หัวข้อ: โรตกรดไหลย้อนที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสรรพคุณเเละประโยชน์เเละวิธีรักษาดังนี้ เริ่มหัวข้อโดย: raraymondas ที่ พฤษภาคม 08, 2018, 08:00:39 pm (https://www.img.in.th/images/f6fbcc492bfc875f63dffe872b932ddf.md.jpg)
โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease : GERD) โรคกรดไหลย้อนคืออะไร “โรคกรดไหลย้อน” (Gastroesophageal reflux disease ,GERD) เป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนของกรด (น้ำย่อย) ในกระเพาะอาหารกลับไปที่หลอดอาหาร ซึ่งโดยทั่วไปร่างกายของเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้าง โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารแต่คนที่เป็นโรคนี้จะมีปริมาณกรดที่ย้อนเยอะขึ้นหรือย้อนหลายครั้งกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดของกินมีความไวประมือดมากขึ้นแม้ว่าจะมีจำนวนกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่เกินกว่าธรรมดา ส่งผลให้มีอาการระคายรอบๆคอ รวมทั้งแสบอกหรือจุกเสียดรอบๆใต้ลิ้นปี่ แล้วก็มีลักษณะอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายๆกับอาการโรคกระเพาะอาหาร ทำให้คนส่วนใหญ่รู้ผิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร แล้วก็ไปซื้อยาลดกรด (antacids) ที่มีขายตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อทุเลาอาการ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด ก็เลยพบว่าในตอนนี้มีคนป่วยมาเจอหมอด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงขึ้น และถ้าเกิดปล่อยให้เกิดอาการเรื้อรังและก็รักษาด้วยการใช้วิธีที่ผิดจะต้อง อาจก่อให้เกิดการเกิดหลอดอาหารอักเสบ แผลที่หลอดของกิน หรือหลอดของกินตีบ ซึ่งอาจเพิ่มการเสี่ยงสำหรับเพื่อการเกิดโรคมะเร็งหลอดของกินได้ นอกจากนี้ยังสามารถจำแนกแยกแยะของโรคกรดไหลย้อนได้เป็น 2 ชนิด เป็น
ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้ เป็นโรคที่พบได้ราวๆ 10-15% ของคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อย (Syspepsia) แล้วก็พบมากในเพศหญิงรวมทั้งในเพศชาย โดยพบได้ใกล้เคียงกัน เป็นโรคที่เจอได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่ทารกไปจนกระทั่งคนแก่ แม้กระนั้นเจออัตรากำเนิดสูงมากขึ้นในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป รวมทั้งเจอได้สูงสุดในช่วงอายุ 60 - 70 ปีขึ้นไป มีรายงานว่าประเทศแถมตะวันตกพบโรคนี้ได้ราว 10 - 20% ของพลเมืองเลยทีเดียว สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีสาเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดแปลก ของกระบวนการทำหน้าที่ของกล้ามหูรูดที่อยู่ตรงข้างล่างของหลอดอาหาร (lower esophageal sphincter, LES) ในคนปกติขณะกลืนอาหารหูรูดนี้จะคลายตัวเพื่อเปิดทางให้อาหารไหลผ่านเข้าสู่กระเพาะอาหาร เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะอาหารจนถึงหมดแล้วหูรูดนี้จะหดรัดเพื่อขัดขวางไม่ให้น้ำย่อย (ซึ่งเป็นกรดเกลือ) ที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดของกิน แม้กระนั้นผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน พบว่ากล้ามเนื้อหูรูดตรงข้างล่างของหลอด ของกินนี้หย่อนยานสมรรถนะ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหารมากยิ่งกว่าปกติ (คนทั่วๆไปข้างหลังกินข้าวอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง ซึ่งไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการ) กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการเปลี่ยนไปจากปกติ และก็การอักเสบของเยื่อบุหลอด ของกินได้ ส่วนต้นสายปลายเหตุที่ทำให้หูรูดดังที่กล่าวมาข้างต้นทำงานแตกต่างจากปกติยังไม่รู้จักกระจ่างแจ้ง แต่ว่าเชื่อว่าอาจเป็นเพราะความเสื่อมตามอายุ (พบในคนแก่กว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังเจริญไม่เต็มกำลัง (เจอในเด็กแรกเกิด) หรือมีความผิดธรรมดาที่เป็นมาโดยกำเนิด นอกจากนี้พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน หรือโรคบางประเภทมีส่วนกระตุ้นการทำงานของหลอดของกินให้เกิดความไม่ดีเหมือนปกติได้ หรือทำให้กระเพาะหลั่งกรดในจำนวนมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นอนหลังรับประทานอาหารโดยทันที รับประทานอาหารปริมาณมากข้างในมื้อเดียว อยู่ในตอนท้อง การกระทำต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดภาวการณ์กรดไหลย้อนได้ง่ายมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน ลักษณะโรคกรดไหลย้อน ลักษณะของคนเจ็บนั้นขึ้นกับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด ดังเช่นว่า
แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก เรื่องราวอาการ การตรวจลำคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคปอดต่างๆการส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดอาหาร กระเพาะ แล้วก็ไส้ และก็อาจตัดชิ้นเนื้อในบริเวณที่ไม่ปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดอาหาร และอาจมีการตรวจแนวทางเฉพาะอื่นๆเพิ่มเติม อาทิเช่น ตรวจวัดภาวะความเป็นกรดของหลอดอาหารในขณะส่องกล้อง ดังนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ เป็นต้นว่า การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง, การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์, การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร เป็นต้น แต่โดยส่วนมากแล้ว หมอมักจะวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนจากอาการแสดงก็พอเพียงต่อการตัดสินโรคแล้ว ซึ่งอาการแสดงที่พบบ่อย อย่างเช่น อาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก รวมทั้งเรอเปรี้ยวข้างหลังรับประทานอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หรือมีความประพฤติปฏิบัติที่เป็นเหตุกำเริบเสิบสาน แม้กระนั้นในรายที่กำกวมอาจจะต้องทำการตรวจพิเศษ (ซึ่งพบได้นานๆครั้ง) กรรมวิธีรักษาโรคกรดไหลย้อน
ควรจะมานะลดน้ำหนัก เพียรพยายามเลี่ยงความเคร่งเครียด เลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่นเกินความจำเป็น ถ้ามีอาการท้องผูก ควรจะรักษา และเลี่ยงการเบ่ง ควรจะออกกำลังกายเป็นประจำ ภายหลังทานอาหารในทันที มานะหลีกเลี่ยงการนอนราบ เลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อดึกดื่น รับประทานอาหารจำนวนพอดิบพอดีในแต่ละมื้อ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางประเภท ดังเช่น กาแฟ น้ำอัดลม หากจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรคอยราวๆ 3 ชั่วโมง
ตอนนี้ยาที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด เป็นยาลดกรดในกรุ๊ปยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) เช่น โอเมพราโซล (omeprazole)ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีคุณภาพสูงมากมายสำหรับในการคุ้มครองป้องกันลักษณะโรคกรดไหลย้อน โดยให้รับประทานยาต่อเนื่องกันตรงเวลา 6 - 8สัปดาห์ หรือบางทีอาจต้องใช้ยาเป็นระยะเวลานานนับเป็นเวลาหลายเดือนขึ้นกับคนเจ็บแต่ละราย ได้แก่ในกรณีที่เป็นมากหรือมีอาการมานาน ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการปรับการกินยาเป็นระยะๆตามอาการที่มี หรือรับประทานอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลานาน บางกรณีบางทีอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย ดังเช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มก. 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งยานี้ควรรับประทานก่อนอาหารประมาณ 30 นาที
คนเจ็บที่มีลักษณะรุนแรง ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างมากแล้วไม่ดีขึ้น คนไข้ที่ไม่สามารถที่จะกินยาที่ใช้สำหรับในการรักษาสภาวะนี้ได้ คนเจ็บที่ดีขึ้นภายหลังจากการใช้ยา แต่ไม่ต้องการที่จะอยากที่จะรับประทานยาต่อ ผู้เจ็บป่วยที่กลายเป็นซ้ำบ่อยมากหลังหยุดยา ทั้งนี้คนป่วยที่จะต้องได้รับการผ่าตัดมีเพียงจำนวนร้อยละ 10 แค่นั้น การดูแลรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายแนวทาง ตัวอย่างเช่น endoscopic fundoplication, radiofrequency therapy, injection / implantation therapy เป็นต้น (https://www.img.in.th/images/93ef36996517bdac08f7cec2b0fafc41.jpg) สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ก่อเกิดโรคกรดไหลย้อน
การติดต่อของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากความแตกต่างจากปกติของกล้ามหูรูดด้านล่างของหลอดอาหาร ทำให้มีกรด (น้ำย่อย) จากกระเพาะไหลย้อนไปขึ้นไปที่หลอดอาหารแล้วก็มีการอักเสบรวมทั้งอาการต่างๆตามมา ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ ด้วยเหตุว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคกรดไหลย้อน
การคุ้มครองตนเองจากโรคกรดไหลย้อน การคุ้มครองป้องกันโรคกรดไหลย้อนนั้นตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถป้องกันการเกิดโรคได้ โดยการเปลี่ยนแปลงความประพฤติปฏิบัติการดำนงชีพของเรา อย่างเช่น
ชา กาแฟ รวมทั้งน้ำอัดลมทุกชนิด อาหารทอด อาหารไขมันสูง ของกินรสจัด รสเผ็ด ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์ ช็อกโกแลต
ยอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia ตระกูล Rubiaceae มีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยในหนู พบว่า “ยอ” ซึ่งมีสารสำคัญ คือ สวัวโปเลตำหนิน (scopoletin) เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยนั้น สามารถลดการอักเสบของหลอดของกินจากการไหลย้อนของกรดได้ประสิทธิภาพที่ดี พอๆกับยามาตรฐานที่ใช้สำหรับการรักษากรดไหลย้อน คือ รานิติดีน (ranitidine) และก็แลนโสพราโซล (lansoprazole) เนื่องจากว่ามีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ ต่อต้านการหลั่งของกรด ต้านทานการเกิดแผล และทำให้การบีบตัวของระบบทางเดินอาหารดียิ่งขึ้น โดยส่งผลต่อระบบประสาทที่เกี่ยวเนื่องโดยตรง และก็ยังมีแถลงการณ์ว่าสามารถเพิ่มการดูดซึมของรานิติดีน “ยอ” ก็เลยเหมาะสมสำหรับการเป็นสมุนไพรสำหรับรักษาอาการกรดไหลย้อนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งจากการวิจัยข้างต้น และการที่ “ยอ” มีรสร้อน ช่วยย่อยของกิน ทำให้อาหารไม่ตกค้าง ไม่เกิดลมในกระเพาะ ลดการเกิดแรงกดดันที่ทำให้กรดไหลย้อน “ยอ” ยังช่วยทำให้กระเพาะบีบเคลื่อนก้าวหน้าขึ้น ทำให้อาหารเคลื่อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็กได้ดิบได้ดีขึ้น ดังนี้สมุนไพรที่อาจใช้ด้วยกันหมายถึงขมิ้นชัน เพราะว่าขมิ้นชันมีคุณประโยชน์สำหรับในการรักษาอาการท้องอืด และช่วยขับน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ทำให้อาหารไม่ตกค้างในกระเพาะ และลำไส้เล็กนานเหลือเกิน อีกทั้งช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย มีผู้แนะนำให้กินขมิ้นชันก่อนกินอาหาร 1-2 ชั่วโมง ยามเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น รวมทั้งก่อนนอน ขนาดรับประทานเป็น ครั้งละ 1 ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ 3 เม็ดๆละ 500 มก. ขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa L. สกุล Zingiberaceae ชื่อพ้อง C. domestica Valeton ชื่ออื่นๆ ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอกเย้า ขมิ้นหัว ขมิ้นชัน ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ Turmeric สารออกฤทธิ์ curcumin, ar-turmerone curcumin จากขมิ้นลดการอักเสบจากรอยแผลเจริญ การทดลองในหลอดทดสอบ โดยใช้สารสกัดขมิ้น 160 มิลลิกรัม/กิโลกรัม กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร (intragastric) ของหนูขาว ยับยั้งการอักเสบคิดเป็น 29.5% curcumin มีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบที่เกิดจากการเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน การทดสอบเปรียบระหว่าง phenylbutazone กับ sodium curcuminate 30 มก./กิโลกรัม พบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี แม้กระนั้นถ้าสูงขึ้นเป็น 60 มก./กิโลกรัม ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบจะลดน้อยลง แล้วก็ sodium curcuminate ยังสามารถยับยั้งการบีบตัวของไส้หนูในหลอดทดสอบที่เหนี่ยวนำจากนิโคติน อะซีว่ากล่าวลโคลีน 5-hydroxy-tryptamine ฮีสตามีนและแบเรียมคลอไรด์ นอกนั้น sodium curcuminate ยังลดจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้เล็กของกระต่าย โดยไปลดระยะห่างของจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้ ขมิ้นสามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยกระตุ้นการหลั่งไม่วซินมาเคลือบแล้วก็ยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆสารสำคัญสำหรับเพื่อการออกฤทธิ์เป็น curcumin ในขนาด 50 มก./กิโลกรัม สามารถกระตุ้นการหลั่งไม่วซินออกมาฉาบกระเพาะอาหาร แต่ว่าหากใช้ในขนาดสูงอาจจะก่อให้กำเนิดแผลในกระเพาะได้ มีการทดสอบในกระต่ายเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีการหลั่งกรดมากมาย พบว่าผงขมิ้นไม่เปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำย่อยและกรดในกระเพาะ แต่ว่าเพิ่มองค์ประกอบของมิวสิน ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass อยู่ในตระกูล Menispermaceae ใบของย่านาง เป็นเป็นส่วนที่มีคุณประโยชน์รวมทั้งถูกนำมาใช้สำหรับในการรักษาโรคเยอะที่สุด เพราะเหตุว่าเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น และมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง นอกจากนี้ถูกจัดไว้ในตำราเรียนสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งคุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากใบย่านางสำหรับในการรักษาโรคมีดังนี้ ระบบทางเดินอาหาร -ช่วยรักษาโรคกระเพาะ ไส้อักเสบ -ช่วยลดอาการหดเกร็งตามไส้ -ช่วยรักษาลักษณะของกรดไหลย้อน รักษารวมทั้งป้องกันโรคภัยต่างๆ-ช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง -ช่วยป้องกันแล้วก็บำบัดการเกิดโรคหัวใจ -ช่วยคุ้มครองและก็ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้ -ช่วยรักษาอาการโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดน้อยลง ระบบผิวหนัง -ช่วยสำหรับการรักษาโรคเริม งูสวัด -ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ระบบแพร่พันธุ์แล้วก็ฟุตบาทเยี่ยว -ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี -ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเท้าฉี่ ขึ้นฉ่าย (Apium graveolens L.) ช่วยบำรุงรักษาระบบการทำงานด้านการย่อยอาหารในร่างกายและก็ช่วยลดอาการของโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะ ซึ่งรวมถึงโรคกรดไหลย้อน เอกสารอ้างอิง
|