ล้อแม็ก แม็ก แม็กล้อ แม็กซ์แต่งรถ ล้อแม็กคุณภาพ รวมล้อแม็กลายใหม่ๆ

Sitemap SMB => สินค้าอื่นๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: teareborn ที่ เมษายน 27, 2018, 03:39:29 pm



หัวข้อ: โรคเก๊าท์ (Gout) อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา - สมุนไพร
เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ เมษายน 27, 2018, 03:39:29 pm
(https://www.img.in.th/images/87b49f96089454ebc9708e50f251be95.jpg)
โรคเก๊าท์ (Gout)
โรคเก๊าท์คืออะไร  โรคเก๊าท์ เป็นโรคโบราณที่มีผู้บันทึกในรายงานหมอมานับพันปี ยุคฮิปโปเคความรักส (Hippocrates) ซึ่งเป็นพ่อการแพทย์สากลของภาษากรีกเมื่อสองพันปีกลาย ก็ได้กล่าวถึงลักษณะของโรคนี้ รวมทั้งได้เรียกชื่อเป็นคำศัพท์หมอหลายๆชื่อตามตำแหน่งของข้อที่มีลักษณะอักเสบ คำว่า เก๊าท์ (Gout) เป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่แปลงมาจากภาษาลาตินว่า Gutta ซึ่งแปลว่าหยดน้ำ โดยมีผู้คาดการณ์ว่า ข้ออักเสบประเภทนี้มีสาเหตุมาจากสารพิษ "หยด" เข้าไปอยู่ในไขข้อ ซึ่งปรากฏว่าเป็นจริงสำหรับการหมอปัจจุบัน พูดอีกนัยหนึ่ง สารพิษที่ก่อให้เกิดโรคเก๊าท์ก็คือ กรดยูริกในเลือดนั่นเอง
                ส่วนนิยามของโรคเกาต์ในปัจจุบันนั้นคือ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่เกิดจากความไม่ดีเหมือนปกติทางพันธุกรรม ทำให้ร่างกายมีการสะสมของกรดยูริกมากเกินจนกำเนิดอาการและก็ภาวะแทรกซ้อนต่างๆโดยเก๊าท์ นับเป็นโรคปวดข้อเรื้อรังประเภทหนึ่งที่พบบ่อยโรคหนึ่ง อาจพบได้ประมาณ 2-4 คน ใน 1,000 คน จัดเป็นโรคของผู้ใหญ่ในวัยตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป โดยอายุ 40-60 ปี จะพบโรคนี้ได้ประมาณ 2% แล้วก็อายุ 60 ปีขึ้นไป จะเจอได้โดยประมาณ 4% ยิ่งอายุมากขึ้นจังหวะที่จะเป็นโรคนี้ก็มากขึ้นตามไปด้วย และพบได้ในเพศชายมากกว่าผู้หญิงโดยประมาณ 9-10 เท่า ส่วนที่พบในผู้หญิงชอบเป็นสตรีหลังวัยหมดระดูไปแล้ว โดยธรรมดามักเกิดกับข้อเพียงแต่ข้อเดียว ในบางครั้งอาจเกิดกับหลายข้อได้พร้อมๆกันก็ได้ โรคเกาต์ นับว่าเป็นโรคข้ออักเสบที่มักพบในประเทศไทยซึ่งมีอุบัติการณ์การเกิด 4.3 คนต่อประชากรไทย 100,000 คน
ที่มาของโรคเก๊าท์ โรคเก๊าท์มีต้นเหตุจากภาวการณ์กรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ซึ่งเป็นภาวการณ์ของร่างกายที่มีการสะสมของกรดยูริกในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น (มีค่ามากยิ่งกว่า 6 – 7 มิลลิกรัม/ดล.) นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการสะสมผลึกเกลือโมโนโซเดียมยูเรต (monosodium urate) ในน้ำไขข้อรวมทั้งเนื้อเยื่อต่างๆเช่น  ข้อก็จะ นำมาซึ่งการก่อให้เกิดข้ออักเสบ  ไตก็จะก่อให้กำเนิดนิ่วในไตแล้วก็แล้วก็ไตวาย เป็นต้น
                ซึ่งกรดยูริกเป็นสารเคมีประเภทหนึ่งในเลือดที่ได้มาจากการเสื่อมสลายสารพิวรีน (Purines) ในเยื่อทั่วร่างกายรวมทั้งของกินที่รับประทานเข้าไป โดยร่างกายจะมีการปรับสมดุลของกรดยูริกด้วยการกรองจากไตก่อนมีการขับออกทางฉี่แล้วก็อุจจาระ เมื่อมีปริมาณกรดยูริกมากเพิ่มขึ้นจากการสร้างของร่างกาย จากการรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง อย่างเช่น อาหารชนิดเครื่องในสัตว์ ถั่วเมล็ดแห้ง ฯลฯ หรือไตมีความผิดธรรมดาในการกรองสารพิวรีน มักนำมาซึ่งภาวการณ์กรดยูริกในเลือดสูงได้ง่าย
