หัวข้อ: โรคไข้หวัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ เมษายน 24, 2018, 03:57:38 pm (https://www.img.in.th/images/c91f7d3527cd3360f42798560081cea2.jpg)
หวัด (Common cold) หวัด เป็นยังไง โรคหวัด หรือหวัด ในที่นี้ คือ โรคไข้หวัดธรรมดา (Common cold) ไม่ใช่โรคไข้หวัดใหญ่ หรือ ฟลู (Influenza หรือ Flu) โรคหวัด เป็น โรคที่มีต้นเหตุมากจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสรอบๆทางเท้าหายใจส่วนต้น อาทิเช่น จมูก คอ ไซนัส รวมทั้งกล่องเสียง โดยเชื้อที่นำไปสู่ไข้หวัดมักเป็นเชื้อไวรัสประเภทไม่รุนแรง และสามารถหายได้ด้านใน 1-2 อาทิตย์ โรคไข้หวัดเป็นโรคติดโรคยอดฮิตพบได้มากมากมาย ทั้งยังในคนแก่และก็เด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กในวัยเด็ก ซึ่งมักพบเป็นหวัดได้บ่อยมากถึงปีละ 6-8 ครั้ง ด้วยเหตุว่าเด็กมีภูมิต้านทานต่อต้านโรคน้อยกว่าคนแก่ ก็เลยได้โอกาสเป็นหวัดได้บ่อยมากกว่าคนแก่มากมาย รวมทั้งโรคหวัดยังเป็นโรคเกิดได้ทั้งปี แม้กระนั้นมักพบในฤดูฝนแล้วก็หน้าหนาว หวัดถือได้ว่าเป็นโรคที่เป็นแล้วสามารถหายเองได้ โดยไม่จำเป็นจำเป็นต้องใช้ยาอะไรพิเศษ ซึ่งยาที่ต้องมีเพียงแต่พาราเซตามอล ที่ใช้สำหรับลดไข้ แก้ปวด เฉพาะเมื่อเป็นไข้สูงหรือปวดศีรษะ ข้อบกพร่องในขณะนี้คือ มีการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นอย่างมากเกินไป ซึ่งไม่ได้คุณประโยชน์ เนื่องจากมิได้มีส่วนฆ่าเชื้อโรคไวรัสหวัดที่เป็นสาเหตุยังอาจจะก่อให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยาง่าย แพ้ยาง่าย แล้วก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอตามมาได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ควรต้องเรียนรู้วิธีสำหรับดูแลไข้หวัดด้วยตัวเองและไม่มีอันตราย ที่มาของโรคไข้หวัด ปัจจัยส่วนมากของการเป็นโรคหวัดมีเหตุที่เกิดจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสก่อโรค ร่วมกับสภาวะที่ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง ได้แก่ เครียด พักไม่พอ ส่วนเชื้อที่เป็นต้นเหตุ : เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจาก “เชื้อโรคหวัด” ที่มีอยู่มากยิ่งกว่า 200 ประเภทจากกลุ่มไวรัสจำนวน 8 กลุ่มร่วมกัน โดยกรุ๊ปเชื้อไวรัสที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น กรุ๊ปไวรัสไรโน (Rhinovirus) ซึ่งมีมากยิ่งกว่า 100 ชนิด พบมากที่สุดโดยประมาณ 30-50% นอกนั้นก็มีกลุ่มไวรัสวัวโรท้องนา (Coronavirus) ที่พบได้โดยประมาณ 10-15%,แล้วก็กรุ๊ปเชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ฯลฯ ซึ่งการเกิดโรคขึ้นแต่ละครั้งจะมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสหวัดเพียงแค่ชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสหวัดชนิดนั้น ในการเจ็บป่วยหวัดครั้งใหม่ก็จะมีต้นเหตุที่เกิดจากเชื้อไวรัสหวัดชนิดใหม่ที่ร่างกายยังไม่เคยติดเข้ามา หมุนวนแบบนี้ไปเรื่อยๆโดยเหตุนั้น คนเราก็เลยป่วยหวัดได้บ่อยครั้ง เด็กตัวเล็กๆที่ยังไม่ค่อยได้ติดเชื้อโรคหวัดมาก่อน ก็อาจเป็นไข้หวัดจำเจได้ และบางทีอาจเป็นไข้หวัดได้บ่อยครั้งถึงเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือทุกอาทิตย์ อาการของโรคหวัด โดยธรรมดามักมีลักษณะไม่ร้ายแรง เป็นไข้ไม่สูง ครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นตอนๆปวดหนักหัวบางส่วน เมื่อยล้าน้อย อาจมีอาการคอแห้ง แสบคอหรือเจ็บคอเล็กน้อยเอามาก่อน