หัวข้อ: โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ เมษายน 30, 2018, 09:37:31 am (https://www.img.in.th/images/8885a02e97b9d617061e5f2dbe72cfcf.jpg)
โรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) โรคออทิสติกคืออะไร “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่มีชื่อเรียกนานัปการ รวมทั้งมีการเปลี่ยนการเรียกชื่อเป็นระยะ อย่างเช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และก็แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder) จนกระทั่งในขณะนี้ก็เลยมีการตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวินิจฉัยโรคทางใจเวชฉบับปัจจุบัน DSM-5 ของสโมสรจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 สำหรับในภาษาไทย ใช้ชื่อว่า “ออทิสติก” โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความเปลี่ยนไปจากปกติของพัฒนาการเด็กต้นแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะส่วนตัว เป็นโรคที่มีต้นเหตุที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง ทำให้มีความผิดพลาดของความก้าวหน้าหลายด้านหมายถึงกรุ๊ปอาการความผิดปกติ 3 ด้านหลักเป็น
คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งแปลว่า Self คือ แยกตัวอยู่ตามลำพังคนเดียวในโลกของตน เปรียบเหมือนมีกำแพงใส หรือกระจก กันบุคคลเหล่านี้ออกมาจากสังคมรอบกาย ประวัติความเป็นมา ปี พุทธศักราช2486 มีการรายงานคนไข้เป็นครั้งแรก โดยนายแพทย์ลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kanner) จิตแพทย์ สถาบันจอห์น ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานคนป่วยเด็กจำนวน 11 คน ที่มีอาการแปลกๆได้แก่ กล่าวเลียนเสียง กล่าวช้า สื่อสารไม่รู้เรื่อง ทำซ้ำๆรังเกียจการเปลี่ยนแปลง ไม่สนใจผู้อื่น เล่นไม่เป็น แล้วก็ได้ติดตามเด็กอยู่นาน 5 ปี พบว่าเด็กเหล่านี้ต่างจากเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา จึงเรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะอาการเช่นนี้ว่า “Early Infantile Autism” ปี พ.ศ.2487 หมอฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) กุมารแพทย์ ชาวออสเตรีย นำเสนอถึงเด็กที่มีลักษณะเข้าสังคมตรากตรำ หมกมุ่นอยู่กับวิธีการทำอะไรซ้ำๆแปลกๆแต่กลับพูดเก่งมากมาย และก็ดูเหมือนจะเฉลียวฉลาดด้วย เรียกชื่อเด็กที่มีลักษณะอาการแบบนี้ว่า “Autistic Psychopathy” ปี พ.ศ.2524 Lorna Wing นำมาอ้างอิงถึง ออทิสติกในความหมายของแอสเพอร์เกอร์ ละม้ายกับของแคนเนอร์มากมาย นักค้นคว้ารุ่นลูกจึงสรุปว่า หมอ 2 คนนี้เอ่ยถึงเรื่องเดียวกัน แต่ว่าในรายละเอียดที่แตกต่างกัน ซึ่งในปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันเป็น“Autism Spectrum Disorder” จากการศึกษาเล่าเรียนช่วงแรกพบอัตราความชุกของโรคออทิสติกราว 4-5 รายต่อ 10000 ราย แม้กระนั้นรายงานในช่วงหลังเจออัตราความชุกเพิ่มมากขึ้นในประเทศต่างๆทั้งโลก เป็น 20-60 รายต่อ 10000 ราย ความชุกที่มากยิ่งขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งส่วนใดมาจากความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องออทิสติกที่เยอะขึ้น การใช้เครื่องมือสำหรับในการวินิจฉัยที่แตกต่างกัน รวมทั้งปริมาณคนเจ็บที่อาจมีเยอะขึ้น