หัวข้อ: โรตกรดไหลย้อนที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสรรพคุณเเละประโยชน์เเละวิธีรักษาดังนี้ เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ เมษายน 30, 2018, 07:23:03 pm (https://www.img.in.th/images/f6fbcc492bfc875f63dffe872b932ddf.md.jpg)
โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease : GERD) โรคกรดไหลย้อนคืออะไร “โรคกรดไหลย้อน” (Gastroesophageal reflux disease ,GERD) เป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนของกรด (น้ำย่อย) ในกระเพาะอาหารกลับไปที่หลอดของกิน ซึ่งโดยทั่วไปร่างกายของเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้าง โดยยิ่งไปกว่านั้นหลังรับประทานอาหารแม้กระนั้นผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีจำนวนกรดที่ย้อนมากขึ้นเรื่อยๆหรือย้อนบ่อยกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดของกินมีความไวประมือดมากขึ้นแม้ว่าจะมีปริมาณกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่เกินกว่าปกติ ส่งผลให้มีลักษณะอาการระคายบริเวณคอ รวมทั้งแสบอกหรือจุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ และมีลักษณะท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายกับอาการของโรคกระเพาะอาหาร ทำให้คนส่วนใหญ่หลงผิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร แล้วก็ไปซื้อยาลดกรด (antacids) ที่มีจัดจำหน่ายตามตลาดมารับประทานเพื่อบรรเทาอาการ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด จึงพบว่าในตอนนี้มีคนไข้มาเจอแพทย์ด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงมากขึ้น รวมทั้งถ้าเกิดปล่อยให้กำเนิดอาการเรื้อรังและรักษาด้วยวิธีที่ผิดจะต้อง บางทีอาจก่อให้เกิดการเกิดหลอดของกินอักเสบ แผลที่หลอดอาหาร หรือหลอดของกินตีบ ซึ่งบางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคมะเร็งหลอดของกินได้ นอกจากนั้นยังสามารถแยกเป็นชนิดและประเภทของโรคกรดไหลย้อนได้เป็น 2 จำพวก คือ
ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้ เป็นโรคที่พบได้ราวๆ 10-15% ของผู้ที่มีอาการของกินไม่ย่อย (Syspepsia) แล้วก็พบได้ทั่วไปทั้งยังในสตรีแล้วก็ในเพศชาย โดยเจอได้ใกล้เคียงกัน เป็นโรคที่เจอได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กอ่อนไปจนถึงคนสูงอายุ แม้กระนั้นเจออัตรากำเนิดสูงขึ้นในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และพบได้สูงสุดในช่วงอายุ 60 - 70 ปีขึ้นไป มีรายงานว่าประเทศแถมตะวันตกเจอโรคนี้ได้โดยประมาณ 10 - 20% ของราษฎรอย่างยิ่งจริงๆ สิ่งที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีต้นสายปลายเหตุที่เกี่ยวพันกับความผิดปกติ ของการทำหน้าที่ของกล้ามหูรูดที่อยู่ตรงส่วนล่างของหลอดอาหาร (lower esophageal sphincter, LES) ในคนธรรมดาขณะกลืนของกินหูรูดนี้จะคลายตัวเพื่อเปิดทางให้อาหารไหลผ่านลงสู่กระเพาะอาหาร เมื่อของกินผ่านลงกระเพาะอาหารจนถึงหมดแล้วหูรูดนี้จะหดรัดเพื่อห้ามไม่ให้น้ำย่อย (ซึ่งเป็นกรดเกลือ) ที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร แต่คนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน พบว่ากล้ามหูรูดตรงด้านล่างของหลอด ของกินนี้หย่อนยานความสามารถ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหารมากกว่าธรรมดา (คนทั่วๆไปข้างหลังรับประทานข้าวอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง ซึ่งไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการ) นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการผิดปกติ และการอักเสบของเยื่อบุหลอด ของกินได้ ส่วนปัจจัยที่ทำให้หูรูดดังที่กล่าวถึงแล้วทำงานเปลี่ยนไปจากปกติยังไม่รู้จักกระจ่างแจ้ง แต่ว่าเชื่อว่าอาจเกิดจากความเสื่อมถอยตามอายุ (เจอในคนแก่กว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังเจริญก้าวหน้าไม่เต็มกำลัง (เจอในเด็กแรกเกิด) หรือมีความผิดปกติที่เป็นมาโดยกำเนิด นอกจากนั้นความประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หรือโรคบางประเภทมีส่วนกระตุ้นการทำงานของหลอดอาหารให้เกิดความเปลี่ยนไปจากปกติได้ หรือทำให้กระเพาะหลั่งกรดในจำนวนมากขึ้น ได้แก่ เข้านอนหลังรับประทานอาหารโดยทันที ทานอาหารปริมาณมากข้างในมื้อเดียว อยู่ในช่วงตั้งท้อง การกระทำที่ได้กล่าวมาแล้วเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้นด้วยเหมือนกัน ลักษณะโรคกรดไหลย้อน อาการของคนป่วยนั้นขึ้นกับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด อาทิเช่น
แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก ประวัติอาการ การตรวจคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคปอดต่างๆการส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดของกิน กระเพาะ รวมทั้งไส้ แล้วก็อาจตัดชิ้นเนื้อในรอบๆที่ผิดปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดของกิน แล้วก็อาจมีการตรวจวิธีเฉพาะอื่นๆเพิ่ม ตัวอย่างเช่น วัดภาวะความเป็นกรดของหลอดของกินในขณะส่องกล้อง ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของหมอ ดังเช่นว่า การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง, การตรวจทางเวชศาสตร์ปรมาณู, การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร เป็นต้น แต่โดยส่วนมากแล้ว แพทย์มักจะวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนจากอาการแสดงก็เพียงพอต่อการวินิจฉัยโรคแล้ว ซึ่งอาการแสดงที่พบมาก ดังเช่น อาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก แล้วก็เรอเปรี้ยวหลังทานอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หรือมีความประพฤติที่เป็นเหตุกำเริบ แต่ในรายที่กำกวมบางทีอาจจะต้องกระทำตรวจพิเศษ (ซึ่งพบได้ไม่บ่อย) ขั้นตอนการรักษาโรคกรดไหลย้อน
ควรพากเพียรลดน้ำหนัก พากเพียรเลี่ยงความตึงเครียด เลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่นเหลือเกิน ถ้าหากมีอาการท้องผูก ควรรักษา รวมทั้งหลบหลีกการเบ่ง ควรจะออกกำลังกายเป็นประจำ ภายหลังรับประทานอาหารโดยทันที เพียรพยายามหลบหลีกการนอนราบ หลบหลีกการกินอาหารมื้อมืดค่ำ กินอาหารจำนวนพอดิบพอดีในแต่ละมื้อ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางประเภท ดังเช่น กาแฟ น้ำอัดลม ถ้าเกิดจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรจะคอยประมาณ 3 ชั่วโมง
ปัจจุบันนี้ยาที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด เป็นยาลดกรดในกรุ๊ปยับยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) เช่น โอเมพราโซล (omeprazole)ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมากมายในการปกป้องลักษณะของโรคกรดไหลย้อน โดยให้กินยาติดต่อกันเป็นเวลา 6 - 8สัปดาห์ หรืออาจจะต้องใช้ยาเป็นระยะเวลานานนับเป็นเวลาหลายเดือนขึ้นอยู่กับผู้เจ็บป่วยแต่ละราย เป็นต้นว่ากรณีที่เป็นมากหรือมีอาการมานาน ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการปรับการกินยาเป็นระยะๆตามอาการที่มี หรือกินโดยตลอดเป็นระยะเวลานาน ในบางครั้งบางทีอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย อย่างเช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มก. 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งยานี้ควรรับประทานก่อนรับประทานอาหารโดยประมาณ 30 นาที
