หัวข้อ: โรควัณโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ เมษายน 28, 2018, 10:02:48 am (https://www.img.in.th/images/f5a4e607312af04bbcd63b3119e477c3.jpg)
กลุ่มบุคคลผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค
แนวทางการรักษาวัณโรค ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าวัณโรคโรคปอด ส่วนหนึ่งส่วนใดมักไม่มีอาการแสดงที่ชัดแจ้ง การวินิจฉัยก็เลยจำเป็นที่จะต้องใช้หลักฐานหลายแบบประกอบกันตั้งแต่เรื่องราวสัมผัสวัณโรค อาการแสดง ได้แก่ ไข้ต่ำๆไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักลดซึ่งไม่มีลักษณะที่จำเพาะ คนไข้มีอาการไม่สบายและก็ไอนานเกิน 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป ไอออกเป็นเลือด ฟังเสียงการทำงานของปอดในขณะหายใจ แล้วต่อจากนั้นหมออาจกระทำการตรวจพื้นฐานด้วยแนวทางตรวจคัดเลือกกรองวัณโรคที่เรียกว่า “การตรวจทูเบอร์คูลิน” (Tuberculin skin test : TST) ซึ่งเป็นการตรวจทางผิวหนังที่ใช้หลักการของการโต้ตอบโดยกลไกภูมิคุ้มกันของร่างกายที่จะสามารถได้ผลบวกได้ระหว่าง 2-8 อาทิตย์ ภายหลังที่ได้รับเชื้อวัณโรคไปสู่ร่างกาย โดยแพทย์จะกระทำฉีดยาที่เป็นโปรตีนสารสกัดจากเชื้อวัณโรค เรียกว่า “พีพีดี” (Purified protein derivative : PPD) เข้าชั้นใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน ต่อไปราวๆ 48-72 ชั่วโมง จำต้องกลับมาให้แพทย์หรือพยาบาลตรวจรอยฉีดยา ถ้าเกิดรอบๆที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมน้อยกว่า 10 มม. แสดงว่าบุคคลนั้นไม่น่าจะติดเชื้อโรค (ได้ผลลบ) แต่ถ้าเกิดบริเวณที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมตั้งแต่ 10 มม.ขึ้นไป แปลว่าบุคคลน่าจะติดโรควัณโรค (ให้ผลบวก) รวมทั้งจะต้องทำการตรวจอื่นๆ ทางห้องทดลองที่ช่วยวินิจฉัยวัณโรคอาทิเช่น เอ็กซเรย์ปอด ลักษณะผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรคปอดเป็นต้นว่า พบการอักเสบของปอดที่ ปอดกลีบบน การย้อมเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ควรทำในคนเจ็บทุกรายที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคเพื่อช่วย รับรองการวิเคราะห์ โดยจะเก็บเสลดตอนเวลาเช้าหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว 3 วันติดต่อกัน จะทราบผลข้างในโดยประมาณ 30 นาที แต่มีข้อเสียคือ วิธีนี้มีโอกาสตรวจเจอเชื้อวัณโรคได้เพียงแต่โดยประมาณครึ่งหนึ่งของคนเจ็บ เพียงแค่นั้น ด้วยเหตุนั้นคนป่วยที่ตรวจไม่เจอเชื้อวัณโรคในเสมหะก็ยังบางทีอาจเป็นโรควัณโรคปอดได้ การเพาะเชื้อวัณโรคจากเสลด จุดเด่นก็คือ วิธีนี้สามารถตรวจพบเชื้อได้มากถึง 80 - 90% ของผู้เจ็บป่วย แต่ต้องใช้เวลาราวๆสองเดือนจึงทราบผล เมื่อหมอวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคปอด หมอจะให้ยารักษาวัณโรค โดยทั่วไปจะนิยมใช้สูตรยารับประทาน 6 เดือน 2 เดือนแรกใช้ยา 4 ชนิด อย่างเช่น ไอเอ็นเอช (INH) หรือไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ไรแฟมพิซิน (rifampicin) ,ไพราสิที่นาไมด์ (pyrazinamide) รวมทั้งอีแทมบูทอล (ethambutol) บางรายบางทีอาจใช้ สเตรปโตไมซินประเภทฉีดแทนอีแทมบูทอล แล้วต่อด้วยยา 2 จำพวก ได้แก่ ไอเอ็นเอช และก็ไรแฟมพิซิน อีก 4 เดือน แพทย์จะย้ำเตือนให้ผู้เจ็บป่วยกินยาให้ทันเวลาทุกวัน ห้ามลืมหรือเว้นบางมื้อหรือบางวัน กำชับให้เครือญาติดูแลให้คนไข้รับประทานยาได้เป็นประจำ ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยา ทำให้รักษาไม่ได้ผล หรือจะต้องแปรไปใช้ยาสูตรที่แรงขึ้น ส่วนผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องร่วมกับวัณโรคปอด เว้นแต่ให้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้ว ยังจำเป็นต้องให้ยารักษาวัณโรค (ซึ่งเปลี่ยนแปลงสูตรยาที่ไม่เหมือนกันออกไป) เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน 9 เดือน หมอจะนัดหมายคนป่วยมาติดตามผลของการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยธรรมดาเมื่อใช้ยาได้ 2 อาทิตย์ อาการไข้รวมทั้งไอจะเริ่มทุเลา ทานข้าวได้ รวมทั้งน้ำหนักขึ้น หมอจะทำตรวจเสลด (มองว่าเชื้อหายหมดหรือยัง) เป็นช่วงๆเป็นต้นว่า เมื่อกินยาครบ 2 เดือน 5 เดือน และเมื่อสิ้นสุดการใช้ยารักษา นอกจากนั้นบางทีอาจกระทำการเอกซเรย์ปอดมองว่ารอยโรคหายดีหรือยัง ส่วนผู้ที่เป็นกรุ๊ปมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ ได้แก่ ผู้ป่วยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ มีประวัติเป็นโรคตับอยู่ก่อน หรือแก่กว่า 35 ปี เมื่อกินยารักษาวัณโรค ซึ่งอาจจะเป็นผลให้ตับอักเสบได้ แพทย์จะกระทำการตรวจเลือดมองระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ (AST, ALT) เพื่อมองว่ามีการอักเสบของตับเกิดขึ้นหรือเปล่า ดังนี้ปัญหาใหญ่เกี่ยวกับวัณโรคในประเทศไทย คือ การเกิดวัณโรคดื้อยาหลายขนานซึ่งทำให้การดูแลและรักษาหายขาดเป็นได้ยากขึ้น และก็บางทีอาจเกิดภาวะเข้าแทรกถึงชีวิตได้ในเด็กและคนแก่ ส่วนหนึ่งส่วนใดมาจากการกินยาที่ไม่บ่อยนักของผู้ป่วยอันเนื่องมาจากปัญหาหลายประเภท อย่างเช่น การที่จะต้องรับประทานยาเป็นระยะเวลานาน (อย่างต่ำ 6 เดือน) ทำให้คนป่วยที่มีอาการดีขึ้นบางส่วนหยุดยาหรือเปล่ามีตามนัด หรือในรายที่บางทีอาจทนผลกระทบของยาไม่ได้ก็เลยหยุดยาเอง เป็นต้น การติดต่อของวัณโรค เชื้อวัณโรคสามารถแพร่ระบาดได้ทางอากาศ จากคนเจ็บที่เป็นวัณโรคปอดรวมทั้งกล่องเสียง การต่อว่าดเชื้อมีเหตุที่เกิดจากการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคของผู้เจ็บป่วย ซึ่งมีเหตุที่เกิดจากการไอหรือจาม กล่าวหรือร้อง เป็นต้น การไอหรือจามหนึ่งครั้งสามารถสร้างละอองฝอยได้ถึงล้านละอองฝอย อนุภาคของเชื้อมีขนาดเล็กมากโดยประมาณ1-5 ไมครอน ละอองของเชื้อก็เลยสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้นานรวมทั้งไปได้ระยะทางไกล เมื่อหายใจรับละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าไปในระบบทางเท้าหายใจที่ถุงลมของปอดและบางทีอาจมีการติดเชื้อที่ปอดแล้วก็แพร่ขยายเชื้อสู่อวัยวะต่างๆภายในร่างกายทางต่อมน้ำเหลืองหรือกระแสเลือดได้ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อขึ้นกับปริมาณ หรือความเข้มข้นของเชื้อในอากาศแล้วก็ช่วงเวลาสำหรับการสัมผัสเชื้อคืออยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับผู้เจ็บป่วยเป็นวันหรืออาทิตย์ ได้แก่อยู่ห้องเดียวกัน เป็นต้น วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อโรคที่มีลักษณะพิเศษเป็น ผู้ป่วยที่ติดโรคหรือรับเชื้อเข้าไปภายในร่างกายทุกรายไม่จำเป็นต้องป่วยเป็น ไม่มีอาการและก็อาการแสดงของวัณโรค เรียกว่า การตำหนิดเชื้อเวลานี้ว่า วัณโรคอยู่ในระยะปกปิด/ระยะแฝง (latent Mycobacterium tuberculosis infection) เมื่อบุคคลได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้ว ตลอดช่วงชีวิตต่อไปเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้โดยประมาณ ร้อยละ 10ซึ่งราวร้อยละ 5 (หรือโดยประมาณ ร้อยละ50) มีโอกาสเป็นโรคในตอน 1-2 ปีแรก (CDC, 2011) ส่วนอีกจำนวนร้อยละ 5 จะมีโอกาสเป็นโรคจากนั้นถ้าหากร่างกายมีระบบระเบียบภูมิต้านทานปกติ ในกรุ๊ปที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายขาดตกบกพร่องจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากยิ่งกว่าจำนวนร้อยละ 10 การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นวัณโรค
การป้องกันตนเองจากวัณโรค
ซึ่งวัคซีน BCG ถูกผลิตขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2461 A. Calmette และ A. Guerin สองนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันพลาสเตอร์ ก็ผลิตวัคซีนขึ้นมาเรียกว่า Bacille Calmette-Guerin (BCG) และเริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2464 สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาอาการของวัณโรค วัณโรคเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไมโครแบคทีเรียที่เป็นอันตรายร้ายแรงและมีการติดต่อที่เร็วมาก เพราะสามารถแพร่เชื้อทางอากาศได้ แต่ในประเทศไทยของเราถือว่าได้รับข่าวดีเป็นอย่างมากเมื่อมีคณะนักวิจัยสามารถศึกษาวิจัยต้นพบว่ามีสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคได้ถึง 14 ชนิด ดังที่มีการจัดการประชุมวิชาการกรมวิทศาสตร์การแพทย์ ณ.อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อปี 2551 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัย มหาวิทยาลัยโคโบราโดของอเมริกา ก็เพิ่งค้นพบว่า สารที่อยู่ในขมิ้นช่วยปราบวัณโรคชนิดที่ดื้อยาลงได้ โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยได้พบว่า ขมิ้นมีสารที่เรียกว่า แมคโครเฟลกซ์ ซึ่งมีสรรพคุณในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มโรคของมนุษย์สามารถขับไล่เชื้อวัณโรคได้ด้วย โดยจะไปกระตุ้นภูมิคุ้มโรคให้ต่อต้านเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาให้อ่อนฤทธิ์กับการต่อสู้กับยาลง ซึ่งนักวิจัยได้ชี้แจงว่า การศึกษาทำให้เราได้พบหลักฐาน แสดงว่าสารในขมิ้นสามารถช่วยต่อต้านการอักเสบของวัณโรคชนิดที่ดื้อยาในเซลล์ของมนุษย์ได้ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักวิจัยของไทย จะสามารถนำข้อมูลการวิจัยสมุนไพรเหล่านี้มาต่อยอด เพื่อผลิตเป็นยาเพื่อมารักษาวัณโรคได้ในภายหน้า เอกสารอ้างอิง
|