หัวข้อ: โรคถุงลมโป่งพอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ เมษายน 26, 2018, 12:37:53 pm (https://www.img.in.th/images/ae31d190a1457540fabef6e40c992e80.jpg)
โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) โรคถุงลมโป่งพอง [/color]เป็นอย่างไร โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) เป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มของโรคปอดอุดกันเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) ซึ่งโรคปอดอุดกันเรื้อรัง จะประกอบไปด้วยโรคหลอดลมอักเสบรวมทั้งถุงลมโป่งพอง โดยปกติแล้วจะพบลักษณะของ 2 โรคนี้ด้วยกัน แต่ถ้าตรวจเจอว่าปอดมีพยาธิภาวะของถุงลมที่โป่งพองออกเป็นคุณลักษณะเด่น ก็จะเรียกว่า “โรคถุงลมโป่งพอง” ซึ่งก็คือ สภาวะทุพพลภาพอย่างคงทนของถุงลมในปอด ซึ่งมีต้นเหตุมาจากผนังถุงลมเสียความยืดหยุ่นรวมทั้งเปราะง่าย ทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่สำหรับในการแลกเปลี่ยนอากาศ และก็ฝาผนังของถุงลมที่เปราะยังมีการแตกทะลุ ทำให้มีถุงลมขนาดเล็กๆหลายๆอันรวมตัวเป็นถุงลมที่โป่งพองแล้วก็พิการ นำมาซึ่งการทำให้จำนวนพื้นผิวของถุงลมที่ยังปฏิบัติภารกิจได้ทั้งปวงต่ำลงกว่าธรรมดา รวมทั้งมีอากาศภายในปอดมากยิ่งกว่าธรรมดาได้ผลสำเร็จให้ออกสิเจนจึงเข้าสู่กระแสเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยลง ผู้ป่วยก็เลยมีลักษณะหายใจตื้นและเกิดอาการเหนื่อยง่ายตามมา โรคนี้มักจะเจอในคนวัยแก่ (ช่วงอายุ 45-65 ปี) พบในผู้ชายได้มากกว่าผู้หญิง แล้วก็พบมากร่วมกับโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังแล้วก็แยกออกมาจากกันยาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประวัติการสูบบุหรี่จัด มานานเป็น 10-20 ปีขึ้นไป หรือไม่ก็มีประวัติอยู่การได้รับมลภาวะทางอากาศในปริมาณมากและก็ติดต่อกันนานๆไม่ว่าจะเป็นอากาศเสีย ฝุ่นผง ควัน หรือมีอาชีพดำเนินงานในโรงงานหรือบ่อแร่ที่หายใจเอาสารระคายเข้าไปเป็นประจำ โรคถุงลมโป่งพอง เป็นโรคที่มักพบรวมทั้งเป็นต้นเหตุอันดับหนึ่งของการตายในประชากรทั่วโลก โดยในประเทศสหรัฐฯพบเป็นลำดับที่ 4 ของปัจจัยการเสียชีวิตของราษฎร หากนับเฉพาะโรคถุงลมโป่งพอง อัตราการพบโรคหมายถึง18 คน ในพลเมือง 1,000 คน ส่วนเหตุการณ์ปัจจุบันนี้ของถุงลมโป่งพองในประเทศไทย มีลักษณะท่าทางสูงขึ้นเป็นลำดับเช่นเดียวกันกับทั่วทั้งโลก และก็เป็นเลิศในสิบ ต้นเหตุของการตาย ของประชาชนไทย ก็เลยนับเป็นโรคที่คือปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศไทยอีกโรคหนึ่ง ต้นเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้มีการเกิดถุงลมโป่งพอง คือการสูบยาสูบ แต่จากการเรียนรู้พบว่าคนที่ดูดบุหรี่ได้โอกาสเป็นถุงลมโป่งพองมากยิ่งกว่ามิได้ดูดบุหรี่สูงถึง 6 เท่า ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ มักมีประวัติสูบบุหรี่จัด (มากยิ่งกว่าวันละ 20 มวน) นาน 10-20 ปีขึ้นไป สารพิษในยาสูบจะเบาๆทำลายเยื่อบุหลอดลมรวมทั้ง ถุงลมในปอด ทีละน้อยๆ ใช้เวลานานนับสิบๆปี กระทั่งสุดท้ายถุงลมปอดพิการ เป็นสูญเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการเปลี่ยนอากาศ (นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นอากาศเสียออกมาจากร่างกาย แล้วก็นำออกสิเจนซึ่งเป็นอากาศดีไปสู่ร่างกาย โดยผ่านทางระบบฟุตบาทหายใจ) เกิดอาการหอบอ่อนล้าง่าย รวมทั้งกำเนิดโรคติดเชื้อของปอดซ้ำซาก เว้นเสียแต่ยาสูบซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคนี้แล้ว ผู้เจ็บป่วยส่วนน้อยยังอาจเกิดขึ้นจากต้นเหตุอื่น ตัวอย่างเช่น มลภาวะกลางอากาศ การหายใจเอามลพิษในอากาศ ดังเช่น ควันจากการเผาไหม้ที่เกิดจากเชื้อเพลิง ไอเสียรถยนต์ จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดถุงลมโป่งพอง เนื่องจากว่าพบว่าพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆจะมีอัตราการป่วยเป็นโรคปอดอุดกันเรื้อรังซึ่งรวมถึงโรคถุงลมโป่งพองได้มากกว่าสามัญชนที่อาศัยอยู่ในชนบท มลภาวะทางอากาศก็เลยน่าจะมีความเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย ควันพิษหรือสารเคมีจากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นหรือควันที่มีพิษที่มีส่วนประกอบของสารเคมีหรือฝุ่นจากไม้ ฝ้าย หรือวิธีการทำเหมือง หากหายใจเข้าไปในปริมาณที่มากรวมทั้งเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ก็มีแนวโน้มเสี่ยงที่นำไปสู่ถุงลมโป่งพองได้มากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสมากขึ้นไปอีกถ้าหากเป็นคนที่สูบบุหรี่ สภาวะพร่องสารต้านทริปซิน (α1-antitrypsin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีคุ้มครองป้องกันการเช็ดกทำลายของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันจากสารต่างๆก็เลยช่วยปกป้องไม่ให้ถุงลมปอดถูกสารพิษ ภาวการณ์นี้จัดเป็นโรคทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดไปสู่บุตรหลานได้ ซึ่งโรคทางพันธุกรรมชนิดนี้ส่วนมากจะพบในคนเชื้อชาติผิวขาว ชอบมีลักษณะอาการในกรุ๊ปคนไข้ที่แก่ต่ำกว่า 40-50 ปี และคนเจ็บมักจะไม่ดูดบุหรี่ แม้กระนั้น ภาวการณ์นี้ก็เจอเกิดได้น้อยมากคือโดยประมาณ 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งสิ้น อาการของโรคถุงลมโป่งพอง ระยะเริ่มต้นจะมีอาการของหลอดลมอักเสบเรื้อรัง กล่าวอีกนัยหนึ่งจะมีลักษณะไอมีเสมหะเรื้อรังเป็นนานเป็นเดือนๆแรมปี คนไข้ชอบไอหรือขากเสมหะในคอภายหลังตื่นเวลาเช้าเสมอๆ จนกระทั่งนึกว่าเป็นเรื่องปกติและไม่ได้เอาใจใส่รักษา ถัดมาจะเริ่มไอถี่ขึ้นตลอดวัน แล้วก็มีเสมหะเยอะมากๆ ในช่วงแรกเสลดมีสีขาว ถัดมาบางครั้งอาจจะแปลงเป็นสีเหลืองหรือเขียว จับไข้ หรือหอบเมื่อยล้าเป็นบางครั้งบางคราวจากโรคติดเชื้อสอดแทรก เว้นแต่อาการไอเรื้อรังดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะอ่อนเพลียง่ายเวลาออกแรงมาก อาการหอบอ่อนแรงจะเบาๆเป็นมากขึ้น แม้แต่เวลาเดินตามปกติ เวลาบอกหรือทำกิจกรรมเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันก็จะรู้สึกอ่อนเพลียง่าย ถ้าเกิดคนเจ็บยังสูบบุหรี่ถัดไป สุดท้ายอาการจะรุนแรง จนแม้แต่อยู่เฉยๆก็รู้สึกหอบเหนื่อย ดังนี้เนื่องด้วยถุงลมปอดพิการอย่างรุนแรง ไม่อาจจะปฏิบัติภารกิจแลกเปลี่ยนอากาศ นำออกสิเจนไปเลี้ยงร่างกายให้กำเนิดพลังงาน