คนเจ็บที่มีลักษณะรุนแรง ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วไม่ดีขึ้น คนไข้ที่ไม่อาจจะกินยาที่ใช้สำหรับในการรักษาสภาวะนี้ได้ คนป่วยที่ดีขึ้นภายหลังการใช้ยา แม้กระนั้นไม่ได้อยากที่จะรับประทานยาต่อ คนป่วยที่กลับเป็นซ้ำบ่อยครั้งข้างหลังหยุดยา ทั้งนี้ผู้เจ็บป่วยที่ต้องได้รับการผ่าตัดมีเพียงแค่ร้อยละ 10 แค่นั้น การรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายวิธี ได้แก่ endoscopic fundoplication, radiofrequency therapy, injection / implantation therapy ฯลฯ (https://www.img.in.th/images/93ef36996517bdac08f7cec2b0fafc41.jpg) ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโรคกรดไหลย้อน
การติดต่อของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีต้นเหตุที่เกิดจากความผิดปกติของกล้ามหูรูดข้างล่างของหลอดอาหาร ทำให้มีกรด (น้ำย่อย) จากกระเพาะไหลย้อนไปขึ้นไปที่หลอดของกินและก็เกิดการอักเสบแล้วก็อาการต่างๆตามมา ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้มิได้เป็นโรคติดต่อ เพราะไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน
การป้องกันตนเองจากโรคกรดไหลย้อน การป้องกันโรคกรดไหลย้อนนั้นตัวเราเองเป็นข้อสำคัญที่จะสามารถปกป้องการเกิดโรคได้ โดยการปรับเปลี่ยนความประพฤติการดำรงชีวิตของพวกเรา อย่างเช่น
ชา กาแฟ และน้ำอัดลมทุกประเภท ของกินทอด ของกินไขมันสูง ของกินรสจัด รสเผ็ด ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์ ช็อกโกแลต
ยอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia วงศ์ Rubiaceae มีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยในหนู พบว่า “ยอ” ซึ่งมีสารสำคัญ คือ สโคโปเลว่ากล่าวน (scopoletin) เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยนั้น สามารถลดการอักเสบของหลอดอาหารจากการไหลย้อนของกรดได้ผลดี พอๆกับยามาตรฐานที่ใช้เพื่อการรักษากรดไหลย้อน คือ รานิติดีน (ranitidine) แล้วก็แลนโสพราโซล (lansoprazole) เนื่องมาจากมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ ต้านทานการหลั่งของกรด ต้านการเกิดแผล แล้วก็ทำให้การบีบตัวของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น โดยส่งผลต่อระบบประสาทที่เกี่ยวเนื่องโดยตรง และก็ยังมีแถลงการณ์ว่าสามารถเพิ่มการดูดซึมของรานิติดีน “ยอ” จึงเหมาะสำหรับในการเป็นสมุนไพรสำหรับรักษาอาการกรดไหลย้อนเป็นอย่างยิ่ง จากการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยข้างต้น แล้วก็การที่ “ยอ” มีรสร้อน ช่วยในการย่อยของกิน ทำให้ของกินไม่หลงเหลือ ไม่กำเนิดลมในกระเพาะอาหาร ลดการเกิดแรงดันที่ทำให้กรดไหลย้อน “ยอ” ยังช่วยทำให้กระเพาะบีบเคลื่อนเจริญขึ้น ทำให้ของกินเขยื้อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็กได้ดิบได้ดีขึ้น ดังนี้สมุนไพรที่อาจใช้ร่วมกัน คือ ขมิ้นชัน ด้วยเหตุว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณสำหรับเพื่อการรักษาอาการท้องอืด และช่วยขับน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ทำให้อาหารไม่หลงเหลือในกระเพาะ แล้วก็ลำไส้เล็กนานเกินความจำเป็น ทั้งช่วยรักษาแผลในกระเพาะได้อีกด้วย มีผู้แนะนำให้รับประทานขมิ้นชันก่อนที่จะรับประทานอาหาร 1-2 ชั่วโมง รุ่งเช้า ตอนกลางวัน เย็น และก่อนนอน