                ส่วนต้นเหตุของกรดยูริกในเลือดสูง เนื่องมาจากร่างกายสร้างกรดยูริกมากกว่าจำนวนที่ขับถ่าย และก็จากการที่ร่างกายสร้างกรดยูริกเป็นปกติแต่ว่าจำนวนที่ถ่ายออกจากร่างกายน้อยกว่า ส่วนเหตุอีกประการ คือ  ทางพันธุกรรมจากการขาดโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีบางตัวหรือเอนไซม์บางตัวทำงานมากเหลือเกิน รวมทั้งประการสุดท้ายเกิดจากโรคบางประเภทที่สร้างกรดยูริกเกิน เป็นต้นว่า โรคทาลัสซีเมีย (โรคกรรมพันธุ์ที่ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่ผิดปกติแล้วก็แตกสลายง่าย) มะเร็งเม็ดเลือดขาว การใช้ยาเคมีบำบัดรักษา หรือฉายแสงในผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็ง บางรายอาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะไตขับกรดยูริกได้ลดลง (เป็นต้นว่า ภาวะไตวาย) หรือมีเหตุมาจากผลกระทบของยา เป็นต้นว่า ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอาไซด์ และก็จากการดื่มสารที่มีแอลกอฮอล์ผสม ดังเช่นว่า สุรา เบียร์ ไวน์  การที่มีกรดยูริกในเลือดสูงโดยไม่มีอาการถ้าหากมิได้รับการรักษาจะมีอาการข้ออักเสบโรคเกาต์รุนแรง เพศชายเริ่มเป็นเมื่ออายุ 40 ปี ผู้หญิงเริ่มเป็นอายุ 55 ปี
ลักษณะของโรคเก๊าท์ ข้ออักเสบจากโรคเก๊าท์มีลักษณะเฉพาะเจาะจงมากมาย กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีอาการอักเสบของข้อเกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรงมากมายคล้ายกับมีฝีเกิดขึ้นที่บริเวณข้อ ซึ่งมีลักษณะอาการปวดข้อร้ายแรง ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันที     ถ้าหากเป็นการปวดทีแรกมักจะเป็นเพียงแต่ข้อเดียว โดยข้อที่มักพบ ดังเช่น นิ้วหัวแม่ตีน (ส่วนข้อเท้า ข้อเข่า ก็อาจพบในคนไข้บางราย) ข้อจะบวมรวมทั้งเจ็บมากกระทั่งเดิน    ไม่ไหว ผิวหนังในบริเวณนั้นจะตึง ร้อนแล้วก็แดง และก็จะเจอลักษณะเฉพาะเจาะจงเป็น ในช่วงเวลาที่อาการเริ่มทุเลา ผิวหนังในรอบๆที่ปวดนั้นจะลอกและก็คัน  คนไข้มักเริ่มมีลักษณะปวดตอนกลางคืน แล้วก็มักจะเป็นหลังดื่มเหล้า เบียร์สด หรือเหล้าองุ่น หรือข้างหลังกินเลี้ยง หรือทานอาหารมากแตกต่างจากปกติ หรือเดินสะดุด ครั้งคราวอาจมีอาการขณะมีภาวะเครียดด้านจิตใจ เป็นโรคติดเชื้อโรค หรือได้รับการผ่าตัดด้วยสาเหตุอื่น บางโอกาสอาจมีไข้ หนาวสั่น ใจสั่น (ชีพจรเต้นเร็ว) อ่อนเพลีย ไม่อยากอาหาร ร่วมด้วย
สำหรับเพื่อการปวดข้อหนแรก มักจะเป็นอยู่เพียงแต่ไม่กี่วัน ถ้าหากคนป่วยไม่ได้รับการดูแลและรักษา ในระยะต้นๆบางทีอาจกำเริบเสิบสานทุก 1-2 ปี โดยเป็นที่ข้อเดิม แต่ถัดมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อยเช่น ทุก 4-6 เดือน แล้วเป็นทุก 2-3 เดือน จวบจนกระทั่งทุกเดือน หรือเดือนละบ่อย แล้วก็ระยะการปวดจะนานวันขึ้นเรื่อยๆเป็นต้นว่า แปลงเป็น 7-14 วัน ตราบจนกระทั่งยาวนานหลายสัปดาห์หรือปวดตลอดเวลา ส่วนข้อที่ปวดก็จะเพิ่มจากข้อเดียวเป็น 2-3 ข้อ (อย่างเช่น ข้อมือ ศอก ข้อหัวเข่า ข้อเท้า นิ้วมือ นิ้วเท้า) จวบจนกระทั่งเป็นแทบทุกข้อ
