอมีแนวโน้มที่จะมีอาการป่วยด้วยหวัดได้ง่ายดายเสียยิ่งกว่าธรรมดา
  • ระยะเวลา โดยส่วนมากแล้วไม่ว่าจะเด็ก หรือคนแก่ชอบจับไข้หวัดได้ง่ายในฤดูฝน รวมทั้งหรือหน้าหนาว
  • สูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มจะมีอาการป่วยเป็นหวัดได้ง่าย และแม้เป็นก็จะอาการร้ายแรงกว่าธรรมดาอีกด้วย
  • อยู่ในที่ที่ผู้คนพลุกพล่านแออัดคับแคบ สถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อไวรัสโรคไข้หวัดได้ง่าย
  • ผู้ที่จำเป็นต้องดูแลผู้เจ็บป่วยหวัด ซึ่งกรุ๊ปบุคคลกลุ่มนี้จะต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่งของคนเจ็บทั้งยังน้ำลาย น้ำมูก หรือละอองน้ำมูก น้ำลาย จากลมหายใจของผู้ป่วย

กรรมวิธีการรักษาโรคหวัด โดยธรรมดาผู้เจ็บป่วย (คนแก่) สามารถวินิจฉัยโรคหวัดเองได้ จากอาการที่แสดง แต่ถ้าหากคนเจ็บไปพบหมอ แพทย์จะวินิจฉัยโรคหวัดได้จากอาการที่แสดง ประวัติการระบาดของโรค ฤดู และก็จากการตรวจร่างกาย เช่น ลักษณะของการมีไข้ มีน้ำมูก เยื่อจมูกบวมแล้วก็แดง คอแดงเล็กน้อย ส่วนในเด็กอาจเจอทอนซิลโต แม้กระนั้นไม่แดงมากมาย และไม่มีหนอง แม้กระนั้นในคนไข้ที่มีลักษณะอาการรุนแรง ได้แก่ ไข้สูง หมออาจมีการวิเคราะห์เลือดซีบีซี (CBC) เพื่อแยกว่าเป็นการติดเชื้อไวรัสหรือติดเชื้อโรคแบคทีเรีย และอาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติมอีกตามดุลพินิจของหมอ เช่น การวิเคราะห์เลือดมองค่าเกล็ดเลือดเพื่อแยกจากโรคไข้เลือดออก ฯลฯ
         เนื่องจากหวัดมีเหตุมาจากเชื้อไวรัส ก็เลยไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ เพียงแต่ให้การรักษาไปตามอาการเท่านั้น ซึ่งการปรับปรุงอาการที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นหมอจะจ่ายยาที่เป็น ยาสามัญประจำบ้านเพื่อทุเลาอาการก่อน ตัวอย่างเช่นพาราเซตามอล (paracetamol) สำหรับลดไข้ คลอเฟนนิรามีน (chlorpheniramine) สำหรับลดน้ำมูก และจะชี้แนะให้พักผ่อนให้เพียงพอ กินน้ำอุ่นเพื่อละลายเสมหะ การกินน้ำมากมายๆและการเช็ดตัวจะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายได้
       โดยปกติยาที่ใช้เมื่อเป็นหวัดจะเป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาตามอาการ เหตุเพราะไม่มีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสก่อโรคโดยตรง แล้วก็เมื่ออาการดีขึ้นรวมทั้งสามารถหยุดใช้ยาได้ ยาที่นิยมใช้ทั่วไปเมื่อเป็นหวัดมีดังนี้

  • ยาลดไข้ โดยธรรมดายาที่นิยมสำหรับลดไข้หมายถึงparacetamol สำหรับผู้ใหญ่ รับประทานยาขนาด 500 mg ต่อเม็ด จำนวน 1-2 เม็ด สามารถกินซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ใช้ไม่เกิน 8 เม็ดต่อวัน และไม่ควรจะใช้ต่อเนื่องกันตรงเวลา 5 วัน เนื่องมาจากมีโอกาสกำเนิดพิษต่อตับ สำหรับเด็กต้องมีการปรับปริมาณยาตามน้ำหนักตัว ด้วยเหตุนั้นควรจะซักถามข้อมูลอื่นๆจากแพทย์หรือเภสัชกร ยาอีกกรุ๊ปยอดนิยมสำหรับการใช้ลดไข้เป็นยากลุ่มต้านทานการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti Inflammatory Drugs:-NSAIDs) เช่นแอสไพริน (aspirin), ibuprofen ซึ่งการใช้ยาในกลุ่มข้างหลังนี้ได้ผลในการลดไข้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่ามีข้อพึงระวังสำหรับเพื่อการใช้สำหรับลดไข้ในกรณีของโรคไข้เลือดออก แม้กระนั้นในเด็กที่แก่ต่ำกว่า 18 ปี องค์กรอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าไม่ให้ใช้ยาแอสไพริน
  • ยาลดน้ำมูกแก้คัดจมูก

