หัวข้อ: โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง เริ่มหัวข้อโดย: teareborn ที่ พฤษภาคม 02, 2018, 11:12:48 am (https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/YCf0dl.jpg)
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) โรคกระดูกรุน คืออะไร โรคกระดูกพรุนโดยทั่วไปแล้ว เป็นสภาวะที่ปริมาณแร่ธาตุ (ที่สำคัญคือแคลเซียม) ในกระดูกลดลง ร่วมกับความเสื่อมของเยื่อที่ประกอบเป็นองค์ประกอบข้างในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น จึงบอบบางแตกหักง่าย รอบๆที่พบการหักของกระดูกได้บ่อยครั้ง ดังเช่น ข้อมือ สะโพก รวมทั้งสันหลัง ส่วนคำนิยามของสภาวะกระดูกพรุนหรือโรคกระดูกพรุน หมายถึง ภาวการณ์ที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density : BMD) ลดน้อยลงซึ่งมีผลให้กระดูกเปราะบาง แล้วก็มีการเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่าย โดยใช้ความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นมาตรฐานสำหรับในการวิเคราะห์สภาวะกระดูกพรุนที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1994 โดยเทียบเทียงค่า BMD ของคนไข้กับของวัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงโดยใช้ค่า T-score เป็นเกณฑ์ คนที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) ต่ำลงยิ่งกว่า -2.5 วิเคราะห์ว่ามีภาวะกระดูกพรุน ในเวลาที่ค่า -1.0 ถึง -2.5 ถือว่ามีสภาวะกระดูกบาง (osteopenia) และก็ ค่ามากกว่า -1.0 ถือว่ากระดูกธรรมดา โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในคนวัยแก่ โดยยิ่งไปกว่านั้นในหญิงวัยหมดระดู (มักไม่ค่อยเจอในเด็กและคนหนุ่มคนสาว นอกจากในเรื่องที่มีภาวะปัจจัยเสี่ยง) โดยสตรีมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนสูงถึงร้อยละ 30-40 ตอนที่ผู้ชายมีโอกาสจำนวนร้อยละ 13 โดย เพศหญิงช่วงอายุ 10 ปีแรกข้างหลังหมดเมนส์ กระดูกจะบางลงเร็วมาก อธิบายได้ว่าเกิดจากการที่ขาดฮอร์โมนผู้หญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยังเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากความเสื่อมตามวัยซึ่งเจอได้ในผู้ชายแล้วก็ผู้หญิง และก็เป็นโรคที่คนโดยมากมักละเลยเนื่องจากว่าจะไม่ออกอาการตราบจนกระทั่งจะเกิดภาวะเข้าแทรก(การหักของกระดูกต่างๆเช่น กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง) ทำให้คนส่วนมากไม่ได้รับการตรวจหรือรักษา อย่างทันเวลาจนถึงเป็นเหตุให้เกิดการหักของกระดูกตามอวัยวะต่างๆจากที่กล่าวมา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกบั้นท้าย) จากการคะเนโดยประมาณขององค์การอนามัยโลก คาดว่าใน ค.ศ.2050 จะมีผู้เจ็บป่วยเพราะกระดูกบั้นท้ายหักสูงถึง 6.25 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการแถลงการณ์ในปี ค.ศ. 1990 ที่มีจำนวนคนเจ็บเพียง 1.33 ล้านคน เนื่องจากสภาวะกระดูกพรุนมีความเชื่อมโยงกับกระดูกสันหลังสถิติดังที่กล่าวมาแล้วจึงสะท้อนถึงปริมาณผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างเร็วในตอนศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกลุ่มทวีปเอเชียซึ่งพบว่าในปริมาณราษฎร กระดูกบั้นท้ายหักทั่วโลกในปี คริสต์ศักราช1990 ร้อยละ 30 เป็นชาวเอเชียและในปี 2050 คาดว่าชาวเอเชียจะสามัญชนผู้ป่วยกระดูกบั้นท้ายหักถึงจำนวนร้อยละ 50 ของราษฎรโลกทั้งผอง สำหรับเมืองไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไม่มีการศึกษาถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นทุกปี แต่ว่าจากสถิติจำนวนพลเมืองคนสูงอายุของเมืองไทยที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเร็ว จึงทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในคนที่แก่ตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะพบโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยพบภาวการณ์กระดูกพรุนรอบๆสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% บริเวณกระดูกสะโพก 