หัวข้อ: โรคโปลิโอ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: ittipan1989 ที่ เมษายน 26, 2018, 11:41:46 pm (https://www.img.in.th/images/18f8c710b7077d1d00ec506d1d9af604.jpg)
โรคโปลิโอ (Poliomyelitis) โรคโปลิโอคืออะไร โรคโปลิโอค้นพบคราวแรกเมื่อ ค.ศ. 1840 โดย Jakob Heine ส่วนไวรัสโปลิโอซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคถูกพ้นพบเมื่อ คริสต์ศักราช 1908 โดย Karl Landsteiner โรคโปลิโอ หรือ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคที่สร้างความทรมาณแสนสาหัสแก่เด็กทั้งโลก ซึ่งมีผู้ป่วยในสมัยก่อนมากกว่า 350,000 รายต่อปี เนื่องจากก่อกำเนิดความพิกลพิการ ขา หรือ แขนลีบ และเสียชีวิต ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสโปลิโอ โดยผู้เจ็บป่วยส่วนมากมักไม่มีอาการแสดงของโรค ส่วนในกรุ๊ปคนไข้ที่มีลักษณะอาการนั้นส่วนใหญ่จะมีลักษณะอาการเพียงแค่เล็กๆน้อยๆอย่างไม่เฉพาะและก็หายได้เองภายในช่วงเวลาไม่กี่วัน แต่จะมีคนป่วยเพียงส่วนน้อยที่จะมีอาการของกล้ามเหน็ดเหนื่อยแล้วก็เมื่อผ่านไปหลายๆปีหลังการดูแลและรักษา คนเจ็บที่เคยมีลักษณะอาการกล้ามอ่อนเพลียนี้อาจจะมีการเกิดอาการกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยซ้ำขึ้นมาอีก และก็อาจกำเนิดกล้ามเนื้อฝ่อลีบแล้วก็เกิดความพิการของข้อตามมาได้ ในตอนนี้โรคนี้ยังไม่มียารักษา แต่ว่ามีวัคซีนที่ใช้คุ้มครองป้องกันโรคได้ โรคโปลิโอ นับเป็นโรคที่มีความจำเป็นมากมายโรคหนึ่ง เนื่องจากเชื้อ ไวรัสโปลิโอ จะมีผลให้มีการอักเสบของไขสันหลังทำให้มีอัมพาตของกล้ามแขนขา ซึ่งในรายที่อาการร้ายแรงจะมีผลให้มีความพิการตลอดชีพ รวมทั้งบางรายบางทีอาจถึงเสียชีวิตได้ ในปี พุทธศักราช 2531 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ทุกประเทศร่วมมือกำจัดโรคโปลิ โอ ทำให้อัตราการป่วยทั้งโลกต่ำลงไปมากถึง 99% โดยลดน้อยลงจาก 350,000 ราย (จาก 125 ประเทศทั้งโลก) ในปี พุทธศักราช 2531 เหลือเพียง 820 รายใน 11 ประเทศในปี พศาสตราจารย์ 2550 ซึ่งประ เทศที่ยังพบโรคมากมายอยู่คือ ประเทศอินเดีย (400 กว่าราย) ปากีสถาน ไนจีเรีย รวมทั้งอัฟกานิสถาน ส่วนในประเทศไทยไม่พบคนเจ็บโรคโปลิโอมาตรงเวลาหลายปีแล้ว โดยพบรายสุดท้ายในปี พ.ศ. 2540 ที่ จังหวัด เลย แม้กระนั้นเด็กทุกคนยังคงจำต้องได้เรื่องฉีดรับวัคซีนตามมาตรการกวาดล้างโรคโปลิโอร่วมกับนานาประเทศทั่วโลก เนื่องจากว่าโปลิโอเป็นโรคร้ายแรงที่สร้างความสูญเสียทางด้านร่างกายแล้วก็เศรษฐกิจ และปัจจุบันแม้ องค์การอนามัยโลก CWHO ได้ประกาศรับรองให้เป็นประเทศที่ปราศจากโรคโปลิโอแล้วช่วงวันที่ 27 เดือนมีนาคม พุทธศักราช 2557 แต่ว่าประเทศไทยยังที่มีความเสี่ยงต่อโรคโปลิโออยู่ ด้วยเหตุว่ามีอาณาเขตติดกับประเทศที่มีการระบาดของโรคโปลิโออย่างประเทศพม่าและก็ลาวที่พึ่งเจอเชื้อโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธ์ไปเมื่อปี พ.ศ. 2558 ต้นเหตุของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสโปลิโอ single-stranded RNA virus ไม่มีเปลือกหุ้มจัดอยู่ใน Family Picornaviridae, Genus Enterovirus มี 3 ทัยป์ คือ ทัยป์ 1, 2 แล้วก็ 3 โดยแต่ละประเภทอาจจะก่อให้กำเนิดอัมพาตได้ พบว่า type 1 นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอัมพาตแล้วก็มีการระบาดได้หลายครั้งกว่าทัยป์อื่นๆรวมทั้งเมื่อติดเชื้อโรคชนิดหนึ่งแล้วจะมีภูมิต้านทานถาวรเกิดขึ้นเฉพาะต่อทัยป์นั้น ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อทัยป์อื่น โดยเหตุนั้น ตามแนวความคิดนี้แล้ว คน 1 คน บางทีอาจติดโรคได้ถึง 3 ครั้ง และแต่ละทัยป์ของไวรัสโปลิโอ จะแบ่งย่อยได้อีก 2 สายพันธุ์ คือ