ขนาดกินคือ ทีละ 1 ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ 3 เม็ดๆละ 500 มก. ขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa L. สกุล Zingiberaceae ชื่อพ้อง C. domestica Valeton ชื่ออื่นๆ ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอกล้อ ขมิ้นหัว ขมิ้นชัน ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ Turmeric สารออกฤทธิ์ curcumin, ar-turmerone curcumin จากขมิ้นลดการอักเสบจากรอยแผลได้ดิบได้ดี การทดสอบในหลอดทดสอบ โดยใช้สารสกัดขมิ้น 160 มิลลิกรัม/กิโลกรัม กรอกเข้าทางกระเพาะ (intragastric) ของหนูขาว ยั้งการอักเสบคิดเป็น 29.5% curcumin มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน การทดสอบเทียบระหว่าง phenylbutazone กับ sodium curcuminate 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่าได้ผลดี แม้กระนั้นหากสูงมากขึ้นเป็น 60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ฤทธิ์ต้านการอักเสบจะต่ำลง และ sodium curcuminate ยังสามารถยั้งการบีบตัวของลำไส้หนูในหลอดทดลองที่รั้งนำจากนิโคติน อะซีตำหนิลโคลีน 5-hydroxy-tryptamine ฮีสตามีนแล้วก็แบเรียมคลอไรด์ นอกเหนือจากนั้น sodium curcuminate ยังลดจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้เล็กของกระต่าย โดยไปลดระยะห่างของจังหวะการบีบรัดตัวของไส้ ขมิ้นสามารถต้านทานการเกิดแผลในกระเพาะ โดยกระตุ้นการหลั่งไม่วสินมาฉาบแล้วก็ยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆสารสำคัญสำหรับการออกฤทธิ์เป็น curcumin ในขนาด 50 มก./กก. สามารถกระตุ้นการหลั่งมิวสินออกมาเคลือบกระเพาะ แม้กระนั้นถ้าหากใช้ในขนาดสูงอาจจะเป็นผลให้กำเนิดแผลในกระเพาะได้ มีการทดสอบในกระต่ายเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีการหลั่งกรดมาก พบว่าผงขมิ้นไม่เปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำย่อยและก็กรดในกระเพาะ แม้กระนั้นเพิ่มองค์ประกอบของไม่วซิน ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass อยู่ในตระกูล Menispermaceae ใบของย่านาง คือเป็นส่วนที่มีสาระและถูกประยุกต์ใช้สำหรับในการรักษาโรคสูงที่สุด ด้วยเหตุว่าเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น และมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง นอกนั้นถูกจัดเอาไว้ภายในตำราสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของใบย่านางในการรักษาโรคมีดังนี้ ระบบทางเดินอาหาร -ช่วยรักษาโรคกระเพาะ ไส้อักเสบ -ช่วยลดอาการหดเกร็งตามไส้ -ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน รักษารวมทั้งคุ้มครองป้องกันโรคภัยต่างๆ-ช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง -ช่วยคุ้มครองปกป้องและบำบัดรักษาการเกิดโรคหัวใจ -ช่วยป้องกันรวมทั้งลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้ -ช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดลง ระบบผิวหนัง -ช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคเริม งูสวัด -ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ระบบสืบพันธุ์และฟุตบาทปัสสาวะ -ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี -ช่วยรักษาอาการเยี่ยวแสบขัด ออกร้อนในทางเท้าเยี่ยว ขึ้นฉ่าย (Apium graveolens L.) ช่วยบำรุงระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารภายในร่างกายรวมทั้งช่วยลดลักษณะของโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ซึ่งรวมทั้งโรคกรดไหลย้อน เอกสารอ้างอิง
|