คนเจ็บมักมีลักษณะกำเริบหนักเป็นบางครั้งบางคราว ด้วยเหตุว่ามีการติดโรค (หลอดลมอักเสบ ปอด) แทรกซ้อน ทำให้จับไข้ ไอมีเสมหะเหลืองหรือเขียว หายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ดๆตัวเขียว จนจำต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เมื่อเป็นถึงขนาดระยะร้ายแรง คนเจ็บมักมีลักษณะอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด รูปร่างผอมแห้งแรงน้อย มีลักษณะอาการหอบเหน็ดเหนื่อย อยู่ตลอดระยะเวลา มีอาการระทมทุกข์แสนสาหัสและก็บางทีอาจเสียชีวิตได้จากโรคแทรกซ้อน ยิ่งไปกว่านั้น ในบางรายบางทีอาจพบว่ามีริมฝีปากหรือเล็บเป็นสีคล้ำออกม่วงเทาหรือฟ้าเข้มด้วยเหตุว่าขาดออกสิเจน หรือถ้าหากมีลักษณะหายใจตื้นเป็นเวลานานยาวนานหลายเดือนและมีลักษณะอาการที่ห่วยแตกลงอีกด้วย ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อกำเนิดโรคถุงลมโป่งพอง สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง แบ่งได้ 2 กรุ๊ปหมายถึง
ขั้นตอนการรักษาโรคถุงลมโป่งพอง การวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง แพทย์จะอาศัยส่วนประกอบหลายสิ่งหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น ความเป็นมาสัมผัสปัจจัยเสี่ยงดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ร่วมกับ อาการ ผลของการตรวจร่างกาย ภาพรังสีหน้าอก และก็รับรองการวินิจฉัยด้วย spirometry ดังอาการต่อไปนี้ อาการ จำนวนมากผู้เจ็บป่วยที่มาพบแพทย์จะมีลักษณะเมื่อพยาธิสภาพแพร่กระจายไปๆมาๆกแล้ว อาการที่ตรวจพบ ตัวอย่างเช่น หอบ เหน็ดเหนื่อยซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆไอเรื้อรังหรือมีเสลดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนเช้า อาการอื่นที่พบได้ คือ แน่น หน้าอก หรือหายใจมีเสียงหวีดร้อง การตรวจทางรังสีวิทยา ภาพรังสีทรวงอกมีความไวน้อยสำหรับการวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง แต่มี จุดสำคัญสำหรับเพื่อการแยกโรคอื่น ในคนไข้ emphysema บางทีอาจพบลักษณะ hyperinflationเป็นกะบังลมแบน ราบและก็หัวใจมีขนาดเล็กมีอากาศในปอดมากกว่าปกติ ในผู้เจ็บป่วยที่มี corpulmonale จะพบว่าหัวใจห้องขวา และ pulmonary trunk มี ขนาดโตขึ้น แล้วก็ peripheral vascular marking ลดลง การตรวจสมรรถภาพปอด Spirometry มีความจำเป็นในการวินิจฉัยโรคนี้มากมาย แล้วก็สามารถจัดระดับความรุนแรงของโรคได้ด้วย โดยการตรวจ spirometry นี้จะต้องตรวจเมื่อคนป่วยมีลักษณะอาการคงที่ (stable) และไม่มีลักษณะอาการกำเริบเสิบสานของโรคอย่างต่ำ 1 เดือน การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะที่ผู้เจ็บป่วยยังไม่มีอาการ โดยแพทย์จะให้ผู้เจ็บป่วยหายใจเข้าให้เต็มที่ แล้วเป่าลมหายใจออกอย่างรวดเร็วผ่านเครื่องสไปโรมิเตอร์ (Spirometry) แล้ววัดดูค่า FEV1 (Forced expiratory volume in 1 second) ซึ่งหมายถึง ปริมาตรอากาศที่หายใจออกใน 1 วินาที และก็ค่า FVC (Forced vital capacity) ซึ่งหมายถึง ขนาดอากาศที่หายใจออกทั้งหมดทั้งปวงจนสุดอย่างเต็ม 1 ครั้ง จะพบรูปแบบของ airflow limitation โดยค่า FEV1 / FVC