ถัดมาจะมีน้ำมูกไหลใสๆคัดจมูก ไอแห้งๆหรือไอมีเสมหะเล็กน้อย ลักษณะใสหรือขาวๆคนป่วยส่วนมาก เดินเหิน ดำเนินงานได้ แล้วก็จะรับประทานอาหารได้ ในเด็กเล็ก อาจมีไข้สูงเฉียบพลัน ตัวร้อนเป็นช่วงๆเวลาไข้ขึ้นอาจซึมน้อย เวลาไข้ลง (ตัวเย็น) ก็จะวิ่งเล่นหรือเค้าหน้าแจ่มใสเหมือนปกติ ต่อมาจะมีน้ำมูกใส ไอเล็กน้อย ในผู้ใหญ่ บางทีอาจไม่มีไข้ มีเพียงแค่อาการเจ็บคอน้อย น้ำมูกใส ไอนิดหน่อย ในเด็กแบเบาะอาจมีอาการอ้วก หรือท้องเดิน ร่วมด้วย อาการไข้มักเป็นอยู่นาน 48-96 ชั่วโมง (2-4 วันเต็มๆ) และดีขึ้นกว่าเดิมได้เอง อาการน้ำมูกไหลจะเป็นมากอยู่ 2-3 วัน ส่วนอาการไอ บางทีอาจไอนานเป็นอาทิตย์ หรือบางรายบางทีอาจไอนานเป็นนานเป็นเดือนๆ ภายหลังจากอาการอื่นๆหายก็ดี ในรายที่การต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียเข้าแทรก ผู้เจ็บป่วยจะมีไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 1 วัน หรือไอมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียวทุกครั้ง ทั้งนี้ลักษณะของการมีไข้หวัดรวมทั้งไข้หวัดใหญ่ จะค่อนข้างคล้ายกัน อาจงงงันได้ แต่คนเจ็บแล้วก็ผู้ดูแลสามารถดูความแตกต่างได้ตามตารางนี้ อาการ ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ โรคภูมแพ้ ไข้ ไข้ต่ำๆหรือไม่มี มักมีไข้สูง อาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ไม่มีไข้ ปวดหัว ไม่ค่อยพบ พบได้ปกติ ไม่พบ ปวดเมื่อย กล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อาจมีอาการเล็กน้อย พบได้บ่อยและอาการรุนแรง ไม่พบ (อาจอ่อนเพลียหากพักผ่อนน้อย) น้ำมูกไหล คัดจมูก พบได้บ่อย ไม่ค่อยพบ พบได้บ่อย จาม พบได้บ่อย ไม่ค่อยพบ พบได้บ่อย เจ็บคอ พบได้บ่อย อาจพบได้บางครั้ง อาจพบได้บางครั้ง ไอ พบได้บ่อย พบได้บ่อย และมีความรุนแรงมากกว่า อาจพบได้บางครั้ง เจ็บหน้าอก อาบพบได้แต่อาการไม่รุนแรง พบได้บ่อย ไม่ค่อยพบ(ยกเว้นเป็นโรคหอบหืด) อาการ ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ โรคภูมิแพ้ สาเหตุการเกิด เกิดจากไวรัส (Rhinoviruses เป็นสาเหตุหลักประมาณ 30-50%) เกิดจากไวรัส (influenza virus type A and B) เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น อากาศเย็น/ร้อน ละอองเกสร การดูและการรักษา -พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ -ใช้ยาบรรเทาอากาต่างๆ เช่น ยาแก้คัดจมูก หรือยาลดไข้ -มักดีขึ้นและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ -พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ -ใช้ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาลดไข้พาราเซตามอบ (แต่ไม่ควรใช้ยากลุ่ม NSAIDs กรณีสงสัยไข้เลือดออกด้วย) -หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และอาจต้องได้รับยาต้านไวรัสตลอดจนการรักษาให้ถูกต้อง -หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ เช่นหลีกเลี่ยงฝุ่นอากาศเย็น -ใช้ยาบรรเทาอาการเช่นยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก -หากรุนแรงควรพบแพทยืเพื่อพิจารณาใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก การป้องกัน -หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย -ใส่หน้ากากอนามัย -ไม่มีวัคซีนป้องกัน -หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย -ใส่หน้ากากอนามัย -ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ แล้วก็ในขณะที่มีอาการป่วยเป็นหวัด