ในระยะที่มีข้ออักเสบหลายๆข้อ คนป่วยมักพินิจได้ว่ามีปุ่มก้อนขึ้นรอบๆที่เคยอักเสบเสมอๆและก็ก้อนจะโตขึ้นเรื่อยๆเรียกว่า ตุ่มโทฟัส (tophus / tophi) จนบางครั้งอาจแตกออกมีสารขาวๆเหมือนแป้งดินสอพองหรือยาสีฟันไหลออกมา แผลที่แตกออกจะหายช้ามากมาย และก็จะเป็นแผลเป็น ต่อไปข้อต่างๆจะผิดรูปผิดรอยและก็ใช้งานไม่ได้ท้ายที่สุด
จากอาการที่เริ่มมีข้ออักเสบหนึ่งข้อจนถึงหลายๆข้อ และก็มีปุ่มก้อนมักใช้เวลา 5-20 ปี สุดแต่ความรุนแรง สำหรับคนไทยพบว่าบางบุคคลเพียงแค่ 2-3 ปี แค่นั้นจะเริ่มมีปุ่มก้อนและก็มีอาการไตวายได้ ด้วยเหตุนั้นโรคเก๊าท์ในคนไทยก็เลยมีความร้ายแรงมากยิ่งกว่าชาวต่างชาติมากมายถึงแม้ว่ามิได้สุขกายสบายใจกว่าเขาเลยประมาณจำนวนร้อยละ 25 ของคนเจ็บโรคเก๊าท์จะมีนิ่วของฟุตบาทฉี่ร่วมด้วย ซึ่งกึ่งหนึ่งจะมีประวัติของนิ่งก่อนอาการข้ออักเสบ โดยเหตุนั้นคนไข้ที่มีนิ่วของทางเดินปัสสาวะจำเป็นจะต้องเช็คกรดยูริคทุกราย
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคเก๊าท์

  • มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ โดยพบว่า 1 ใน 5 ของคนป่วยโรคเก๊าท์จะมีบุคคลในครอบครัวป่วยหนัก
  • โรคประจำตัวหรือสภาพการณ์ของร่างกายบางสิ่ง อาทิเช่น ภาวการณ์อ้วน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดเปลี่ยนไปจากปกติ ไตดำเนินงานผิดปกติ เบาหวาน โรคพร่องโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี ความแปลกของไขกระดูก โรคเส้นโลหิตผิดปกติ
  • เป็นผลมาจากเพศ ด้วยเหตุว่าพบโรคนี้ได้ในเพศชายมากกว่าหญิง
  • การทานอาหารทีมีสารพิวรีนมากเกินไป อาทิเช่น สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ยอดผัก กุ้งเคยหรือกะปิ ปลาซาร์ดีน หอยแมลงภู่ สารสกัดจากยีสต์
  • การกินน้ำอัดลมเกินจำนวนที่พอดิบพอดีต่อวัน ซึ่งมีการเล่าเรียนพบว่าการดื่มน้ำอัดลมจำพวกที่มีน้ำตาลฟรุกโตสอาจเพิ่มการสั่งสมกรดยูริกในเลือดได้มากถึง 85% นอกเหนือจากนี้ยังรวมถึงผลไม้รวมทั้งน้ำผลไม้บางจำพวกที่มีน้ำตาลฟรุกโตสอยู่มาก
  • มีเหตุมาจากการได้รับบาดเจ็บที่ข้อกระดูก การกระทบชนที่ข้อ
  • ผลกระทบจากการใช้ยาบางประเภท บางทีอาจกระตุ้นให้อาการไม่ดีขึ้นได้ ด้วยเหตุว่ายาบางชนิดมีผลทำให้ไตขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้ลดลง ได้แก่ แอสไพริน (Aspirin), ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ (Hydrochlorothiazide – HCTZ), ไซโคลสปอริน (Cyclosporin), เลโวโดขว้าง (Levodopa) เป็นต้น
  • การดื่มแอลกอฮอล์ ตัวอย่างเช่น เหล้า เบียร์สด เหล้าองุ่น โดยยิ่งไปกว่านั้นเบียร์สด เพราะว่าแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ลดการขับกรดยูริกออกทางไตหรือทางฉี่ หลังการดื่มจึงทำให้ไตขับกรดยูริกได้ลดน้อยลง กรดยูริกจึงคั่งอยู่ในเลือดสูงขึ้นยิ่งกว่าธรรมดา