ในกลุ่มของยาลดน้ำมูกนั้น สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 กลุ่ม เป็นยาแก้คัดจมูก ออกฤทธิ์โดยการยุบเส้นโลหิต ทำให้อาการคัดจมูกลดน้อยลง แบ่งเป็น

  • สำหรับกิน ยกตัวอย่างเช่น phenylephrine, pseudoephedrine (pseudoephedrine ยอมรับได้จากสถานพยาบาลเท่านั้น ไม่มีขายตามร้านยา)
  • สำหรับหยดหรือพ่นรูจมูก ตัวอย่างเช่น oxymetazoline ซึ่งก่อนใช้จำเป็นต้องสั่งขี้มูกออกก่อน

ยาลดน้ำมูก ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งผลของฮีสตามีน (histamine) ซึ่งมีผลทำให้การหลั่งน้ำมูกน้อยลง แต่ว่าจะสำเร็จน้อยกับอาการคัดจมูก สามารถแบ่งย่อย เป็น 2 กลุ่มเป็น

  • ยาลดน้ำมูกกลุ่มที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการง่วงซึม เป็นต้นว่า chlorpheniramine, brompheniramine, hydroxyzine, cyproheptadine ฯลฯ ยากลุ่มนี้จะลดปริมาณสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ ยกตัวอย่างเช่น น้ำมูก เสลด แต่ว่าจะทำให้เกิดอาการง่วงซึมได้ เพราะมีฤทธิ์กดระบบประสาท อย่างไรก็แล้วแต่ ยาในกลุ่มนี้สามารถคุมอาการได้ดียิ่งไปกว่าเมื่อเทียบกับยาในกลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วงซึม ถ้าเกิดคนเจ็บใช้ยาในกลุ่มนี้ควรหลีกเลี่ยงการขับรถและก็การทำงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักร รวมทั้งบางทีอาจนับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเพื่อการพักผ่อน
  • ยาลดน้ำมูกกลุ่มที่ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการง่วงซึม ดังเช่น cetirizine, loratadine, desloratadine, fexofenadine เป็นต้น ซึ่งจุดเด่นของยาในกลุ่มนี้ก็คือ ไม่ส่งผลให้เกิดอาการง่วงซึม หรืออาจมีอาการง่วงซึมได้บ้างน้อย ด้วยเหตุนั้นจึงนิยมใช้ยาในกลุ่มนี้ในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ด้วย
  • ยาบรรเทาอาการไอ ในกลุ่มของยาที่ช่วยบรรเทาอาการไอ ก็สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 กรุ๊ปเช่นกัน คือ
  • ยาสำหรับอาการไอมีเสมหะ โดยที่มาของอาการไอจำพวกนี้ เพราะมีเสลดเป็นตัวกระตุ้นส่งผลให้เกิดการไอ ดังนั้นจะต้องใช้ยารักษาที่มูลเหตุซึ่งหมายถึง การทำให้เสลดเหลวหรือขับออกได้ง่ายขึ้น ยาละลายเสลด ได้แก่ acetylcysteine, carbocysteine, bromhexine, ambroxol เป็นต้น ยาขับเสมหะ อย่างเช่น glyceryl guaiacolate (guaifenesin) เป็นต้น ซึ่งการใช้ยาเหล่านี้อาจจะก่อให้ผู้ป่วยมีอาการไอเยอะขึ้นเรื่อยๆในทีแรกๆ เพื่อนำเสลดออกจากฟุตบาทหายใจ แม้กระนั้นภายหลังจากนั้นอาการไอจะลดลงตามลำดับ
  • ยาสำหรับอาการไอที่ไม่มีเสลด หรือ ไอแห้ง ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนที่ทำให้มีการเกิดการไอ ซึ่งผู้กระทำดระบบประสาทนั้นอาจทำให้ตัวผู้ป่วยไข้ง่วงซึมได้ แม้คนป่วยใช้ยาในกลุ่มนี้จึงควรหลบหลีกการขับรถยนต์แล้วก็การทำงานที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องจักร ยาที่ออกฤทธิ์กดการไอยกตัวอย่างเช่น dextromethorphan, codeine, brown mixture เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ก็เลยต้องหาสิ่งที่ทำให้เกิดการไอ และก็แก้ไขให้ถูกจุด ถ้าหากคนป่วยใช้ยาแก้ไอไม่ถูกกับที่มาของอาการไอที่เป็นอยู่ ดังเช่น ใช้ยากดการไอในเรื่องที่การไอมีสาเหตุจากเสมหะ นอกเหนือจากเสมหะจะกีดกันทางเท้าหายใจแล้ว ร่างกายก็ยังไม่อาจจะขับเสมหะออกโดยการไอได้อีกด้วย