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกบั้นท้ายหักในเพศหญิงวัยหมดประจำเดือนที่แก่ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้จำนวน 289 ครั้งต่อประชากร 1 แสนรายต่อปี ที่มาของโรคกระดูกพรุน เหตุเพราะกระดูกมี โปรตีน คอลลาเจน รวมทั้งแคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง กระดูกมีการสร้างแล้วก็เสื่อมสภาพอยู่ตลอดเวลา พูดอีกนัยหนึ่ง ตอนที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากของกินที่กินเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดรวมทั้งถูกขับออกมาทางฉี่แล้วก็อุจจาระ ธรรมดาในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากยิ่งกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญวัย มวลกระดูกจะค่อยๆเพิ่มขึ้นจนมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุประมาณ ๓๐-๓๕ ปี ต่อจากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากยิ่งกว่าการผลิต ทำให้กระดูกค่อยๆบางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสตรีช่วงหลังวัยหมดระดู ซึ่งมีการลดลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างเร็ว ฮอร์โมนชนิดนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายแล้วก็ชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนจำพวกนี้ก็จะทำให้กระดูกบางตัวลงอย่างเร็ว จนกระทั่งเกิดภาวะกระดูกพรุน ส่วนกลไกการเกิดกระดูกพรุนที่แน่ๆยังไม่เคยรู้ แต่ในเบื้องต้นพบว่าเป็นผลมาจากการเสียสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) และก็เซลล์ดูดซับทำลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งการมีกระดูกที่แข็งแรงต้องมีสมดุลระหว่างเซลล์ทั้งสองประเภทนี้เสมอ ซึ่งการเสียสมดุลกำเนิดได้จากหลายสาเหตุคือ
ลักษณะโรคกระดูกพรุน ส่วนใหญ่ชอบไม่มีอาการแสดง ตราบจนกระทั่งเกิดผิดปกติของโครงสร้างกระดูก ดังเช่นว่า ปวดข้อมือ สะโพก หรือข้างหลัง (เหตุเพราะกระดูกข้อมือ บั้นท้าย หรือสันหลังแตกหัก) ส่วนสูงน้อยลงจากเดิม (เนื่องจากว่าการหักและยุบตัวของกระดูกสันหลัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด เป็นต้น) ถ้าหากเป็นโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นต้นเหตุ ทั้งผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะเสี่ยงต่อการหักของกระดูกซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ทั่วไปชองภาวการณ์กระดูกพรุนโดยเฉพาะกระดูกบั้นท้าย กระดูกสันหลัง แล้วก็กระดูกข้อมือ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อการ สูญเสียอีกทั้งเศรษฐกิจของชาติและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย รวมทั้งโดยส่วนใหญ่จะมีเหตุมาจากอุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรงหรือมีแรงกระแทกต่ำ ดังเช่น กระดูกหักจากการเปลี่ยนท่ายืนหรือนั่ง, กระดูกหักขณะก้มถือของหรือชูของหนัก, ซี่โครงหักเพียงไอหรือจาม, กระดูกข้อมือหักจากการใช้มือจนกระทั่งตัวเอาไว้จากการลื่นหรือหกล้ม, กระดูกสะโพกหักจากตูดชนกับพื้น ฯลฯ ขั้นตอนการรักษาของโรคกระดูกพรุน เนื่องจากว่าภาวการณ์กระดูกพรุนส่วนใหญ่ไม่ปรากฏอาการแสดงที่ไม่ปกติจวบจนกระทั่งจะมีการหักของกระดูก รวมทั้งมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆดังเช่น อาการปวดเกิดขึ้น การตรวจและวิเคราะห์การสูญเสียมวลกระดูกให้ได้ก่อนที่จะมีการหักของกระดูกจึงเป็นหัวข้อสำคัญ โดยหมอจะวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน จากเรื่องราวอาการ เรื่องราวป่วยไข้ต่างๆประวัติการออกกำ ลังกาย อายุ การตรวจร่างกาย รวมทั้งจะทำการวินิจฉัยด้วยการเอกซเรย์กระดูก ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density) แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าปกติในเพศและอายุตอนเดียวกัน ถ้าหากกระดูกมีค่ามวลกระดูกน้อยกว่า 1.00 gm/cm2 จะมีโอกาสกระดูกหักได้ง่าย ซึ่งการแบ่งกระดูกตามค่ามวลกระดูกจะแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ดังต่อไปนี้