แนวทางการรักษาโรคเก๊าท์  การวิเคราะห์โรคเก๊าท์หมอจะมีการถามไถ่อาการ ประวัติการเป็นโรคเก๊าท์ของบุคคลในครอบครัว และการตรวจร่างกายทั่วไป โดยแพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการแสดง ซึ่งโรคเกาต์จะมีลักษณะสะดุดตาหมายถึงมีการอักเสบรุนแรงของข้อหัวแม่เท้าเพียง ๑ ข้อ เกิดขึ้นฉับพลันหลังดื่มเบียร์สด หรือไวน์ กินเลี้ยง หรือกินอาหารที่มีกรดยูริกสูง ซึ่งคนไข้เป็นโรคเก๊าท์ชอบมีลักษณะปวดข้ออย่างกระทันหันครั้งแรกพบได้ทั่วไปที่ข้อเท้าหรือหัวแม่ตีน โดยมีอาการบวมเมื่อลูบคลำดูจะรู้สึกร้อน เวลากดเจ็บมากมายอาจมีอาการไข้เล็กน้อยถึงไข้สูงเป็นราว 3-7 วัน และก็ในบางรายบางทีอาจตรวจพบตุ่มโทฟัส (Tophus) ร่วมด้วย  ส่วนการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการที่เด่นชัด ควรต้องทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับกรดยูริกในเลือด (ค่าธรรมดา 3-7 มก. ต่อเลือด 100 มิลลิลิตร) ถ้าเกิดผลการตรวจไม่ชัดแจ้ง บางทีอาจจะต้องทำการเจาะดูดน้ำจากข้อที่อักเสบไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ นอกจากนี้ อาจต้องทำการตรวจพิเศษอื่นๆเช่น การตรวจเลือด เมื่อการตรวจวิเคราะห์โดยการเจาะข้อไม่อาจจะทำเป็น หมอบางครั้งอาจจะให้มีการเจาะเลือด เพื่อตรวจวัดระดับของกรดยูริกและก็สารครีเอติเตียนนินว่าอยู่ในเกณฑ์ธรรมดาหรือเปล่า แต่วิธีนี้อาจกำเนิดความบกพร่องได้ ตัวอย่างเช่น คนป่วยบางรายมีระดับกรดยูริกสูงไม่ปกติ แม้กระนั้นบางทีอาจไม่เป็นโรคเก๊าท์ หรือบางรายที่มีอาการของโรคก็อาจตรวจพบระดับกรดยูริกได้ในระดับธรรมดา  การเจาะข้อ มักถูกใช้เป็นแนวทางหลักในการตรวจวินิจฉัย แพทย์จะนำเข็มเจาะรอบๆข้อที่มีลักษณะ เพื่อดูดเอาน้ำในข้อออกมาตรวจตราการสั่งสมของผลึกยูเรต (Urate Crystals) ภายใต้กล้องจุลทรรศน์  การอัลตราซาวด์ จะช่วยตรวจเจอการสั่งสมของผลึกยูเรตตามข้อจนถึงเป็นปุ่มนูนหรือก้อนที่เรียกว่า โทฟี้ (Tophi)  การเอกซเรย์ การถ่ายเอกซเรย์รอบๆข้อที่มีลักษณะอาการ เพื่อตรวจดูว่าเกิดการอักเสบตามข้อหรือไม่  การตรวจเยี่ยว เพื่อดูก่อนดยูริกที่ปนเปในน้ำเยี่ยว
(https://www.img.in.th/images/da58125d34c4c20b1b077f87d4e7890f.jpg)
โรคเกาต์เป็นโรคสุดที่รักษาง่าย รักษาหายสนิทได้ เป็นไม่กลับมาเป็นข้ออักเสบอีก หากผู้ป่วยกระทำตามคำแนะตำและก็รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ วิธีการรักษาโรคเก๊าท์จำเป็นต้องแบ่งเป็น 3 หัวข้อ ดังนี้

  • การดูแลรักษาข้ออักเสบ ในระยะกระทันหัน แล้วก็เป็นนานไม่เกิน 48 ชั่วโมง อาจให้วัวสิสิน (Colchicine) 2-3 เม็ดต่อวัน ข้อจะหายปวดเร็วมากภายใน 2-3 วัน แล้วลดยาลงเหลือ 1 เม็ดต่อวัน ข้อดีของยาคือไม่กัดกระเพาะเป็นแผล จุดด้วยเป็นบางทีอาจเกิดอาการท้องเดินได้หากขนาดของยามากขึ้นไป ซึ่งถ้ามีลักษณะอาการท้องเดินให้หยุดยานี้กระทั่งหายท้องร่วงแล้วเริ่มรับประทานยาใหม่ในขนาดที่น้อยลง

ยาอื่นๆที่ใช้ได้แม้กระนั้นทุกตัวจะมีฤทธิ์ระคายกระเพาะอาหารมากมายบ้างน้อยบ้างแล้วแต่บุคคล จึงเหมาะกินหลังรับประทานอาหารเสมอ และอาจรับประทานร่วมกับยาอัลมาเจล (Almagel) หรือ อลั่มไม่ลค์ (Alum Milk) แต่ว่าจัดว่าเป็นยาออกจะไม่มีอันตราย เช่น ไอบลูโปรเฟน (Ibuprofen) , ไดโคลพิแนค (diclofenac) , ที่นาโปรเซน (Naproxen) , ซูลินแดค (Sulindac) , ไพรรคิซิคาม (Prioxicam) , อินโดความฉลาดสิน (Indemethacin) ฯลฯ โดยให้วันละ 3-4 เม็ดจนกว่าอาการดีขึ้นกว่าเดิมจึงลดขนาดยาลงกระทั่งหยุดยาไปภายใน 4-7 วัน