  • ยาปฏิชีวนะที่นิยมใช้เบื้องต้น (ในเรื่องที่พบว่ามีการติดโรคแบคทีเรียเข้าแทรก ดังเช่น จับไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 4 ชั่วโมง
  • ยากลุ่มแพนิซิลิน (penicillins) ตัวอย่างเช่น amoxicillin ซึ่งองค์ประกอบของยาตัวนี้ทนประมือดในทางเดินของกิน สามารถกินหลังอาหารได้
  • ยากลุ่มแมคโครไลด์ (macrolides) ได้แก่ erythromycin, roxithromycin เนื่องจากส่วนประกอบของยาในกลุ่มนี้จำนวนมากไม่ทนต่อกรดในทางเดินของกิน จำเป็นที่จะต้องกินก่อนรับประทานอาหาร ยกเว้น erythromycin estolate และ erythromycin ethylsuccinate ที่มีการดัดแปลงแก้ไของค์ประกอบของยาแล้ว ทำให้สามารถรับประทานหลังอาหารได้

แม้กระนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่สม่ำเสมอ และไม่ครบตามจำนวนที่กำหนด เว้นแต่ผู้เจ็บป่วยจะไม่หายจากอาการที่เป็นอยู่ ยังเป็นการช่วยเหลือให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยา รวมทั้งบางทีอาจไม่มียาปฏิชีวนะสำหรับรักษาลักษณะของผู้ป่วยในอนาคต
การติดต่อของโรคไข้หวัด โรคไข้หวัดเป็นโรคติดต่อในระบบฟุตบาทหายใจ โดยเชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสลดของคนเจ็บ ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด ด้านในระยะไม่เกิน 1 เมตร
นอกจากนี้ เชื้อหวัดยังบางทีอาจติดต่อโดยการสัมผัส กล่าวคือ เชื้อหวัดอาจติดที่มือของคนป่วย สิ่งของ เครื่องใช้ เช่น ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดหน้า ผ้าขนหนู แก้วน้ำ จาน จานชาม ของเล่นเด็ก หนังสือ โทรศัพท์ หรือสิ่งแวดล้อม ดังเช่น ลูกบิดประตู โต๊ะ เก้าอี้ เมื่อคนธรรมดาสัมผัสถูกมือของคนไข้ สิ่งของเครื่องใช้หรือสภาพแวดล้อมที่มัวหมองเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคนคนนั้น รวมทั้งเมื่อเผลอใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคนคนนั้น จนเปลี่ยนเป็นไข้หวัดได้  ส่วนระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่คนไข้รับเชื้อเข้าไปจนกระทั่งออกอาการ) : ราว 1-3 วัน โดยเฉลี่ย แล้วก็มักมีลักษณะรุนแรงที่สุดในตอน 2-3 วันหน้าเริ่มมีลักษณะอาการ
(https://www.img.in.th/images/0adbc1636695f4dabed1d3a93bcd26fc.jpg)
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคไข้หวัด ข้อเสนอแนะการกระทำตัวของคนเจ็บมีดังนี้