ผู้เจ็บป่วยหรือผู้ดูแล (ในเด็กตัวเล็กๆ) ควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิด แล้วก็ควรจะรีบไปพบแพทย์ทันทีถ้ามีลักษณะอาการดังนี้ คนแก่ ไข้สูงเกินกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ติดต่อกันเกิน 5 วันขึ้นไป กลับมาเป็นไข้ซ้ำภายหลังลักษณะของการมีไข้หายแล้ว หายใจหอบเหนื่อย รวมทั้งหายใจมีเสียงหวีด เจ็บคออย่างหนัก ปวดศีรษะ หรือมีลักษณะอาการปวดรอบๆไซนัส เด็ก จับไข้สูงยิ่งกว่า 38 องศาเซลเซียส ในทารก-12 อาทิตย์ มีลักษณะอาการไข้สูงต่อเนื่องกันมากกว่า 2 วัน อาการต่างๆของหวัดร้ายแรงเพิ่มมากขึ้น หรือรักษาแล้วอาการเกิดขึ้นอีก มีลักษณะปวดหัว หรือไออย่างรุนแรง หายใจมีเสียงหวีด เด็กมีลักษณะงอแงอย่างหนัก ง่วงงุนมากมายผิดปกติ ความอยากอาหารลดลง ปฏิเสธประทานอาหาร ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหวัด คนที่มีปัจจัยเสี่ยงดังนี้ มักไม่สบายหวัดได้ง่ายกว่าคนธรรมดา ตัวอย่างเช่น
แนวทางการรักษาโรคหวัด โดยธรรมดาผู้ป่วย (คนแก่) สามารถวินิจฉัยโรคหวัดเองได้ จากอาการที่แสดง แต่ว่าถ้าผู้ป่วยไปพบแพทย์ หมอจะวินิจฉัยโรคหวัดได้จากอาการที่แสดง เรื่องราวระบาดของโรค ฤดู และก็จากการตรวจร่างกาย อย่างเช่น อาการไข้ มีน้ำมูก เยื่อจมูกบวมแล้วก็แดง คอแดงน้อย ส่วนในเด็กบางทีอาจพบต่อมทอนซิลโต แต่ว่าไม่แดงมาก และไม่มีหนอง แม้กระนั้นในคนป่วยที่มีลักษณะรุนแรง เช่น ไข้สูง หมออาจมีการพิสูจน์เลือดซีบีซี (CBC) เพื่อแยกว่าเป็นการติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสหรือติดโรคแบคทีเรีย และอาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆเสริมเติมตามดุลพินิจของแพทย์ ได้แก่ การพิสูจน์เลือดมองค่าเกล็ดเลือดเพื่อแยกจากโรคไข้เลือดออก ฯลฯ เนื่องมาจากไข้หวัดมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ เพียงแต่ให้การรักษาไปตามอาการแค่นั้น ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขอาการที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นหมอจะจ่ายยาที่เป็น ยาสามัญประจำบ้านเพื่อทุเลาอาการก่อน เช่นพาราเซตามอล (paracetamol) สำหรับลดไข้ คลอเฟนนิรามีน (chlorpheniramine) สำหรับลดน้ำมูก และก็จะชี้แนะให้พักให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นเพื่อละลายเสลด การกินน้ำมากมายๆและก็การเช็ดตัวจะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายได้ โดยทั่วไปยาที่ใช้เมื่อเป็นหวัดจะเป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาตามอาการ เหตุเพราะไม่มีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสก่อโรคโดยตรง รวมทั้งเมื่ออาการแล้วก็สามารถหยุดใช้ยาได้ ยาที่นิยมใช้ทั่วไปเมื่อเป็นหวัดมีดังนี้
ในกรุ๊ปของยาลดน้ำมูกนั้น สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 กรุ๊ป คือยาแก้คัดจมูก ออกฤทธิ์โดยการยุบเส้นเลือด ทำให้อาการคัดจมูกต่ำลง แบ่งเป็น
ยาลดน้ำมูก ออกฤทธิ์โดยการหยุดยั้งผลของฮีสตามีน (histamine) ซึ่งมีผลทำให้การหลั่งน้ำมูกลดลง แต่ว่าจะได้ผลน้อยกับอาการคัดจมูก สามารถแบ่งย่อย เป็น 2 กรุ๊ปเป็น
ฉะนั้นก็เลยต้องหาที่มาของการไอ และปรับแต่งให้ถูกจุด ถ้าเกิดผู้เจ็บป่วยใช้ยาแก้ไอไม่ถูกกับที่มาของอาการไอที่เป็นอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ใช้ยากดการไอในเรื่องที่การไอเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเสลด นอกจากเสมหะจะกัดกันฟุตบาทหายใจแล้ว ร่างกายก็ยังไม่สามารถขับเสลดออกโดยการไอได้อีกด้วย