โดยเชื้อโปลิโอนี้จะอยู่ในลำไส้ของคนเท่านั้น ไม่มีแหล่งรังโรคอื่นๆเชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ในไส้ของไม่มีภูมิคุ้มกันรวมทั้งอยู่ด้านในไส้ 1-2 เดือน เมื่อถูกขับถ่ายออกมาภายนอก จะไม่อาจจะเพิ่มได้ และเชื้อจะอยู่ข้างนอกร่างกายในสิ่งแวดล้อมมิได้นาน โดยเฉพาะในเขตร้อน อายุครึ่งชีวิตของไวรัสโปลิโอ (half life) ราวๆ 48 ชั่วโมง อาการของโรคโปลิโอ เมื่อเชื้อโปลิโอเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ไวรัสจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในบริเวณ pharynx และก็ลำไส้ สองสามวันต่อมาก็จะกระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอที่ทอนซิล แล้วก็ที่ลำไส้แล้วก็เข้าสู่กระแสโลหิตทำให้มีลักษณะอาการไข้เกิดขึ้น ส่วนน้อยของเชื้อไวรัสจะผ่านจากกระแสโลหิตไปยังไขสันหลังแล้วก็สมองโดยตรง หรือเล็กน้อยบางทีอาจผ่านไปไขสันหลังโดยทางเส้นประสาท เมื่อเชื้อไวรัสเข้าไปยังไขสันหลังแล้วมักจะไปที่ส่วนของไขสันหลังหรือสมองที่ควบคุมหลักการทำงานของกล้าม เมื่อเซลล์สมองในส่วนที่ ติดโรคมีอาการอักเสบมากจนถูกทำลายไป กล้ามเนื้อที่ควบคุมโดยเซลล์ประสาทนั้นก็จะมีอัมพาตรวมทั้งฝ่อไปในที่สุด ทั้งนี้สามารถแบ่งผู้เจ็บป่วยโปลิโอตามกลุ่มอาการได้เป็น 4 กรุ๊ปหมายถึง
ลักษณะของอัมพาตในโรคโปลิโอมักจะพบที่ขามากกว่าแขนแล้วก็จะเป็นฝ่ายเดียวมากยิ่งกว่า 2 ข้าง (asymmetry) มักจะเป็นกล้ามต้นขา หรือต้นแขนมากกว่าส่วนปลาย เป็นแบบปวกเปียก (flaccid) โดยไม่มีความเคลื่อนไหวในระบบความรู้สึก (sensory) ที่พบได้ทั่วไปเป็นเป็นแบบ spinal form ที่มีอัมพาตของแขน ขา หรือกล้ามเนื้อลำตัว ในรายที่เป็นมากอาจมีอัมพาตของกล้ามส่วนลำตัวที่หน้าอกแล้วก็หน้าท้อง ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับในการหายใจ ทำให้หายใจเองมิได้ บางทีอาจจนตายได้ถ้าเกิดช่วยไม่ทัน สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคโปลิโอ โรคโปลิโอพบได้มากได้ในเด็กมากยิ่งกว่าผู้ใหญ่ โดยทั้งผู้ชายและก็หญิงได้โอกาสติดเชื้อนี้ได้เสมอกัน แล้วก็มีโอกาสติดโรคโปลิโอได้ง่าย แม้กระนั้นมีคนเจ็บน้อยมากที่จะมีลักษณะอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เชื้อไวรัสจำพวกนี้จะเติบโตอยู่ในลำไส้ เชื้อก็เลยถูกขับออกจากร่างกายมาพร้อมกับอุจจาระและก็แพร่ไปสู่คนอื่นๆผ่านการกินอาหารหรือกินน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ป่วย ซึ่งมีต้นเหตุจากการขับถ่ายที่ผิดความถูกอนามัยและไม่ล้างมือก่อนที่จะกินอาหาร โรคนี้ก็เลยพบบ่อยมากมายในประเทศที่ล้าหลังแล้วก็กำลังพัฒนาที่ขาดการดูแลเรื่องสุขอนามัยที่ดี ทั้งยังผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโปลิโอนั้น จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อยิ่งขึ้นถ้าอยู่ในข้างในกลุ่มเสี่ยงดังนี้ หญิงตั้งท้องและก็คนที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอ ดังเช่นว่า ผู้ติดโรคเอชไอวี แล้วก็เด็กตัวเล็กๆซึ่งจะมีความไวต่อการได้รับเชื้อโปลิโอ เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโปลิโอหรือพึ่งมีการระบาดของโรคเมื่อเร็วๆนี้ เป็นผู้ดูแลหรืออาศัยอยู่กับผู้ติดโรคโปลิโอ ทำงานในห้องทดลองที่สัมผัสสนิทสนมกับเชื้อไวรัส ผู้ที่ผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออกไป กรรมวิธีการรักษาโรคโปลิโอ แพทย์จะวินิจฉัยโรคโปลิโอด้วยการไต่ถามอาการจากผู้เจ็บป่วยว่ารู้สึกปวดบริเวณข้างหลังแล้วก็คอ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการกลืนหรือหายใจไหม ตรวจตราปฏิกิริยาสะท้อนกลับของร่างกาย