การตรวจด้วย dual-energy x-ray absorptiometry (DEXA) ได้รับการยินยอมรับว่าเป็นแนวทางการตรวจที่เป็นมาตรฐาน (gold standard) มีความถูกต้องแม่นยำที่สุดในการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกแม้ว่าจะสูญเสียมวลกระดูกไปเพียงแค่ร้อยละ 1 ก็ตาม กรรมวิธีรักษาโรคกระดูกพรุนคือ เพิ่มหลักการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกและก็หยุดหรือลดรูปแบบการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก โดยหมอจะมีแนวทางการดูแลรักษาผู้ที่มีภาวะกระดุพรุน ดังต่อไปนี้
คนป่วยควรต้องใช้ยาเสมอๆ หมอจะนัดมาตรวจเป็นระยะ บางทีอาจจำเป็นต้องกระทำการตรวจกรองโรคมะเร็งเต้านมรวมทั้งปากมดลูก (สำหรับคนที่กินเอสโทรเจน) ปีละ ๑ ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๒-๓ ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก ฯลฯ ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน ดังเช่น กระดูกหัก ก็ให้การรักษา ตัวอย่างเช่น การเข้าเฝือก การผ่าตัด การทำกายภาพบำบัด เป็นต้น ในรายที่มีโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อมเพียงกัน ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคกระดูกพรุน สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุนนั้น ปัจจัยเสี่ยงอยู่ 2 ประเภท คือ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ และ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ (ตารางที่ 1) ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายเหตุก็จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน รวมทั้งจะได้โอกาสสูงที่จะกำเนิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน (https://www.picz.in.th/images/2018/04/28/YCfNbV.jpg) สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของการเกิดภาวการณ์กระดูกพรุน ปัจจัยที่ปรับปรุงแก้ไขมิได้ ต้นสายปลายเหตุที่ปรับปรุงแก้ไขได้
การติดต่อของโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ร่างกายมีสภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดต่ำลงยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากกลไกการเสื่อมสลายของเซลล์สร้างกระดูก นำมาซึ่งการทำให้ความสมดุลของเซลล์สร้างกระดูกแล้วก็เซลล์ดูดซึมทำลายกระดูกสูญเสียไป ซึ่งมีเยอะมากหลายสาเหตุ แต่โรคกระดูกพรุนนี้ไม่ใช่โรคติดต่อเนื่องจากว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน
อายุจำนวนแคลเซียมที่อยากได้ (mg/day) แรกเกิด – 6 เดือน 6 เดือน – 1 ปี 1 ปี – 5 ปี 6 ปี – 10 ปี 11 ปี – 24 ปี เพศชาย 25 ปี – 65 ปี มากยิ่งกว่า 65 ปี ผู้หญิง 25 ปี – 50 ปี มากกว่า 50 ปี (ข้างหลังวัยหมดประจำเดือน) อายุ 400 600 800 800-1200 1200-1500 1000 1500 1000 จำนวนแคลเซียมที่ต้องการ (mg/day) -ได้รับการรักษาด้วย estrogen - มิได้รับการดูแลรักษาด้วย estrogen แก่กว่า 65 ปี ระหว่าตั้งครรภ์ หรือให้นมลูก 1000 1500 1500 1200-1500 โดยของกินที่มีแคลเซียมสูง อย่างเช่น นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก (อย่างเช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (อย่างเช่น คะน้า ใบชะพู) งาดำคั่ว วิถีทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและก็วัยรุ่นควรจะดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว คนแก่และก็คนสูงอายุดื่มนมวันละ 1-2 แก้วบ่อยๆ จะมีผลให้ได้รับแคลเซียมปริมาณร้อยละ 50 ของจำนวนที่อยาก ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้กินจากของกินแหล่งอื่นๆประกอบ คนแก่บางบุคคลที่มีความจำกัดสำหรับเพื่อการดื่มนม (เช่น มีภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกรับประทานเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคของกินที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้เยอะขึ้นเรื่อยๆ
เพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangu laris L. สกุล Vitaceae "เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงกระดูกมาตั้งแต่อดีตกาล ในพระคู่มือสรรพลักษณะ พูดถึงสรรพคุณของ "เพชรสังฆาต" ไว้ว่า "เพชรสังฆาต แก้จุกเสียด แก้บิด แก้ปวดในข้อในกระดูก ถูกใจแก้ลมทั้งปวงแล" ในตำราเรียนหมอแผนโบราณทั่วไป สาขาการปรุงยา ของกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า "เพชรสังฆาต" มีสรรพคุณ แก้กระดูกแตก หัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ส่วนแพทย์ท้องถิ่นนั้นใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกบริเวณกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบได้ ปัจจุบันนี้ได้มีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งยืนยันสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีส่วนประกอบของแคลเซียมสูงมาก และก็สารอทุ่งนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) มีฤทธิ์รีบปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการผลิตเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งทำหน้าที่สร้างกระดูกแล้วก็ยังช่วยให้มีการสร้างสารไม่ววัวโพลีแซกค้างไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในขั้นตอนสมานกระดูก นอกเหนือจากนั้นสารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตกระทั่งเปลี่ยนเป็นกระดูกแข็งที่สามารถรับน้ำหนักรวมทั้งมีความยืดหยุ่นในตนเอง ผลของการตรวจสอบและลองใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกรุ๊ปเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกแล้วก็รักษากระดูกแตก กระดูกหักได้ ฝอยทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. สกุล Convlvulaceae ในประเทศจีนแล้วก็บางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการใช้เมล็ดฝอยทองสำหรับการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกรุ๊ป astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin และก็ kaempferol เมื่อเอามาทดสอบฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol แล้วก็ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวระบุในการเพิ่มการผลิตเซลล์กระดูกของเซลล์เริ่มต้น และสาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106 ด้วย ส่วนสารอื่นๆไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ขึ้นรถ quercetin, kaempferol และ isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แต่ว่าเมื่อเทียบกันในทางของการกระตุ้น ER จะมีเพียงแต่สาร quercetin แล้วก็ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงสำหรับการยั้งตัวรับ estrogen จำพวก ERα/β โดยที่กลไกดังที่กล่าวถึงแล้วคาดว่าจะเปรียบเทียบกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่บริเวณกระดูก ไขมัน หัวใจแล้วก็เส้นโลหิต แต่ว่าออกฤทธิ์ยั้ง ER ที่บริเวณเต้านมแล้วก็มดลูก ยิ่งไปกว่านี้สาร quercetin รวมทั้ง kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตกระดูก เช่นเดียวกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งสิ้นทำให้สรุปได้ว่าเม็ดฝอยทองมีคุณภาพสำหรับในการรักษาโรคกระดูกพรุน แล้วก็สารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับเพื่อการสร้างเซลล์กระดูกคือ kaempferol และ hyperoside เอกสารอ้างอิง
|