  • พักมากๆห้ามทุกข์ยากลำบากงานหนักหรือบริหารร่างกายมากเกินความจำเป็น
  • ใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด รวมทั้งอย่าอาบน้ำเย็น
  • กินน้ำมากมายๆเพื่อช่วยลดไข้ และก็ชดเชยน้ำที่เสียไปเพราะเหตุว่าไข้สูง
  • ควรจะกินอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆ
  • ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรที่จะใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก๊อกปกติ อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
  • ถ้าหากจับไข้สูง ให้พาราเซตามอล (คนที่แก่น้อยกว่า 18 ปี ควรจะเลี่ยงการใช้แอสไพริน ด้วยเหตุว่าบางทีอาจเพิ่มการเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม ซึ่งเกิดอันตรายร้ายแรงได้) ควรจะให้ยาลดไข้เป็นครั้งเป็นคราวเฉพาะเวลาจับไข้สูง ถ้าหากจับไข้ต่ำๆ หรือไข้พอทนได้ ก็ไม่จำเป็นที่ต้องรับประทาน
  • ถ้าหากมีลักษณะน้ำมูกไหลมากจนกระทั่งสร้างความเบื่อหน่าย ให้ยาแก้แพ้ ยกตัวอย่างเช่น คลอร์เฟนิรามีน ใน 2-3 วันแรก เมื่อดีขึ้นกว่าเดิมแล้วควรหยุดยา หรือในกรณีที่มีลักษณะอาการไม่มาก ก็ไม่จำเป็นต้องให้ยานี้
  • ถ้าหากมีลักษณะอาการไอ จิบน้ำอุ่นมากๆหรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว (น้ำผึ้ง 4 ส่วน น้ำมะนาว 1 ส่วน) ถ้าไอมากมายลักษณะไอแห้งๆไม่มีเสลดควร ให้ยาแก้ไอ
  • ถ้าหากมีลักษณะอาการหอบ หรือนับการหายใจได้เร็วกว่าธรรมดา (เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากยิ่งกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ขวบหายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ขวบหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) หรือจับไข้นานเกิน 7 วัน ควรจะส่งโรงพยาบาลอย่างเร็ว บางทีอาจเป็นปอดอักเสบหรือภาวะรุนแรงอื่นๆได้ บางทีอาจจำต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น
  • หากมีอาการเจ็บคอมาก ไข้สูงตลอดระยะเวลา ซึม ไม่อยากกินอาหารมากมาย เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมาก ปวดหู หูอื้อ หรือสงสัยไข้หวัดใหญ่ หรือหวัดนก (มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกที่เจ็บไข้หรือตายด้านใน 7 วัน หรืออยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของหวัดนกด้านใน 14 วัน) หรือจับไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 1 วัน ควรจะไปพบแพทย์อย่างเร็ว

การคุ้มครองป้องกันตัวเองจากโรคหวัด รักษาสุขลักษณะเบื้องต้น เพื่อให้มีสุขภาพกายแข็งแรง ทานอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ทุกวี่ทุกวัน เพื่อมีสุขภาพทางกายแข็งแรง ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละอย่างต่ำ 6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคจะต้องจำกัดน้ำกิน พักผ่อนให้เพียงพอเสมอๆ ไม่ไปในที่แออัด ตัวอย่างเช่น ห้างสรรพสินค้า ในตอนที่มีการระบาดของหวัดรู้จักใช้หน้ากากอนามัยเมื่อจำต้องไปในบริเวณที่มีคนพลุวุ่นวายหรือไปโรงพยาบาล  รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่มีอากาศเปลี่ยนไม่สมควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเหลือเกิน โดยเฉพาะขณะที่มีอากาศเย็น  อย่าใกล้หรือนอนรวมกับคนป่วย ถ้าหากจำต้องดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ควรจะสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่  อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (ดังเช่น ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้เช็ดตัว แก้วน้ำ โทรศัพท์ ของเด็กเล่น ฯลฯ) ร่วมกับผู้ป่วย และก็ควรจะหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือผู้เจ็บป่วย
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/รักษาโรคหวัด