ข้างหลังให้ยาขยายหลอดลมน้อยกว่าปริมาณร้อยละ 70 และแบ่งความรุนแรงเป็น 4 ระดับ โดยใช้ค่า FEV1 ข้างหลังให้ยาขยายหลอดลม (https://www.img.in.th/images/e711eea7d3de61c4a94cb6d3ac3d2b70.gif) การตรวจด้วยเครื่องตวงออกซิเจนปลายนิ้ว (Pulse oximetry) เป็นการตรวจเพื่อวัดความอิ่มตัวของออกสิเจนในเลือด ซึ่งในคนป่วยโรคถุงลมโป่งพองชอบมีออกซิเจนในเลือดต่ำเป็นวัดค่าความอิ่มตัวของออกสิเจนในเลือดได้น้อยกว่าธรรมดา เพราะร่างกายมิได้รับออกสิเจนอย่างเพียงพอ (โดยค่าธรรมดาจะอยู่ที่ 96-99% ถ้าหากต่ำลงมากยิ่งกว่านี้ผู้เจ็บป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ) การตรวจหาระดับสารทริปซินในเลือด ถ้าผู้ป่วยที่เป็นโรคถุงลมโป่งพองแก่น้อยกว่า 40-50 ปี ต้นสายปลายเหตุอาจมาจากสภาวะพร่องสารต่อต้านทริปสินซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมได้ คนป่วยจึงจำเป็นจะต้องตรวจหาจำนวน α1-antitrypsin ในเลือด การดูแลและรักษา เพื่อทรงสภาพร่างกายตอนนี้ให้ดีเยี่ยมที่สุด และก็เพื่อ ลดการเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประกอบด้วย หลัก 4 ประการเป็น การเลี่ยงหลีกสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง การดูแลรักษา stable COPD การประมาณรวมทั้งติดตามโรค การดูแลรักษาภาวการณ์กําเริบกะทันหันของโรค (acute exacerbation)
การให้ข้อมูลที่สมควรเกี่ยวกับโรค รวมทั้งแผนการรักษาแก่คนไข้แล้วก็พี่น้อง จะช่วยทำให้การดูแลและรักษามีประสิทธิภาพ คนไข้มีความชำนาญสำหรับเพื่อการเรียนรู้การใช้ชีวิตกับโรคนี้ดียิ่งขึ้น แล้วก็สามารถวางแผนชีวิตในเรื่องที่โรคดำเนินเข้าสู่ระยะสุดท้าย (end of life plan) การดูแลรักษาด้วยยา การใช้ยามีเป้าประสงค์เพื่อบรรเทาอาการ ลดการกำเริบ รวมทั้งเพิ่มคุณภาพชีวิต ปัจจุบันนี้ยังไม่มียาประเภทใดที่มีหลักฐานแจ่มชัดว่าสามารถลดอัตราการตาย แล้วก็ชะลออัตราการน้อยลงของความสามารถปอดได้ ซึ่งการดูแลและรักษาดัวยยา จะประกอบด้วยยาต่างๆยกตัวอย่างเช่น ยาขยายหลอดลม ยากลุ่มนี้ทำให้อาการและสมรรถนะแนวทางการทำงานของคนป่วยดีขึ้น ลดความถี่รวมทั้งความรุนแรงของการกำเริบ เริ่มคุณภาพชีวิตทำให้สถานะสุขภาพโดยรวมของคนเจ็บดียิ่งขึ้น ถึงแม้ผู้ป่วยบางรายอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการโต้ตอบต่อยาขยายหลอดลมตามเกณฑ์การตรวจ spirometry ก็ตาม ยาขยายหลอดลมที่ใช้ แบ่งได้ 3 กลุ่มเป็นβ2-agonist, anticholinergic แĈะ xanthine derivative การจัดการขยายหลอดลม เสนอแนะให้ใช้แนวทางสูดพ่น (metered-dose หรือ dry-powder inhaler) เป็นขั้นแรกด้วยเหตุว่ามีคุณภาพสูงแล้วก็ผลกระทบน้อย ICS ถึงแม้ว่าการให้ยา ICS อย่างต่อเนื่องจะไม่สามารถที่จะชะลอการต่ำลงของค่า FEV แต่สามารถทำให้สถานะสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงขึ้น รวมทั้งลดการกำเริบของโรคในคนป่วยกรุ๊ปที่มีอาการรุนแรงแล้วก็ที่มีอาการกำเริบบ่อยครั้ง ยาผสม ICS รวมทั้ง LABA ชนิดสูด มีหลักฐานว่ายาผสมกลุ่มนี้มีคุณภาพเหนือกว่ายา LABA หรือยา ICS ชนิดสูดผู้เดียวๆโดยเฉพาะในผู้เจ็บป่วยขั้นร้ายแรงและก็มีลักษณะอาการกำเริบเป็นประจำแต่ก็ยังมีความเอนเอียงที่จะเกิดปอดอักเสบสูงมากขึ้นเช่นกัน