ไม่สมควรใช้ยากลุ่มฟีนิวบิวตาโซน (Phenybutazone) และก็ออกซิเฟนบิวตาโซน (Oxyphenbutazone) ด้วยเหตุว่าเสี่ยงกับการเกิดภาวะไขกระดูกไม่สร้างเลือด (Aplastic anemia) ได้โดยไม่จำเป็น เนื่องจากว่ามียาอื่นที่ปลอดภัยกว่า แล้วก็ใช้ได้ผลในด้านดีดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่ปรากฏว่าในท้องตลาดเมืองไทยยากลุ่มนี้ยายดีเยี่ยม เพราะมักถูกจัดอยู่ในยาชุดแก้ปวดข้อแบบครบจักรวาล แถมปริมาณยาที่ผลิตนั้นมากมายจนถึงอยู่ในขั้นอันตรายหมายถึงยาหนึ่งเม็ดมีขนาดเท่ากับยาสองเม็ดของจากต่างประเทศ ก็เลยไม่น่าสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดประเทศเราก็เลยมีผู้เจ็บป่วยโรคไขกระดูกไม่สร้างเม็ดเลือดเยอะมากเช่นนี้
. การป้องกันไม่ให้ข้ออักเสบกำเริบอีก ยาที่ได้ผลดีมากมายเป็น โคชิสิน วันละ 1-2 เม็ดตลอดไป สำหรับผู้ที่ข้ออักเสบบ่อยมากจนถึงไม่สามารถทำมาหากินตามธรรมดาได้ สำหรับคนที่นานๆจะมีข้ออักเสบสักครั้งให้พกยาเม็ดติดตัว พอเพียงมีความคิดว่าข้อเริ่มอักเสบให้กินยาโคชิซิน 1 เม็ดโดยทันที และซ้ำได้วันละ 2-3 เม็ดตรงเวลา 1-2 วัน ยานี้หากรับประทานแต่ว่าเนิ่นๆจะปกป้องไม่ให้กำเนิดข้ออักเสบร้ายแรงขึ้นแบบเต็มกำลังและก็ทำให้หายปวดข้อได้เร็วมาก

  • การลดกรดยูริคให้อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ เพื่อคุ้มครองป้องกันการตกผลึกของยูเรท รวมทั้งไปละลายผลึกยูเรทที่นอนก้นตามที่ต่างๆของร่างกายให้หายไปทีละน้อยๆด้วยเหตุนั้นยาลดกรดยูริคจึงควรรับประทานต่อเนื่องกันวันแล้ววันเล่าเป็นปีๆหรือตลอดชีพ ดังนี้แล้วแต่ความรุนแรงของโรคเก๊าท์ ยาลดกรดยูริคมี 2 พวก เป็น
  • พวกที่ทำให้มีการขับยูริคออกทางไตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมาะสำหรับคนที่ไตธรรมดาและไม่มีนิ่วในไต ยาที่ใช้คือ โปรเบเนสิด (Probenecid) 1-2 เม็ดต่อวัน การจัดยาจำเป็นต้องอาศัยตรวจระดับกรดยูริค ว่าต่ำลงมาอยู่ในขั้นน่าพึงพอใจหรือเปล่า คนที่กินยาประเภทนี้ควรดื่มน้ำมากๆประมาณ 1.5-2 ลิตร/วัน เพื่อปกป้องการเกิดนิ่วกรดยูริคในไต ยานี้มีราคาถูกกว่ารวมทั้งไม่เป็นอันตรายกว่ายากลุ่ม 2 แต่ห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรคไตวายหรือมีนิ่วในไต
  • พวกที่ตัดการผลิตของกรดยูริคภายในร่างกาย อย่างเช่น แอบโลพูรินอล (Allopurinol) 200-300 มก.ต่อวัน ยาตัวนี้ก่อให้เกิดอันตรายคือ กำเนิดตับอักเสบได้ แต่ว่าที่พบได้ทั่วไปคือ เกิดการแพ้ยาอย่างรุนแรงถึงขั้นผิวหนังเป็นผื่น, พุพอง, แดงลอกหมดทั่วตัว ซึ่งมีอัตราตายสูงมาก วิธีคุ้มครองปกป้องเป็น แม้รับประทานยาแล้วรู้สึกมีอาการคันตามตัวโดยยังไม่มีผื่น หรือเริ่มมีผื่นแดง แม้กระนั้นไม่ร้ายแรงจำเป็นต้องหยุดยาทันที มิฉะนั้นจะแพ้ยารุนแรงขึ้นจนกระทั่งเกิดภาวะดังที่กล่าวมาแล้วได้ ซึ่งหากแม้รับการดูแลรักษาในโรงหมอก็บางทีอาจแก้ไขไม่ทัน