โรคออทิสติกพบในผู้ชายมากยิ่งกว่าผู้หญิงอัตราส่วนราวๆ 2-4:1 อัตราส่วนนี้สูงมากขึ้นในกลุ่มเด็กที่มีอาการน้อยรวมทั้งในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนเพศชายต่อเพศหญิงลดลงในกลุ่มที่มีภาวการณ์ปัญญาอ่อนรุนแรงร่วมด้วย ต้นเหตุของโรคออทิสติก มีความบากบั่นในการศึกษาเรียนรู้ถึงต้นเหตุของออทิสติก แม้กระนั้นก็ยังไม่รู้สาเหตุของความผิดปกติที่แจ่มชัดได้ ในปัจจุบันมีหลักฐานส่งเสริมกระจ่างว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากการทำงานของสมองที่แตกต่างจากปกติ มากยิ่งกว่าสำเร็จจากสภาพแวดล้อม ในสมัยก่อนเคยเชื่อว่าออทิสติก มีต้นเหตุมาจากการเลี้ยงดูในลักษณะที่เย็นชา (Refrigerator Mother) (บิดามารดาที่บรรลุเป้าหมายในเรื่องงาน จนกระทั่งความเกี่ยวพันระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความห่างเย็นชา ซึ่งมีการเปรียบว่า เป็นพ่อแม่ตู้แช่เย็น) แต่ว่าจากหลักฐานข้อมูลในปัจจุบันรับรองได้กระจ่างแจ้งว่า แบบการเลี้ยงดูไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เป็นออทิสติก แต่ถ้าหากเลี้ยงอย่างเหมาะสมก็สามารถที่จะช่วยให้เด็กพัฒนาดียิ่งขึ้นได้มาก แต่ในขณะนี้นักค้นคว้า/นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุด้านพันธุกรรมสูงมากมาย มีความเชื่อมโยงกับโครโมโซมหลายตำแหน่ง เป็นต้นว่า ตำแหน่งที่ 15q 11-13, 7q และ 16p ฯลฯ รวมทั้งจากการเรียนในแฝด พบว่าแฝดเสมือน ซึ่งมีรหัสพันธุกรรมเช่นกัน มีโอกาสเป็นออทิสติกทั้งสองสูงขึ้นยิ่งกว่าฝาแฝดไม่เหมือนอย่างแจ่มแจ้ง รวมทั้งการเรียนรู้ทางด้านกายส่วนและสารสื่อประสาทในสมองของผู้ป่วยออทิสติก จากทั้งทางรูปรังสี สัญญาณคลื่นสมอง สารเคมีในสมองรวมถึงชิ้นเนื้อ เจอความไม่ดีเหมือนปกติหลายอย่างในผู้ป่วยออทิสติกแต่ว่ายังไม่พบรูปแบบที่เฉพาะ ในทางกายส่วนพบว่าสมองของคนป่วยออทิสติกมีขนาดใหญ่กว่าของคนทั่วๆไป แล้วก็บางส่วนของสมองมีขนาดไม่ดีเหมือนปกติ ตำแหน่งที่มีรายงานเจอความไม่ปกติของเนื้อสมอง เป็นต้นว่า brain stem, cerebellum, limbic system แล้วก็ บางตำแหน่งของ cerebral cortex นอกจากนี้การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ในคนเจ็บออทิสติก เจอความผิดแปลกจำนวนร้อยละ 10-83 เป็นความไม่ดีเหมือนปกติของคลื่นกระแสไฟฟ้าสมองแบบไม่เฉพาะเจาะจง (non-specific abnormalities) อุบัติการณ์ของโรคลมชักในเด็กออทิสติกสูงขึ้นยิ่งกว่าของคนทั่วๆไปเป็น พบร้อยละ 5-38 นอกเหนือจากนี้ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับสารสื่อประสาทหลายประเภทโดยเฉพาะ serotonin ที่ค้นพบว่าสูงมากขึ้นในผู้ป่วยบางราย แต่ว่าก็ยังมิได้ผลสรุปที่แจ้งชัดถึงความสัมพันธ์ของความผิดแปลกพวกนี้กับการเกิดออทิสติก ในตอนนี้สรุปได้ว่า มูลเหตุส่วนใหญ่ของออทิสติกมีเหตุที่เกิดจากกรรมพันธุ์แบบหลายปัจจัย (multifactorial inheritance) ซึ่งมียีนที่เกี่ยวพันหลายตำแหน่งแล้วก็มีภูเขาไม่ไวรับ (susceptibility) ต่อการเกิดโรคจากการสัมผัสสภาพแวดล้อมต่างๆ อาการโรคออทิสติก การที่จะทราบดีว่าเด็กคนใดกันเป็นไหมเป็นออทิสติกนั้น เริ่มแรกจะพิจารณาได้จากพฤติกรรมในวัยเด็ก ซึ่งสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก บิดามารดาบางทีอาจจะมองเห็นตั้งแต่ความเกี่ยวข้องด้านสังคมกับคนอื่น ด้านการสื่อความหมาย มีการกระทำที่ทำอะไรซ้ำๆ ความประพฤติจะเริ่มแสดงแจ่มชัดเพิ่มมากขึ้นเมื่อเด็กอายุราวๆ 2 ขวบครึ่ง หรือ 30 เดือน โดยมีลักษณะปรากฏเด่นในเรื่องความชักช้าด้านการพูดและการใช้ภาษา ด้านความเกี่ยวข้องกับสังคมสังเกตได้จากการที่เด็กจะไม่มองตา ไม่แสดงออกทางสีหน้าและท่าทางเหมือนไม่สนใจ จะผูกสัมพันธ์หรือเล่นกับใครกันแน่ และไม่สามารถแสดงออกทางอารมณ์ให้สมควรได้เมื่ออยู่ในสังคม สามารถแยกเป็นด้าน เช่น