Xanthine derivatives มีสาระแต่ว่าเกิดผลข้างๆได้ง่าย จำเป็นที่จะต้องใคร่ครวญเลือกยาขยายหลอดลมกรุ๊ปอื่นก่อน ดังนี้ สมรรถนะของยากลุ่มนี้ได้จากการเรียนรู้ยาประเภทที่เป็น sustained-release เท่านั้น การรักษาอื่นๆวัคซีน เสนอแนะให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง ช่วงเวลาที่เหมาะสมเป็น เดือนมีนาคม – เมษายน แต่อาจให้ได้ตลอดทั้งปี การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด (pulmonary rehabilitation) มีจุดหมายเพื่อลดลักษณะของโรค เพิ่มคุณภาพชีวิต และก็เพิ่มความสามารถในการทำงานประจำวัน ซึ่งการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดนี้ จะต้องครอบคลุมทุกปัญหาที่เกี่ยวด้วย เป็นต้นว่า สภาพของกล้าม สภาพอารมณ์และจิตใจ สภาวะโภชนาการฯลฯ ให้การบรรเทาด้วยออกสิเจนระยะยาว การดูแลรักษาโรคการผ่าตัด แล้วก็/หรือ หัตถการพิเศษ ผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลและรักษาด้วยยา และการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดอย่างมากแล้ว ยังควบคุมอาการมิได้ ควรส่งต่ออายุรเวชผู้เชี่ยวชาญโรคระบบการหายใจ เพื่อประเมินการรักษาโดยการผ่าตัด เช่น Bullectomy การผ่าตัดเพื่อลดขนาดปอด (lung volume reduction surgery) การใส่วัสดุอุปกรณ์ในหลอดลม (endobronchial valve) การผ่าตัดเปลี่ยนแปลงปอด การประมาณแล้วก็ติดตามโรค ในการประเมินผลการดูแลและรักษาควรมีการคาดคะเน อาการผู้ป่วย (subjective) และผลของการตรวจ (objective) อาจประเมินทุก 1-3 เดือนตามสมควร ดังนี้ขึ้นอยู่กับระดับความร้ายแรงของโรคและก็เหตุทางเศรษฐสังคม ทุกครั้งที่เจอแพทย์ ควรจะติดตามอาการ อาการเหนื่อยหอบ บริหารร่างกาย ความถี่ของกการกำเริบของโรค อาการแสดงของการหายใจลำบาก และการคาดการณ์วิธีการใช้ยาสูด ทุก 1 ปี ควรวัด spirometry ในคนไข้ที่มีอาการอ่อนเพลียรุกรามกิจวัตรประจําวัน ควรวัด BODE Index, 6 minute walk distance, ระดับ oxygen saturation หรือ arterial blood gases การดูแลรักษาภาวะกำเริบกระทันหันของโรค (acute exacerbation) การกำเริบฉับพลันของโรค คือ ภาวะที่มีลักษณะอาการเมื่อยล้ามากขึ้นกว่าเดิมในระยะเวลาอันสั้น (เป็นวันถึงสัปดาห์) และ/หรือ มีปริมาณเสลดมากขึ้น หรือมีเสมหะเปลี่ยนสี (purulent sputum) โดยจำเป็นต้องแยกจากโรคหรือภาวการณ์อื่นๆอย่างเช่น หัวใจล้มเหลว pulmonary embolism, pneumonia, pneumothorax การติดต่อของโรคถุงลมโป่งพอง โรคถุงลมโป่งพองเกิดขึ้นจาก เยื่อบุหลอดลมรวมทั้งถุงลมในปอดถูกทำลายขึ้นรถพิษต่างๆอาทิเช่น สารพิษในควันบุหรี่ , มลพิษที่มีต้นเหตุมากจากอาการและก็สารเคมี ที่พวกเราดมกลิ่นเข้าไป เป็นระยะเวลานานแล้วก็ในจำนวนที่มาก ซึ่งโรคถุงลมโป่งพองขาดการติดต่อ จากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด แม้กระนั้นบางทีอาจพบได้ว่าเกิดจากกรรมพันธุ์ (สภาวะขาดตกบกพร่องสารต้านทานทริปซีน (a1-antitrypsin)) แม้กระนั้นเจอได้น้อยมาก โดยประมาณ 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งผอง การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง
|