คนไข้จำนวนมาก มักเข้าใจผิดว่าหายจากโรคแล้ว เมื่อไม่มีลักษณะของการปวดข้อ ก็มักจะหยุดรับประทานยา รวมทั้งจะมาเจอแพทย์เป็นบางครั้งบางคราว เฉพาะเวลามีลักษณะข้ออักเสบ ความประพฤติปฏิบัติแบบนี้ มักทำให้คนป่วยกลายเป็นโรคเกาต์จำพวกเรื้อรัง และเกิดภาวะเข้าแทรกต่างๆตามมาท้ายที่สุด นอกเหนือจากนั้น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการดูแลและรักษาโรคเกาต์ให้ดียิ่งขึ้น อย่างเช่น

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบียร์สด พบว่าคนเจ็บโรคเกาต์ที่ดื่มเบียร์สดเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดเกาต์มากยิ่งขึ้นโดยประมาณ 2.5 เท่า เพราะในเบียร์มีพิวรีนปริมาณมากสามารถกลายเป็นกรดยูริกได้
  • ลดการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง ตามตารางต่อแต่นี้ไป
ตารางแสดงปริมาณพิวรีนในของกินที่กินได้ 100 กรัม
จากหนังสือ Normal and Therapcutic Nutrition ของ Gorinne H. Robinson 1072 จากการเรียนรู้จำนวนพิวรีนในอาหารชนิดต่างๆโภชนาการ 13:2522
การติดต่อของโรคเก๊าท์ เหตุเพราะโรคเก๊าท์เป็นโรคที่เกิดขึ้นจาก ร่างกายมีการสะสมของกรดยูริก (uric acid) มากเกินความจำเป็น หรือมีการขับกรดยูริกที่น้อยไม่ปกติของร่างกาย ด้วยเหตุผลดังกล่าวโรคเก๊าท์ก็เลยเป็นโรคที่ไม่มีการ
ติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด แม้กระนั้นโรคเก๊าท์ก็มีมูลเหตุ จากความไม่ปกติทางประเภทบาป ด้วยเหตุผลดังกล่าวก็เลยเจอคนป่วยที่มีมูลเหตุโรคมาจากกรรมพันธุ์ได้ เหมือนกัน
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคเก๊าท์ คนป่วยโรคเก๊าท์ควรจะปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเล็กน้อยอาจมีส่วน ด้วยเหตุว่าช่วยให้ลักษณะโรคทุเลาลงได้ดังต่อไปนี้

  • กินน้ำมากๆอย่างต่ำวันละ ๓ ลิตร ทุกวี่วัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดนิ่วในไตเมื่อไม่เป็นโรคที่จำเป็นต้องจำกัดน้ำ
  • ห้ามดื่มเหล้า เบียร์สด เหล้าองุ่น ซึ่งอาจจะก่อให้โรคเกาต์กำเริบได้
  • หลบหลีกอาหารที่มีกรดยูริกสูง อย่างเช่น เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีกทุกชนิด กะปิ น้ำสกัดจากเนื้อ ไข่แมงดา พืชผักหน่ออ่อน (อาทิเช่น ถั่วงอก ยอดกระถิน ยอดแค สะเดา ชะอม หน่อไม้ แอสพารากัส ยอดผัก ฯลฯ) คนเจ็บจำเป็นต้องคอยสังเกตว่าอาหารอะไรที่ทำให้โรคกำเริบ ก็ควรจะหลบหลีก
  • ควรหลบหลีกการดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีความหวานมาก โดยยิ่งไปกว่านั้นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรุกโตส
  • หลบหลีกการใช้ยาที่อาจทำให้โรคกำเริบ อย่างเช่น แอสไพริน ยาขับฉี่กรุ๊ปไทอาไซด์
  • ถ้าเกิดอ้วน ควรจะลดความอ้วนลงทีละเล็กทีละน้อย อย่าลดฮวบฮาบ อาจจะก่อให้มีการสลายตัวของเซลล์อย่างเร็ว ทำให้มีกรดยูริกสูง โรคเกาต์กำเริบได้
  • ถ้าหากเจอมีตุ่มโทฟัสตามผิวหนัง ห้ามบีบแกะ หรือใช้เข็มเจาะให้แตก เพราะอาจส่งผลให้กลายเป็นแผลเรื้อรังได้
  • เมื่อมีอาการปวดให้ใช้น้ำอุ่นจัดๆหรือใช้น้ำแข็งประคบตรงข้อที่ปวด โดยประมาณ 20 นาที และก็เลี่ยงการลงน้ำหนักตรงข้อนั้นๆ