หากแม้เด็กออทิสติกที่มีระดับสติปัญญาปกติ ก็ยังมีความบกพร่องในด้านการเข้าสังคม เป็นต้นว่า ไม่ทราบกระบวนการเริ่มหรือจบทบเสวนา บิดามารดาบางคนบางทีอาจมองเห็นความแปลกในด้านสังคมตั้งแต่ในขวบปีแรก รวมทั้งเมื่อเด็กไปสู่วัยเรียน อาการจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุว่าสถานการณ์ทางด้านสังคมที่ซับซ้อนมากเพิ่มขึ้น กล่าวคือ เด็กจะไม่อาจจะรู้เรื่องหรือรับทราบว่าคนอื่นกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไรกับสหายได้ยาก มักถูกเด็กอื่นมองว่าแปลกหรือเป็นตัวตลก
เด็กออทิสติดบางคนเริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 2-3 ปี การใช้ภาษาในขั้นแรกจะเป็นการพูดทวนสิ่งที่ได้ยิน ส่วนในเด็กที่หรูหราเชาวน์ปกติหรือใกล้เคียงธรรมดาจะมีความก้าวหน้าทางภาษาที่ค่อนข้างดี และก็สามารถใช้ประโยคสำหรับเพื่อการติดต่อสื่อสารได้เมื่ออายุโดยประมาณ 5 ปี เมื่อถึงวัยเรียนความผิดพลาดด้านภาษายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะการพูดคุยกันโต้ตอบ บางทีอาจพูดจาวนเวียน บอกเฉพาะในเรื่องที่ตนสนใจ และก็มีปัญหาที่ภาษาที่เป็นนามธรรม หรือพูดไม่ถูกกาลเทศะ
เด็กออทิสติกแบบ high functioning ที่เป็นเด็กโตให้ความสนใจบางเรื่องอย่างจำกัดจำเขี่ย โดยสิ่งที่พึงพอใจนั้นบางทีอาจเกิดเรื่องที่เด็กทั่วๆไปพึงพอใจ แต่ว่าเด็กกลุ่มนี้มีความหมกมุ่นกับประเด็นนั้นเป็นอย่างมาก อย่างเช่น จดจำรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ และก็พูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อนั้นอยู่เสมอ ในเด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นสิ่งที่พึงพอใจบางทีอาจเป็นความทราบด้านวิชาการบางสาขา ได้แก่ คณิต คอมพิวเตอร์ และวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆซึ่งความรู้กลุ่มนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเมื่อยู่ในโรงเรียน จึงช่วยทำให้เด็กออทิสติกเข้าร่วมสังคมในสถานที่เรียนเจริญขึ้น ยิ่งไปกว่านี้เด็กออทิสติกบางครั้งก็อาจจะดื้อมากและมีสมาธิสั้นต่อสิ่งที่ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ จนถึงบางเวลาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเด็กดื้อรั้นสมาธิสั้น (Attention deficit and hyperactivity disorder หรือ ADHD) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลักษณะของออทิสติกไม่ชัดเจน ในเด็กที่มีความเจริญช้าอย่างมากอาจเจอความประพฤติรังควานตัวเอง ดังเช่นว่า โขกหัวหรือกัดตัวเอง เป็นต้น ในด้านเชาวน์ เด็กออทิสติกบางบุคคลมีความรู้ความสามารถพิเศษในด้านความจำหรือคำนวณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม high functioning อาจสามารถจำตัวหนังสือและก็นับเลขได้ตั้งแต่อายุ 2-3 ปี เด็กบางกรุ๊ปสามารถอ่อนหนังสือได้ก่อนอายุ 5 ปี (hyperlexia) วิธีการรักษาโรคออทิสติก ในการตรวจวินิจฉัยว่าเด็กเป็นออทิสติกหรือเปล่า ไม่มีเครื่องวัดที่เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ว่าอาจมีการตรวจประกอบกิจการวิเคราะห์จากการกระทำ โดยเกณฑ์การวิเคราะห์โรคออทิสติกตามระบบ Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (DSM) เริ่มมีตั้งแต่ DSM-III (พ.