  • ฟ้าทะลายมิจฉาชีพ สารสำคัญในการออกฤทธิ์หมายถึงAndrographolide มีฤทธิ์รักษาอาการไอ เจ็บคอ ปกป้องรวมทั้งบรรเทาหวัด จากการเรียนการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อรักษาลักษณะของการมีไข้รวมทั้งเจ็บคอเปรียบเทียบกับยาลดไข้พาราเซตามอล พบว่ากลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายมิจฉาชีพขนาด 6 กรัมต่อวัน จะมีลักษณะไข้แล้วก็การเจ็บคอลดลงในวันที่ 3 ซึ่งดีมากยิ่งกว่ากลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจร 3 กรัม/วัน หรือได้รับพาราเซตามอล  ในการศึกษาเปรียบการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อปกป้องหวัด ซึ่งทำในฤดูหนาว โดยให้นักเรียนกินยาเม็ดฟ้าทะลายมิจฉาชีพแห้ง ขนาด 200 มิลลิกรัม/วัน ภายหลังจาก 3 เดือนของการทดลองพบว่าอุบัติการณ์การเป็นหวัดในกลุ่มที่ได้ฟ้าทะลายขโมยต่ำลงอย่างเป็นจริงเป็นจัง ทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยอัตราการเป็นหวัดในกลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายมิจฉาชีพพอๆกับร้อยละ 20 ในขณะกลุ่มควบคุมมีอัตราการเป็นหวัดเท่ากับจำนวนร้อยละ 62  บางทีอาจสรุปได้ว่าฟ้าทะลายมิจฉาชีพให้ผลคุ้มครองของยา พอๆกับจำนวนร้อยละ 33

ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาแคปซูล ยาเม็ด ที่มีผงฟ้าทะลายมิจฉาชีพแห้ง 250 มิลลิกรัม แล้วก็ 500 มก.
o             ทุเลาอาการเจ็บคอ กินวันละ 3 – 6 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน
o             บรรเทาอาการหวัด รับประทานวันละ 1.5 – 3 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน

  • กระเทียม มีฤทธิ์สำหรับการฆ่าเชื้อโรคไวรัส เชื้อรา ลดอาการภูมิแพ้ มีฤทธิ์เสมือนแอสไพริน จึงทำให้ไข้ลด และยังป้องกันการเป็นไข้หวัดได้
  • ใบกระเพรา ใบกระเพราช่วยขับเสลด ทำให้จมูกเตียน ฆ่าเชื้อโรคในทางเดินหายใจ
  • ชา ใบชามีสารโพลีฟีนนอล เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการตำหนิดเชื้อ ทำใหเยื้อบุโพรงจมูกชุ่มชื้น หายใจสะดวก
  • ขิง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน มีกลิ่นส่วนตัว สามารถช่วยลดอาการหวัด แก้ไอ ทำให้หายใจโล่งขึ้น ขับเหงื่อ
  • กระเจี๊ยบ อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง เจอสารแอนโธไซยานินในกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส ลดการต่อว่าเชื้อ
เอกสารอ้างอิง

  • รับมือโรคหวัดอย่างไรให้เหมาะสม.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาสรีรวิทยา.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “ไข้หวัด (Common cold/Upper respiratory tract infection/URI)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 389-392.
  • ฟ้าทะลายโจร.(ฉบับประชาชน).หน่วยปริการฐานข้อมูลสมุนไพร.สำนักงานสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J.(2001). Harrrison’s:Principles of internal medicine. New York. McGraw-Hill.
  • ผศ.ภก.ธีรวิชญ์ อัชฌาศัย.ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ หรือแพ้อากาศ เป็นอะไรกันแน่? .บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • ไข้หวัด-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ไข้หวัด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่389.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กันยายน.2554
  • Lacy CF, Armstrong LL, Goldman MP, Lance LL. Drug Information Handbook, 20th ed. Hudson, Ohio, Lexi-Comp, Inc.;


Tags : โรคไข้หวัด


หัวข้อ: Re: โรคไข้หวัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: parple1199 ที่ พฤษภาคม 03, 2018, 08:26:27 am
โรคไข้หวัด อาการไข้หวัดและการรักษาโรคไข้หวัด -disthai.com
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