แต่ว่าการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่สม่ำเสมอ และไม่ครบตามจำนวนที่กำหนด นอกจากคนไข้จะไม่หายจากอาการที่เป็นอยู่ ยังเป็นการสนับสนุนให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา และก็อาจไม่มียาปฏิชีวนะสำหรับรักษาลักษณะของผู้ป่วยในอนาคต การติดต่อของโรคหวัด โรคไข้หวัดเป็นโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจ โดยเชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสลดของคนเจ็บ ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสลดที่ผู้เจ็บป่วยไอหรือจามรด ด้านในระยะไม่เกิน 1 เมตร นอกเหนือจากนี้ เชื้อหวัดยังบางทีอาจติดต่อโดยการสัมผัส พูดอีกนัยหนึ่ง เชื้อหวัดบางทีอาจติดที่มือของคนเจ็บ สิ่งของ ของใช้ อาทิเช่น ผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดตัว ถ้วยน้ำ จาน จานชาม ของเล่นเด็ก หนังสือ โทรศัพท์ หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ลูกบิดประตู โต๊ะ เก้าอี้ เมื่อคนธรรมดาสัมผัสถูกมือของคนเจ็บ สิ่งของเครื่องใช้หรือสภาพแวดล้อมที่ด่างพร้อยเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคนคนนั้น และก็เมื่อเผลอใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคนคนนั้น จนถึงกลายเป็นหวัดได้ ส่วนระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ผู้เจ็บป่วยรับเชื้อเข้าไปจวบจนกระทั่งออกอาการ) : ประมาณ 1-3 วัน โดยเฉลี่ย รวมทั้งมักมีลักษณะอาการรุนแรงที่สุดในตอน 2-3 ครั้งหน้าเริ่มมีลักษณะอาการ (https://www.img.in.th/images/0adbc1636695f4dabed1d3a93bcd26fc.jpg) การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคหวัด คำแนะนำการกระทำตัวของคนป่วยมีดังนี้
การปกป้องตัวเองจากโรคหวัด รักษาสุขอนามัยเบื้องต้น เพื่อให้มีสุขภาพทางร่างกายแข็งแรง ทานอาหารมีสาระห้าหมู่ทุกๆวัน เพื่อให้มีสุขภาพด้านร่างกายแข็งแรง ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละอย่างน้อย 6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคจำเป็นต้องจำกัดน้ำ พักผ่อนให้พอเพียงเสมอๆ ไม่ไปในที่แออัดคับแคบ ดังเช่น ศูนย์การค้า ในตอนที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดรู้จักใช้หน้ากากอนามัยเมื่อต้องไปในเขตที่มีคนพลุลนลานหรือไปโรงหมอ รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่มีอากาศเปลี่ยนแปลงไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่มีอากาศเย็น อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับคนเจ็บ หากจำเป็นจะต้องดูแลผู้เจ็บป่วยอย่างใกล้ชิด ควรใส่หน้ากากอนามัยและก็หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (อาทิเช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้สำหรับเช็ดตัว ถ้วยน้ำ โทรศัพท์ ของเด็กเล่น ฯลฯ) ร่วมกับคนป่วย รวมทั้งควรจะหลบหลีกการสัมผัสมือคนป่วย สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/รักษาโรคหวัด
ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาแคปซูล ยาเม็ด ที่มีผงฟ้าทะลายมิจฉาชีพแห้ง 250 มิลลิกรัม และ 500 มิลลิกรัม o ทุเลาลักษณะการเจ็บคอ กินวันละ 3 – 6 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก็ก่อนนอน o บรรเทาอาการหวัด รับประทานวันละ 1.5 – 3 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังรับประทานอาหารและก็ก่อนนอน
|