ศ. 2523) และได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็น DSM-IIIR (พุทธศักราช 2530) ในปัจจุบันใช้มาตรฐานการวินิจฉัยตาม DSM-IV (พุทธศักราช 2537) โดยคำว่า pervasive developmental disorder (PDD) หมายถึงความไม่ปกติในด้านวิวัฒนาการหลายด้าน ซึ่งแบ่งการวินิจฉัย PDD เป็น 5 จำพวก ดังเช่น autistic disorder, Rett’s disorder, childhood disintegrative disorder, Asperger’s disorder และpervasive developmental disorder not otherwise specified (PDD-NOS ในขณะนี้ได้รวมออทิสติกเป็นกลุ่มโรคที่มีความหลากหลายของลักษณะทางคลินิก (autistic spectrum disorder ASD) และมีคำที่เรียกกรุ๊ปออทิสติกที่มีความบกพร่องน้อยกว่า high-functioning autism (https://www.img.in.th/images/17d5b4fc37d5d539fe8ba0b2b819be5b.jpg) โดยแพทย์จะดูอาการพื้นฐานว่ามีปัญหาด้านความเจริญไหม ซึ่งลักษณะของเด็กที่มีความก้าวหน้าช้าจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ โรคออทิสติก (Autistic disorder/Autism) สามารถวิเคราะห์ได้โดยการสังเกตการกระทำ ซึ่ง มีลักษณะอาการครบ 6 ข้อ โดยมีลักษณะจากข้อ (1) อย่างน้อย 2 ข้อ รวมทั้งมีลักษณะ จากข้อ (2) และข้อ (3) ขั้นต่ำข้อละ 2 อาการ ดังต่อไปนี้
อีกทั้งการดูแลรักษาออทิสติก จำเป็นต้องอาศัยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากสหวิชาชีพ (Multidisciplinary Team Approach) ซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น (Child and Adolescent Psychiatrist) นักจิตวิทยา (Psychologist) พยาบาลจิตเวชเด็ก (Child Psychiatric Nurse) นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย (Speech Therapist) นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ครูการศึกษาพิเศษ (Special Educator) นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) ฯลฯ แต่หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาไม่ได้อยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่อยู่ที่ครอบครัวด้วยว่าจะสามารถนำวิธีการบำบัดรักษาต่างๆ ที่ได้รับ มาประยุกต์ใช้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหรือไม่ โดยวิธีการรักษาที่เหมาะสมคือ บูรณาการ การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน วิธีการรักษา ได้แก่
การติดต่อของโรคออทิสติก โรคออทิสติกเป็นโรคที่ยังไม่เคยทราบปัจจัยการเกิดโรคที่แจ่มกระจ่างแน่ๆแต่มีผลการศึกษาวิจัยจำนวนไม่น้อยบอกว่า เกี่ยวพันกับต้นสายปลายเหตุด้านพันธุกรรม รวมทั้งข้อผิดพลาดเปกติของสมอง ซึ่งโรคออทิสติกนี้ มิได้ถูกกล่าวว่าเป็นโรคติดต่อ เพราะว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด กรรมวิธีดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยออทิสติก เนื่องจากว่าโรคออทิสติกพบได้บ่อยมากมายในเด็ก ดังนั้นจึงต้ออาศัยการดูแลและรักษาแบบบูรณ
|