  • เมื่อลักษณะของการปวดดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ควรไปพบหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจยืนยันการวิเคราะห์และรับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
  • เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคเก๊าท์ควรรับประทานอาหารตามแพทย์สั่งให้ครบและไปตรวจตามนัดหมายโดยตลอด
การป้องกันตัวเองจากโรคเก๊าท์

  • คนที่มีญาติโกโหติกาเป็นโรคโรคเกาต์ ควรจะตรวจค้นระดับของกรดยูริกในเลือดเป็นระยะๆ
  • เมื่อมีลักษณะอาการแตกต่างจากปกติของข้อเกิดขึ้น ดังเช่นว่า ปวดข้อเฉียบพลัน บวมแดง ร้อนที่ข้อ ควรไปพบหมอเพื่อตรวจวิเคราะห์อย่างเร่งด่วน
  • หลบหลีกการกินอาหารที่มีพิษพิวรีนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเล เครื่องในสัตว์ และสัตว์ปีก
  • ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เกินค่ามาตรฐาน (BMI)
  • หลีกเลี่ยงจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ หรือ น้ำอัดลมให้พอดิบพอดี
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/บำบัดรักษาโรคเก๊าท์ การใช้สมุนไพรในคนป่วยโรคเกาต์มีข้อมูลเกื้อหนุนค่อนข้างน้อย อาจเนื่องจากว่าโรคนี้เกี่ยวกับหลายต้นเหตุโดยเฉพาะหลักการทำงานของไต ซึ่งการใช้สมุนไพรมิได้เป็นการรักษาที่ต้นสายปลายเหตุ เพียงแค่ช่วยบรรเทาอาการแค่นั้น แต่ว่ามีข้อมูลของศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวโยงทางด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ค่อนข้างน่าไว้ใจ ส่งผลงานศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยออกมาว่าสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทุเลาอาการของโรคเก๊าท์หมายถึง

  • ขมิ้นชัน มีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญคือเคอร์คิวไม่นมีฤทธิ์ลดการอักเสบ ขนาดทั่วไปที่เสนอแนะต่อวันคือ 1.5-3.0 กรัม ถ้ากินขมิ้นชันแคปซูล 500 มก. สามารถรับประทานได้วันละ 3-6 แคปซูล ซึ่งจะช่วยทุเลาการอักเสบของข้อและก็กระดูกที่มีอาการปวดของโรคเก๊าท์
  • โบรมีเลน (bromelain) เป็นเอนไซม์จากสับปะรด มีคุณลักษณะรลดอักเสบ ลดปวดโดยขนาดกินที่เสนอแนะเป็น 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ช่วยลดอาการอักเสบและก็ลักษณะของการปวดของโรคเก๊าท์ได้
  • ชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีการศึกษาในคนสุขภาพดีจำนวน 30 รายโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มให้ได้รับสารสกัดชาเขียว 2, 4, หรือ 6 กรัมต่อวัน พบว่าภายหลังผ่านไป 2 สัปดาห์ กลุ่มที่บริโภคสารสกัดชาเขียว 2 กรัมต่อวันสามารถลดระดับกรดยูริกในเลือดได้มากที่สุดเป็นจาก 4.81 ± 0.81 มิลลิกรัมต่อดล. เป็น 4.64 ± 0.92 มก.ต่อดล. ก็เลยมีการแนะนำให้กินน้ำชาเขียวที่ไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีนวันละ 2-4 ถ้วยชา

