หัวข้อ: โรคถุงลมโป่งพอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: Chaiworn998 ที่ เมษายน 26, 2018, 09:16:17 am (https://www.img.in.th/images/ae31d190a1457540fabef6e40c992e80.jpg)
โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) โรคถุงลมโป่งพอง [/color]คืออะไร โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) เป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มของโรคปอดอุดกันเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) ซึ่งโรคปอดอุดกันเรื้อรัง จะประกอบไปด้วยโรคหลอดลมอักเสบและถุงลมโป่งพอง โดยธรรมดาแล้วจะพบลักษณะของ 2 โรคนี้ด้วยกัน แต่ว่าหากตรวจเจอว่าปอดมีพยาธิภาวะของถุงลมที่โป่งพองออกเป็นลักษณะเด่น ก็จะเรียกว่า “โรคถุงลมโป่งพอง” ซึ่งก็คือ ภาวการณ์ทุพพลภาพอย่างคงทนของถุงลมในปอด ซึ่งมีเหตุมาจากฝาผนังถุงลมเสียความยืดหยุ่นรวมทั้งเปราะง่าย ทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่สำหรับการแลกเปลี่ยนอากาศ และฝาผนังของถุงลมที่เปราะยังมีการแตกทะลุ ทำให้มีถุงลมขนาดเล็กๆหลายๆอันรวมตัวเป็นถุงลมที่โป่งพองแล้วก็ทุพพลภาพ นำมาซึ่งการทำให้ปริมาณผิวของถุงลมที่ยังปฏิบัติภารกิจได้ทั้งปวงลดลงกว่าธรรมดา รวมทั้งมีอากาศข้างในปอดมากยิ่งกว่าปกติเป็นผลให้ออกสิเจนจึงเข้าสู่กระแสโลหิตไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยลง คนเจ็บจึงมีลักษณะหายใจตื้นและเกิดอาการเหนื่อยง่ายตามมา โรคนี้ชอบพบในผู้สูงวัย (ช่วงอายุ 45-65 ปี) พบในผู้ชายได้มากกว่าเพศหญิง และก็พบได้ทั่วไปร่วมกับโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังรวมทั้งแยกออกจากกันยาก ผู้ป่วยจำนวนมากจะมีประวัติการสูบบุหรี่จัด มานานเป็น 10-20 ปีขึ้นไป หรือไม่ก็มีประวัติอยู่การได้รับมลพิษทางอากาศในปริมาณมากแล้วก็ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆไม่ว่าจะเป็นอากาศเสีย ฝุ่นละออง ควัน หรือมีอาชีพปฏิบัติงานในโรงงานหรือเหมืองที่หายใจเอาสารระคายเข้าไปบ่อยๆ โรคถุงลมโป่งพอง เป็นโรคที่พบบ่อยแล้วก็เป็นต้นเหตุลำดับหนึ่งของการตายในมวลชนทั้งโลก โดยในประเทศอเมริกาพบเป็นลำดับที่ 4 ของสาเหตุการตายของประชาชน ถ้าหากนับเฉพาะโรคถุงลมโป่งพอง อัตราการพบโรคเป็น18 คน ในมวลชน 1,000 คน ส่วนเหตุการณ์ปัจจุบันของถุงลมโป่งพองในประเทศไทย มีทิศทางสูงขึ้นเป็นลำดับเช่นเดียวกันกับทั้งโลก และเป็นเลิศในสิบ ต้นเหตุของการตาย ของราษฎรไทย จึงนับเป็นโรคที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศไทยอีกโรคหนึ่ง ต้นเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง มูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดถุงลมโป่งพอง เป็นการสูบบุหรี่ แต่ว่าจากการเล่าเรียนพบว่าผู้ที่ดูดบุหรี่ได้โอกาสเป็นถุงลมโป่งพองมากกว่าผู้ที่มิได้สูบบุหรี่มากถึง 6 เท่า ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ มักมีประวัติดูดบุหรี่จัด (มากยิ่งกว่าวันละ 20 มวน) นาน 10-20 ปีขึ้นไป สารพิษในยาสูบจะค่อยๆทำลายเยื่อบุหลอดลมแล้วก็ ถุงลมในปอด ทีละน้อยๆ ใช้เวลานานนับสิบๆปี จนในที่สุดถุงลมปอดพิการ คือสูญเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการแลกอากาศ (นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นอากาศเสียออกมาจากร่างกาย และนำออกสิเจนซึ่งเป็นอากาศดีไปสู่ร่างกาย โดยผ่านทางระบบทางเท้าหายใจ) กำเนิดอาการหอบเหนื่อยง่าย รวมทั้งเกิดโรคติดเชื้อของปอดซ้ำๆซากๆ เว้นแต่บุหรี่ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคนี้แล้ว ผู้ป่วยส่วนน้อยยังอาจเป็นเพราะต้นสายปลายเหตุอื่น อย่างเช่น มลภาวะกลางอากาศ การหายใจเอามลภาวะกลางอากาศ ดังเช่นว่า ควันจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง ไอเสียรถยนต์ จะเพิ่มการเสี่ยงให้เกิดถุงลมโป่งพอง เพราะเหตุว่าพบว่าพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆจะมีอัตราการป่วยเป็นโรคปอดอุดกันเรื้อรังซึ่งรวมถึงโรคถุงลมโป่งพองได้มากกว่าพลเมืองที่อาศัยอยู่ในชนบท มลภาวะที่เกิดขึ้นทางอากาศจึงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากมายก็น้อย ควันที่มีพิษหรือสารเคมีจากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นผงหรือควันที่มีพิษที่มีส่วนประกอบของสารเคมีหรือฝุ่นผงจากไม้ ฝ้าย หรือการทำบ่อแร่ ถ้าหายใจเข้าไปในจำนวนที่มากและเป็นระยะเวลานาน ก็มีโอกาสในการเสี่ยงที่ก่อให้เกิดถุงลมโป่งพองได้มากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มจังหวะมากขึ้นไปอีกแม้เป็นผู้ที่สูบบุหรี่ ภาวการณ์พร่องสารต้านทานทริปซิน (α1-antitrypsin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีป้องกันการถูกทำลายของเยื่อเกี่ยวข้องจากสารต่างๆก็เลยช่วยคุ้มครองไม่ให้ถุงลมปอดถูกสารพิษ สภาวะนี้จัดเป็นโรคทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดไปสู่บุตรหลานได้ ซึ่งโรคทางพันธุกรรมจำพวกนี้ส่วนมากจะพบในคนเชื้อชาติผิวขาว มักเกิดอาการในกลุ่มคนเจ็บที่แก่ต่ำกว่า 40-50 ปี และคนไข้ชอบไม่ดูดบุหรี่ อย่างไรก็ตาม ภาวการณ์นี้ก็เจอเกิดได้น้อยมากคือราว 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งสิ้น ลักษณะโรคถุงลมโป่งพอง ระยะเริ่มต้นจะมีอาการของหลอดลมอักเสบเรื้อรัง กล่าวอีกนัยหนึ่งจะมีอาการไอมีเสมหะเรื้อรังเป็นนานเป็นเดือนๆนานแรมปี คนไข้ชอบไอหรือขากเสมหะในคอภายหลังจากตื่นนอนเวลาเช้าเสมอๆ จนกระทั่งนึกว่าคือเรื่องธรรดาและไม่ได้ใส่ใจรักษา ต่อมาจะเริ่มไอถี่ขึ้นตลอดทั้งวัน แล้วก็มีเสลดเยอะๆ ในระยะแรกเสมหะมีสีขาว ต่อมาบางครั้งก็อาจจะแปลงเป็นสีเหลืองหรือเขียว เป็นไข้ หรือหอบอ่อนแรงเป็นบางครั้งจากโรคติดเชื้อสอดแทรก นอกเหนือจากอาการไอเรื้อรังดังที่กล่าวผ่านมาแล้วแล้ว คนป่วยจะมีอาการอิดโรยง่ายเวลาออกแรงมากมาย อาการหอบอิดโรยจะค่อยๆเป็นมากขึ้น แม้แต่เวลาเดินตามปกติ เวลาพูดหรือทำกิจกรรมนิดๆหน่อยๆในชีวิตประจำวันก็จะรู้สึกเมื่อยล้าง่าย ถ้าคนเจ็บยังดูดบุหรี่ถัดไป ท้ายที่สุดอาการจะร้ายแรง จนกระทั่งแม้กระทั้งอยู่เฉยๆก็รู้สึกหอบอิดโรย ดังนี้เนื่องจากถุงลมปอดพิการอย่างรุนแรง ไม่สามารถที่จะปฏิบัติภารกิจแลกเปลี่ยนอากาศ นำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายให้เกิดพลังงาน คนป่วยมักมีลักษณะกำเริบหนักเป็นครั้งคราว เพราะมีการติดโรค (หลอดลมอักเสบ ปอด) แทรก ทำให้จับไข้ ไอมีเสมหะเหลืองหรือเขียว หายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ดๆตัวเขียว จนถึงจะต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เมื่อเป็นถึงกับขนาดระยะร้ายแรง คนเจ็บมักมีลักษณะไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด รูปร่างผอมแห้งแรงน้อย มีอาการหอบอ่อนแรง อยู่ตลอดเวลา มีลักษณะระทมทุกข์แสนสาหัสแล้วก็อาจเสียชีวิตได้จากโรคแทรก นอกเหนือจากนี้ ในบางรายบางทีอาจพบว่ามีริมฝีปากหรือเล็บเป็นสีคล้ำออกม่วงเทาหรือฟ้าเข้มเนื่องมาจากขาดออกสิเจน หรือแม้มีอาการหายใจตื้นเป็นระยะเวลาที่ยาวนานนับเป็นเวลาหลายเดือนแล้วก็มีอาการที่ห่วยลงอีกด้วย ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเป็น
ขั้นตอนการรักษาโรคถุงลมโป่งพอง การวิเคราะห์โรคถุงลมโป่งพอง แพทย์จะอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง อย่างเช่น ประวัติสัมผัสสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ร่วมกับ อาการ ผลการตรวจร่างกาย ภาพรังสีหน้าอก รวมทั้งยืนยันการวิเคราะห์ด้วย spirometry ดังลักษณะที่กำลังจะกล่าวต่อไปนี้ อาการ จำนวนมากผู้ป่วยที่มาพบแพทย์จะมีอาการเมื่อพยาธิสภาพขยายไปมากแล้ว อาการที่ตรวจเจอ ดังเช่น หอบ เหนื่อยซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อยไอเรื้อรังหรือมีเสลดโดยยิ่งไปกว่านั้นในตอนเวลาเช้า อาการอื่นที่เจอได้เป็นแน่น หน้าอก หรือหายใจมีเสียงหวีด การตรวจทางรังสีวิทยา ภาพรังสีหน้าอกมีความไวน้อยสำหรับการวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง แม้กระนั้นมี ความสำคัญในการแยกโรคอื่น ในผู้เจ็บป่วย emphysema อาจเจอลักษณะ hyperinflation คือ กะบังลมแบน ราบและก็หัวใจมีขนาดเล็กมีอากาศในปอดมากกว่าธรรมดา ในผู้ป่วยที่มี corpulmonale จะพบว่าหัวใจห้องขวา และ pulmonary trunk มี ขนาดโตขึ้น แล้วก็ peripheral vascular marking น้อยลง การตรวจสมรรถภาพปอด Spirometry มีความสำคัญสำหรับในการวินิจฉัยโรคนี้มาก แล้วก็สามารถจัดระดับความรุนแรงของโรคได้ด้วย โดยการตรวจ spirometry นี้จะต้องตรวจเมื่อผู้ป่วยมีลักษณะคงที่ (stable) และไม่มีลักษณะอาการกำเริบเสิบสานของโรคอย่างต่ำ 1 เดือน การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะที่ผู้เจ็บป่วยยังไม่มีอาการ โดยหมอจะให้คนป่วยหายใจเข้าให้เต็มกำลัง แล้วเป่าลมหายใจออกอย่างรวดเร็วผ่านเครื่องสไปโรมิเตอร์ (Spirometry) แล้ววัดมองค่า FEV1 (Forced expiratory volume in 1 second) ซึ่งก็คือ ปริมาตรอากาศที่หายใจออกใน 1 วินาที และค่า FVC (Forced vital capacity) ซึ่งหมายถึง ปริมาตรอากาศที่หายใจออกทั้งปวงจนสุดอย่างเต็ม 1 ครั้ง จะเจอลักษณะของ airflow limitation โดยค่า FEV1 / FVC หลังให้ยาขยายหลอดลมน้อยกว่าปริมาณร้อยละ 70 แล้วก็แบ่งความรุนแรงเป็น 4 ระดับ โดยใช้ค่า FEV1 หลังให้ยาขยายหลอดลม (https://www.img.in.th/images/e711eea7d3de61c4a94cb6d3ac3d2b70.gif) การตรวจด้วยเครื่องตวงออกสิเจนปลายนิ้ว (Pulse oximetry) เป็นการตรวจเพื่อวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ซึ่งในผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองมักจะมีออกซิเจนในเลือดต่ำหมายถึงวัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดได้น้อยกว่าปกติ เหตุเพราะร่างกายไม่ได้รับออกสิเจนอย่างเพียงพอ (โดยค่าธรรมดาจะอยู่ที่ 96-99% ถ้าเกิดต่ำกว่านี้ผู้เจ็บป่วยจะรู้สึกอ่อนล้าอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ) การตรวจค้นระดับสารทริปซินในเลือด ถ้าเกิดคนไข้ที่เป็นโรคถุงลมโป่งพองมีอายุน้อยกว่า 40-50 ปี มูลเหตุอาจมาจากภาวการณ์พร่องสารต่อต้านทริปซินซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมได้ ผู้ป่วยก็เลยจึงควรตรวจค้นปริมาณ α1-antitrypsin ในเลือด การดูแลและรักษา เพื่อทรงสภาพร่างกายปัจจุบันนี้ให้เยี่ยมที่สุด รวมทั้งเพื่อ ลดการเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มี หลัก 4 ประการเป็น การหลบหลีกสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง การดูแลและรักษา stable COPD การวัดและติดตามโรค การดูแลและรักษาสภาวะกําเริบทันควันของโรค (acute exacerbation)
การให้ข้อมูลที่เหมาะสมเกี่ยวกับโรค แล้วก็แผนการรักษาแก่คนป่วยและก็ญาติ จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ คนไข้มีทักษะในการศึกษาการใช้ชีวิตกับโรคนี้ดีขึ้น แล้วก็สามารถคิดแผนชีวิตในกรณีที่โรคดำเนินไปสู่ระยะท้ายที่สุด (end of life plan) การดูแลและรักษาด้วยยา การใช้ยามีจุดหมายเพื่อทุเลาอาการ ลดการกำเริบ และก็เพิ่มคุณภาพชีวิต ปัจจุบันยังไม่มียาประเภทใดที่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสามารถลดอัตราการตาย แล้วก็ชะลออัตราการต่ำลงของสมรรถนะปอดได้ ซึ่งการดูแลรักษาดัวยยา จะประกอบด้วยยาต่างๆอย่างเช่น ยาขยายหลอดลม ยากลุ่มนี้ทำให้อาการและก็ความสามารถการทำงานของผู้ป่วยดียิ่งขึ้น ลดความถี่แล้วก็ความรุนแรงของการกำเริบ เริ่มคุณภาพชีวิตทำให้สถานะสุขภาพโดยรวมของคนไข้ดียิ่งขึ้น ถึงแม้ผู้เจ็บป่วยบางรายอาจจะมีการโต้ตอบต่อยาขยายหลอดลมตามเกณฑ์การตรวจ spirometry ก็ตาม ยาขยายหลอดลมที่ใช้ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ β2-agonist, anticholinergic แĈะ xanthine derivative การบริหารขยายหลอดลม ชี้แนะให้ใช้วิธีสูดพ่น (metered-dose หรือ dry-powder inhaler) เป็นขั้นแรกเนื่องด้วยมีประสิทธิภาพสูงแล้วก็ผลข้างเคียงน้อย ICS ถึงแม้ว่าการให้ยา ICS อย่างต่อเนื่องจะไม่อาจจะชะลอการลดน้อยลงของค่า FEV แต่สามารถทำให้สถานะสุขภาพแข็งแรงขึ้น แล้วก็ลดการกำเริบของโรคในผู้ป่วยกรุ๊ปที่มีลักษณะร้ายแรงแล้วก็ที่มีอาการกำเริบเสิบสานบ่อยมาก ยาผสม ICS รวมทั้ง LABA ประเภทสูด มีหลักฐานว่ายาผสมกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพเหนือกว่ายา LABA หรือยา ICS ประเภทสูดผู้เดียวๆโดยยิ่งไปกว่านั้นในผู้เจ็บป่วยขั้นร้ายแรงแล้วก็มีอาการกำเริบบ่อยๆแม้กระนั้นก็ยังมีความโอนเอียงที่จะกำเนิดปอดอักเสบสูงขึ้นด้วยเหมือนกัน Xanthine derivatives มีคุณประโยชน์แต่ว่าเกิดผลข้างๆได้ง่าย จะต้องไตร่ตรองเลือกยาขยายหลอดลมกรุ๊ปอื่นก่อน ทั้งนี้ ประสิทธิภาพของยากลุ่มนี้ได้จากการเรียนรู้ยาจำพวกที่เป็น sustained-release เพียงแค่นั้น การรักษาอื่นๆวัคซีน เสนอแนะให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง ช่วงเวลาที่เหมาะสมเป็น เดือนมีนาคม – เมษายน แต่ว่าบางทีอาจให้ได้ตลอดทั้งปี การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด (pulmonary rehabilitation) มีวัตถุประสงค์เพื่อลดลักษณะของโรค เพิ่มคุณภาพชีวิต และเพิ่มความสามารถสำหรับในการทำกิจวัตรประจำวัน ซึ่งการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดนี้ ต้องครอบคลุมทุกปัญหาที่เกี่ยวเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น สภาพของกล้าม สภาพอารมณ์แล้วก็จิตใจ สภาวะโภชนาการเป็นต้น ให้การบำบัดรักษาด้วยออกสิเจนระยะยาว การดูแลรักษาโรคการผ่าตัด และก็/หรือ หัตถการพิเศษ คนไข้ที่ได้รับการดูแลรักษาด้วยยา รวมทั้งการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ยังควบคุมอาการมิได้ ควรส่งต่ออายุรแพทย์ผู้ที่มีความชำนาญโรคระบบการหายใจ เพื่อประเมินการดูแลและรักษาโดยการผ่าตัด ยกตัวอย่างเช่น Bullectomy การผ่าตัดเพื่อลดปริมาตรปอด (lung volume reduction surgery) การใส่วัสดุอุปกรณ์ในหลอดลม (endobronchial valve) การผ่าตัดแปลงปอด การประเมินและติดตามโรค สำหรับในการให้คะแนนการดูแลและรักษาควรมีการวัด อาการคนไข้ (subjective) แล้วก็ผลของการตรวจ (objective) อาจประเมินทุก 1-3 เดือนตามความเหมาะสม ดังนี้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรครวมทั้งต้นเหตุทางเศรษฐสังคม ทุกครั้งที่พบแพทย์ ควรติดตามอาการ อาการเหนื่อยหอบ บริหารร่างกาย ความถี่ของกการกำเริบของโรค อาการแสดงของการหายใจไม่สะดวก รวมทั้งการคาดการณ์วิธีการใช้ยาสูด ทุก 1 ปี ควรจะวัด spirometry ในผู้เจ็บป่วยที่มีอาการเหน็ดเหนื่อยรุกรามกิจวัตรประจำวันประจําวัน ควรวัด BODE Index, 6 minute walk distance, ระดับ oxygen saturation หรือ arterial blood gases การดูแลและรักษาภาวะกำเริบเสิบสานฉับพลันของโรค (acute exacerbation) การกำเริบฉับพลันของโรค หมายถึง สภาวะที่มีอาการอ่อนแรงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมในระยะเวลาอันสั้น (เป็นวันถึงอาทิตย์) แล้วก็/หรือ มีปริมาณเสลดเพิ่มขึ้น หรือมีเสมหะเปลี่ยนสี (purulent sputum) โดยต้องแยกจากโรคหรือภาวการณ์อื่นๆยกตัวอย่างเช่น หัวใจล้มเหลว pulmonary embolism, pneumonia, pneumothorax การติดต่อของโรคถุงลมโป่งพอง โรคถุงลมโป่งพองมีเหตุมาจาก เยื่อบุหลอดลมและถุงลมในปอดถูกทำลายโดยสารพิษต่างๆอย่างเช่น พิษในควันบุหรี่ , มลพิษที่มีต้นเหตุมากจากอาการรวมทั้งสารเคมี ที่เราสูดเข้าไป เป็นระยะเวลานานรวมทั้งในปริมาณที่มาก ซึ่งโรคถุงลมโป่งพองไม่ได้มีการติดต่อ จากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด แม้กระนั้นอาจเจอได้ว่าเป็นผลมาจากพันธุกรรม (สภาวะผิดพลาดสารต่อต้านทริปซีน (a1-antitrypsin)) แต่พบได้น้อยมาก ราวๆ 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งผอง การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง
Tags : โรคถุงลม หัวข้อ: Re: โรคถุงลมโป่งพอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: boiopil020156889 ที่ เมษายน 30, 2018, 11:34:54 am โรคถุงลมโป่งพอง,การรักโรคถุงลมโป่งพอง disthai.com
|