รวมถึงการตรวจทางเรือเหลือง โดยเก็บตัวอย่างในช่วงระยะฉับพลันและก็ระยะแฝงของโรค ตรวจสารภูมิคุ้มกัน IgM หรือ IgG นอกจากนั้นเพื่อรับรองให้แน่ใจอาจมีการตรวจค้นเชื้อไวรัสโปลิโอด้วยการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากลำคอ อุจจาระ หรือน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังส่งไปทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ในกรณีคนไข้ที่มีลักษณะกล้ามเนื้ออัมพาตแบบอ่อนปวกเปียก (acute flaccid paralysis : AFP) หมอจะดำเนินการสืบสวนโรค พร้อมกับเก็บอุจจาระส่งไปเพื่อทำการตรวจเพื่อ แยกเชื้อโปลิโอ การวิเคราะห์ที่แน่นอนเป็น แยกเชื้อโปลิโอได้จากอุจจาระ แล้วก็ทำตรวจว่าเป็นทัยป์ใดเป็นสายพันธุ์ wild strain หรือ vaccine strain (Sabin strain) การเก็บอุจจาระส่งไปเพื่อทำการตรวจจะเก็บ 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 1 วัน ต้องเก็บให้เร็วด้านใน 1-2 สัปดาห์ภายหลังที่เจอมีอาการ AFP ซึ่งเป็นตอนๆที่มีปริมาณไวรัสในอุจจาระมากกว่าระยะอื่นๆการจัดส่งอุจจาระเพื่อส่งไปตรวจจะต้องให้อยู่ในอุณหภูมิ 4-8๐ ซ ตลอดเวลา มิฉะนั้นเชื้อโปลิโออาจตายได้ ตอนนี้โรคโปลิโอยังไม่มีแนวทางรักษาให้หายขาด หมอสามารถให้การรักษาคนไข้ตามอาการ รวมทั้งช่วงนี้ก็ยังไม่มียารักษาโรคโปลิโอโดยยิ่งไปกว่านั้น การรักษาจะเป็นแบบทะนุถนอม เป็นต้นว่า ให้ยาลดไข้ และก็ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ในรายที่มีอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อแขน ขา แนวทางการทำกายภาพ บรรเทาจะช่วยฟื้นฟูสมรรถนะของกล้ามเนื้อให้ดีขึ้น สำหรับเพื่อการรักษาผู้ป่วยกรุ๊ปอาการหลังกำเนิดโรคโปลิโอ (Post-polio syndrome – PPS) การรักษาหลักจะย้ำไปที่การทำกายภาพบำบัดมากกว่า ดังเช่นว่า การใส่อุปกรณ์ช่วยยึดลำตัว เครื่องมือช่วยสำหรับเพื่อการเดิน อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันข้อบิดผิดรูปผิดรอยหรือบางทีอาจใช้การผ่าตัดช่วย การฝึกบอกและก็ฝึกหัดกลืนในผู้ป่วยที่มีปัญหา การออกกำลังกายที่เน้นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อภายใต้ข้อแนะนำที่ถูกต้องจากหมอหรือนักกายภาพบำบัด การใช้เครื่องช่วยหายใจในขณะหลับถ้าหากผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องการหยุดหายใจในขณะหลับ รวมถึงการดูแลทางด้านอารมณ์และก็จิตใจของผู้ป่วยร่วมด้วย (https://www.img.in.th/images/ecb52da55bc6ce9453747ea3c308ae99.jpg) การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคโปลิโอ
ในตอนนี้เมืองไทยมีการใช้วัคซีนโปลิโอในแผนงานเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค โดยให้วัคซีน OPV 5 ครั้ง เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน 1 ปีครึ่ง แล้วก็ 4 ปี แล้วก็ให้วัคซีน IPV 1 ครั้ง เมื่ออายุ 4 เดือน
สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาโรคโปลิโอ เนื่องมาจากโรคโปลิโอเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไวรัสที่มีการติดต่อได้ง่าย และในผู้เจ็บป่วยที่มีความร้ายแรงของโรคนั้นอาจก่อให้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพได้ ซึ่งในปัจจุบันนั้นยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคโปลิโอให้หายได้ รวมทั้งยังไม่มีข้อมูลว่ามีสมุนไพรชนิดไหนที่ใช้รักษาหรือบรรเทาลักษณะของโรคโปลิโอได้เช่นเดียวกัน เอกสารอ้างอิง
หัวข้อ: Re: โรคโปลิโอ - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: boiopil020156889 ที่ เมษายน 27, 2018, 07:51:17 am โรคโปลิโอ และการรักษาโรคโปลิโอ disthai.com
|