นอกเหนือจากนั้นยังมีสมุนไพรอื่นๆที่ช่วยปกป้อง/บรรเทาอาการโรคเก๊าท์ได้อีกยกตัวอย่างเช่น เห็ดหลินจือ ช่วยฟื้นฟูการทำงานของไต สร้างสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบของไต และก็ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นให้กับระบบหมุนวนเลือด ต้นหญ้าใต้ใบ มีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ สามารถขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะได้ ไพรที่คนประเทศไทยรู้จักกันดีว่ามีคุณประโยชน์ในด้าน แก้อาการปวดปวดเมื่อยต่างๆบำรุงกำลัง รวมทั้งยังส่งผลการศึกษาวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันสรรพคุณดังที่กล่าวมาข้างต้นด้วยหมายถึงแก้เมื่อย แก้กล้ามอักเสบ เถาวัลย์เปรียง แก้เมื่อย แก้กล้ามอักเสบ รักษาอาการข้อหัวเข่าเสื่อม เมื่อทานเถาวัลย์เปรียงทำให้เยี่ยวบ่อยครั้งซึ่งมีคุณประโยชน์สำหรับการช่วยขับกรดยูริคออกมาทางฉี่ได้อีกทางหนึ่ง ต้นหญ้าหนวดแมว สมุนไพรอย่างหญ้าหนวดแมวที่มีคุณประโยชน์สำหรับในการขับกรดยูริค ต้นหญ้าหนวดแมว มีเกลือโปรแตสเซียม ช่วยสำหรับการขับปัสสาวะรวมทั้งขยายหลอดไตให้กว้าง ช่วยขับกรดยูริคด้วยเหตุว่าต้นหญ้าหนวดแมวทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง คนที่รับประทายหญ้าหนวดแมว จะมีการขับกรดยูริคออกมาทางเยี่ยวเพิ่มขึ้น แล้วก็ทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง ทำให้กรดยูริคตกตะกอนลดน้อยลงด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.พญ.เล็ก ปริวิสุทธิ์.โรคเก๊าท์.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่.49.คอลัมน์ โรคน่ารู้.พฤษภาคม.2526
  • นศภ.ปณิดา ไทยอ่อน.โรคเก๊าท์(gout) ดูแลอย่างไรดี.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.คลังข้อมูลยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Choi HK, Atkinson K, Karlson EW, Willett W, Curhan G. Alcohol intake and risk of incident gout in men: a prospective study. Lancet. 2004;363:1277-81. http://www.disthai.com/[/b]
  • Neogi T. Gout. N Engl J Med 2011;364(5):443-52.
  • รศ.นพ.สุรเกียรต์ อาชานานุภาพ.เกานต์.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่346.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กุมภาพันธ์.2551
  • เก๊าท์-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคเกาต์ (Gout)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 823-826.
  • Neogi T, Chen C, Niu J, Chaisson C, Hunter DJ, Choi H, et al. Relation of temperature and humidity to the risk of recurrent gout attacks. Am J Epidemiol 2014;180:372-7.
  • สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาโรคเกาต์; 2555
  • Zhang Y, Chen C, Choi H, Chaisson C, Hunter D, Niu J, et al. Purine-rich foods intake and recurrent gout attacks. Ann Rheum Dis 2012;71:1448-53.
  • ผศ.นพ.สุรศักดิ์ นิลกานุวงศ์.โรคเกาต์.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Zhang Y, Woods R, Chaisson CE, Neogi T, Niu J, McAlindon TE, et al. Alcohol consumption as a trigger of recurrent gout attacks. Am J Med 2006;119:800 e13-8.
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